คำว่าอิสรภาพเป็นคำที่มนุษย์ทุกคนเรียกร้อง โหยหากันแทบทั้งสิ้น แม้บางคนจะไม่รู้ความหมายของคำว่าอิสรภาพเลย บางคนอาจไม่รู้ว่าตัวเองมีอิสรภาพอยู่แล้ว แต่ยังเรียกร้องมันอีก บางคนเมื่อได้พบกับอิสรภาพ แต่ไม่รู้ความหมายของมันก็เหมือนกับไม่ได้อะไรเลยนั่นเอง
หากคำว่าอิสรภาพหมายถึง มนุษย์สามารถที่จะเลือกตัดสินใจทำอะไรก็ได้ในทุกๆสิ่ง อิสรภาพมากหมายถึงมีทางเลือกมาก แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่สามารถที่จะทำอะไรก็ได้ทุกอย่างในโลกนี้ ต้องมีข้อยกเว้นตามกฎของสังคม(เพื่อไม่ให้มีผลกระทบที่ไม่ดีต่อผู้อื่นและตนเอง) นั่นหมายความว่าอิสรภาพในโลกนี้มีข้อจำกัดในตัวมันเอง ทางเลือกเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราควรถามตนเองก่อนว่าทางเลือกเหล่านั้นสนับสนุนหรือกีดกันเรากันแน่ ทำให้เรานับถือตนเองมากขึ้นหรือน้อยลง และทำให้เรามีส่วนร่วมกับสังคมหรือถอยห่างจากสังคม ในบางครั้งการมีอิสรภาพหรือทางเลือกมากเกินไป จะทำให้เราอยู่ในสภาวะที่ยากต่อการตัดสินใจ เลือกไม่ถูกว่าจะเอาอันไหน หากตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว แล้วพบว่าสิ่งนั้นไม่ดีพอกับที่เราคาดหวังไว้ เราก็มักจะคิดว่าสิ่งอื่นที่เราไม่ได้เลือกนั้นต้องดีกว่าที่เราเลือกแน่เลย อย่างเช่น เรามีอิสรภาพไม่จำกัดในการที่จะเลือกเรียนในมหาลัยไหนก็ได้ คณะอะไรก็ได้ เราต้องหาข้อมูลของมหาลัย และคณะต่างๆเพื่อมาเปรียบเทียบตัดสินใจอีกที ต้องดูว่ามหาลัยไหนที่มีชื่อเสียงดีที่สุดที่เราจะสามารถสอบเข้าไปได้ บางทีแค่เลือกคณะก็ยากแล้ว แล้วยังต้องไปเจอสาขาวิชาที่แยกย่อยออกมามากเหลือเกิน หากว่าตัดสินใจเลือกเรียนที่ไหนคณะอะไรได้แล้ว แต่พอได้เรียนกับพบว่าไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังเอาไว้ อาจจะยากหรือง่ายเกินไป สภาพแวดล้อมไม่ดี ก็จะพาลคิดไปว่าที่อื่นหรือคณะอื่นน่าจะเหมาะกับเรามากกว่านี้ จะเห็นได้ว่า บางทีอิสรภาพที่เราได้รับ ก็ไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้เราได้เลย
ผู้คนในปัจจุบันมีอำนาจที่จะเลือกเอกลักษณ์ของตนเอง ข้อดีคืออิสรภาพ แต่ข้อเสียคือภาระในการรับผิดชอบต่อการเลือก แท้ที่จริงแล้วทุกๆ กิจกรรมในแต่ละวันเป็นกิจกรรม ที่ถูกเลือกแล้วทั้งนั้น แต่โชคดีที่กิจกรรมส่วนใหญ่ในแต่ละวันเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ หากมนุษย์ต้องเลือกในทุกกิจกรรม มันคงเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะทน ได้อย่างแน่นอน หากว่าเราใช้ชีวิตประจำวันตามจารีตประเพณีที่ทำต่อกันมา เราจะมีเวลาที่จะเอาไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น เช่น เรียนรู้ หาความบันเทิงอื่นๆได้ แต่ถ้าเราเลือกใช้ชีวิตที่หลุดออกจากกรอบจารีตไปแล้ว เราต้องใช้เวลาในการค้นหา ทดสอบ พิสูจน์อีกมากมาย ทำให้หมดเวลาที่จะไปทำอย่างอื่นแล้ว
ความคาดหวังก็เป็นสิ่งสำคัญยังแบ่งได้อีกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีเป้าหมาย เลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุด กับ กลุ่มที่เลือกสิ่งที่ดีพอ กลุ่มที่ชอบเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจะลงเอยด้วยความไม่พอใจอะไรเลย การที่พวกเขามีความทะยานอยาก ที่จะต้องได้แต่สิ่งที่ดีที่สุด พวกเขาจึงต้องใช้เวลาในการเลือกสรรสิ่งต่างๆ มากกว่าคนอื่นเพราะพวกเขาเกรงว่าสินค้าที่ตนเลือกจะไม่ใช่ชนิดที่ดีที่สุด แพงเกินไป ฯลฯ และหลังจาก ที่พวกเขาได้สินค้ามาแล้ว พวกเขายังคงวิตก อีกว่า ตนเองยังมิได้พิจารณาทางเลือก อย่างอื่นๆ จนครบถ้วน นำมาซึ่งความกังวลใจและขาดความสุขในที่สุด ส่วนกลุ่มที่เลือกเฉพาะสิ่งที่ดีพอจะเป็นกลุ่มคนที่มีความสุข มากกว่า เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มักเลือกสินค้าบนมาตรฐานหรือข้อกำหนดที่ตนเองตั้งไว้ คนกลุ่มนี้จะไม่หวนกลับไปคิดว่ามีสิ่งอื่นดี ไปกว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกอยู่อีกหรือไม่
บางประเทศที่เคยหมดอิสรภาพมาก่อน ไม่ว่าจะเคยแพ้สงคราม หรือประสบกับภัยธรรมชาติ เคยเป็นเมืองขึ้น ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ หรือถูกปกครองด้วยระบบสังคมนิยม พวกเค้าเหล่านั้นมักมีทางเลือกน้อย อาจมีแค่ ถ้าสร้างประเทศจะมีข้าวกิน ถ้าไม่สร้างประเทศจะไม่มีข้าวกิน เมื่อหลังชนฝา เลือดเข้าตาแล้ว ก็ต้องเลือกที่จะให้อยู่รอดต่อไป ซึ่งบางทีในประเทศที่มีอิสรภาพมาตลอด ไม่เคยประสบวิกฤติที่กล่าวมาอย่างรุนแรงเลย ทรัพยากรธรรมชาติก็สมบูรณ์ ระบบการปกครองก็ประชาธิปไตย ทำให้มีทางเลือกที่จะอยู่รอดมาก คือ ไม่ต้องสร้างประเทศก็พออยู่พอกิน สร้างประเทศก็มีกิน เมื่อหลังยังไม่ชนฝา น้ำยังไม่ท่วมถึงหลังคา ก็อาจคิดว่ายังไม่จำเป็นต้องทำอะไร หรือตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอะไร
หนทางที่มนุษย์ จะเป็นอิสระจากทางเลือกก็คือ ตัดสินใจเฉพาะเมื่อต้องตัดสินใจ เช่น ตัดสินใจที่จะทำตามกฎ การมีวินัยในชีวิตหมายถึงการเดินตามกฎที่ตนเองตั้งขึ้นซึ่งได้กำจัดความยุ่งยากมากมายที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตไปได้แล้ว กฎ มาตรฐานและกิจวัตรประจำวันเป็นข้อกำหนดที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพื่อจำกัดเรื่องราวที่พวกเขาต้องตัดสินใจ ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาจัดการได้ง่ายขึ้น จึงเหลือเวลาที่จะไปรักษาความสัมพันธ์ และตัดสินใจในเรื่องที่จำเป็นต้องตัดสินใจจริงๆ [1]
[1] ข้อมูลบางส่วนนำมาจากหนังสือ The Paradox of Choice : Why More is Less ของ Barry Schwartz แปลลงใน คอลัมน์ ผ่ามันสมองของปราชญ์ โดย พ.ญ.นภาพร ลิม์ปิยากร : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3930 (3130)
ข้อจำกัดของอิสรภาพ
หากคำว่าอิสรภาพหมายถึง มนุษย์สามารถที่จะเลือกตัดสินใจทำอะไรก็ได้ในทุกๆสิ่ง อิสรภาพมากหมายถึงมีทางเลือกมาก แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่สามารถที่จะทำอะไรก็ได้ทุกอย่างในโลกนี้ ต้องมีข้อยกเว้นตามกฎของสังคม(เพื่อไม่ให้มีผลกระทบที่ไม่ดีต่อผู้อื่นและตนเอง) นั่นหมายความว่าอิสรภาพในโลกนี้มีข้อจำกัดในตัวมันเอง ทางเลือกเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราควรถามตนเองก่อนว่าทางเลือกเหล่านั้นสนับสนุนหรือกีดกันเรากันแน่ ทำให้เรานับถือตนเองมากขึ้นหรือน้อยลง และทำให้เรามีส่วนร่วมกับสังคมหรือถอยห่างจากสังคม ในบางครั้งการมีอิสรภาพหรือทางเลือกมากเกินไป จะทำให้เราอยู่ในสภาวะที่ยากต่อการตัดสินใจ เลือกไม่ถูกว่าจะเอาอันไหน หากตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว แล้วพบว่าสิ่งนั้นไม่ดีพอกับที่เราคาดหวังไว้ เราก็มักจะคิดว่าสิ่งอื่นที่เราไม่ได้เลือกนั้นต้องดีกว่าที่เราเลือกแน่เลย อย่างเช่น เรามีอิสรภาพไม่จำกัดในการที่จะเลือกเรียนในมหาลัยไหนก็ได้ คณะอะไรก็ได้ เราต้องหาข้อมูลของมหาลัย และคณะต่างๆเพื่อมาเปรียบเทียบตัดสินใจอีกที ต้องดูว่ามหาลัยไหนที่มีชื่อเสียงดีที่สุดที่เราจะสามารถสอบเข้าไปได้ บางทีแค่เลือกคณะก็ยากแล้ว แล้วยังต้องไปเจอสาขาวิชาที่แยกย่อยออกมามากเหลือเกิน หากว่าตัดสินใจเลือกเรียนที่ไหนคณะอะไรได้แล้ว แต่พอได้เรียนกับพบว่าไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังเอาไว้ อาจจะยากหรือง่ายเกินไป สภาพแวดล้อมไม่ดี ก็จะพาลคิดไปว่าที่อื่นหรือคณะอื่นน่าจะเหมาะกับเรามากกว่านี้ จะเห็นได้ว่า บางทีอิสรภาพที่เราได้รับ ก็ไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้เราได้เลย
ผู้คนในปัจจุบันมีอำนาจที่จะเลือกเอกลักษณ์ของตนเอง ข้อดีคืออิสรภาพ แต่ข้อเสียคือภาระในการรับผิดชอบต่อการเลือก แท้ที่จริงแล้วทุกๆ กิจกรรมในแต่ละวันเป็นกิจกรรม ที่ถูกเลือกแล้วทั้งนั้น แต่โชคดีที่กิจกรรมส่วนใหญ่ในแต่ละวันเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ หากมนุษย์ต้องเลือกในทุกกิจกรรม มันคงเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ใครจะทน ได้อย่างแน่นอน หากว่าเราใช้ชีวิตประจำวันตามจารีตประเพณีที่ทำต่อกันมา เราจะมีเวลาที่จะเอาไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น เช่น เรียนรู้ หาความบันเทิงอื่นๆได้ แต่ถ้าเราเลือกใช้ชีวิตที่หลุดออกจากกรอบจารีตไปแล้ว เราต้องใช้เวลาในการค้นหา ทดสอบ พิสูจน์อีกมากมาย ทำให้หมดเวลาที่จะไปทำอย่างอื่นแล้ว
ความคาดหวังก็เป็นสิ่งสำคัญยังแบ่งได้อีกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีเป้าหมาย เลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุด กับ กลุ่มที่เลือกสิ่งที่ดีพอ กลุ่มที่ชอบเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจะลงเอยด้วยความไม่พอใจอะไรเลย การที่พวกเขามีความทะยานอยาก ที่จะต้องได้แต่สิ่งที่ดีที่สุด พวกเขาจึงต้องใช้เวลาในการเลือกสรรสิ่งต่างๆ มากกว่าคนอื่นเพราะพวกเขาเกรงว่าสินค้าที่ตนเลือกจะไม่ใช่ชนิดที่ดีที่สุด แพงเกินไป ฯลฯ และหลังจาก ที่พวกเขาได้สินค้ามาแล้ว พวกเขายังคงวิตก อีกว่า ตนเองยังมิได้พิจารณาทางเลือก อย่างอื่นๆ จนครบถ้วน นำมาซึ่งความกังวลใจและขาดความสุขในที่สุด ส่วนกลุ่มที่เลือกเฉพาะสิ่งที่ดีพอจะเป็นกลุ่มคนที่มีความสุข มากกว่า เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มักเลือกสินค้าบนมาตรฐานหรือข้อกำหนดที่ตนเองตั้งไว้ คนกลุ่มนี้จะไม่หวนกลับไปคิดว่ามีสิ่งอื่นดี ไปกว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกอยู่อีกหรือไม่
บางประเทศที่เคยหมดอิสรภาพมาก่อน ไม่ว่าจะเคยแพ้สงคราม หรือประสบกับภัยธรรมชาติ เคยเป็นเมืองขึ้น ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ หรือถูกปกครองด้วยระบบสังคมนิยม พวกเค้าเหล่านั้นมักมีทางเลือกน้อย อาจมีแค่ ถ้าสร้างประเทศจะมีข้าวกิน ถ้าไม่สร้างประเทศจะไม่มีข้าวกิน เมื่อหลังชนฝา เลือดเข้าตาแล้ว ก็ต้องเลือกที่จะให้อยู่รอดต่อไป ซึ่งบางทีในประเทศที่มีอิสรภาพมาตลอด ไม่เคยประสบวิกฤติที่กล่าวมาอย่างรุนแรงเลย ทรัพยากรธรรมชาติก็สมบูรณ์ ระบบการปกครองก็ประชาธิปไตย ทำให้มีทางเลือกที่จะอยู่รอดมาก คือ ไม่ต้องสร้างประเทศก็พออยู่พอกิน สร้างประเทศก็มีกิน เมื่อหลังยังไม่ชนฝา น้ำยังไม่ท่วมถึงหลังคา ก็อาจคิดว่ายังไม่จำเป็นต้องทำอะไร หรือตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอะไร
หนทางที่มนุษย์ จะเป็นอิสระจากทางเลือกก็คือ ตัดสินใจเฉพาะเมื่อต้องตัดสินใจ เช่น ตัดสินใจที่จะทำตามกฎ การมีวินัยในชีวิตหมายถึงการเดินตามกฎที่ตนเองตั้งขึ้นซึ่งได้กำจัดความยุ่งยากมากมายที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตไปได้แล้ว กฎ มาตรฐานและกิจวัตรประจำวันเป็นข้อกำหนดที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพื่อจำกัดเรื่องราวที่พวกเขาต้องตัดสินใจ ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาจัดการได้ง่ายขึ้น จึงเหลือเวลาที่จะไปรักษาความสัมพันธ์ และตัดสินใจในเรื่องที่จำเป็นต้องตัดสินใจจริงๆ [1]
[1] ข้อมูลบางส่วนนำมาจากหนังสือ The Paradox of Choice : Why More is Less ของ Barry Schwartz แปลลงใน คอลัมน์ ผ่ามันสมองของปราชญ์ โดย พ.ญ.นภาพร ลิม์ปิยากร : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3930 (3130)