เราเป็นแฟนทั้งนิยายและละครค่ะ รักในตัวละคร เนื้อเรื่อง ทรายและอูฐ 555 แต่เรากลับเห็นมุมมองของผู้หญิงอย่างมิเชลล์ว่าเธอทำอะไร หรือมีลักษณะอย่างไร ถึงทำให้ชารีฟหลงเธออย่างหัวปักหัวปำแบบนี้ และอยากให้ผู้หญิงทุกคนลองนำไปปรับใช้กับชีวิตคู่ดูนะคะ เราขอยกตัวอย่างบทสนทนาบางบทของมิเชลล์นะคะ
เพราะมิเชลล์เวลาเขาอยู่กับชารีฟ (ตอนรักกันแล้วนะ) เธอจะมีคำพูดที่เหมือนคอยให้คำปรึกษาให้กำลังใจชารีฟซึ่งเป็นสามีตลอด จะแทบไม่มีบทหรือคำพูดที่เป็นเชิงกระแนะกระแหนแบบละครไทยทั่วๆไปเลย บ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่ การศึกษา และบางครั้งก็มีความอ่อนโยน อ้อนๆ อย่างนี้ไงล่ะท่านชารีฟของเราถึงได้หลงขนาดนี้ ขอแคบคำพูดบางตอนนะคะ ใครอยากร่วมแชร์ก็ได้เลยค่ะ
ฉากริมลำธาร
ตอนที่ท่านชารีฟพร่ำบอกว่าคิดถึงมิเชลล์แค่ไหน และบอกว่าตัวเองต้องไปเมือง....(จำชื่อไม่ได้ 555) แล้วมิเชลล์จึงพูดว่า
“ชารีฟ” มิเชลล์ปล่อยเหยือกดินหลุดมือไปสู่ก้นลำธาร ตรงหน้า พึมพำออกมาว่า “ฉันเป็นห่วงท่านเหลือเกิน เขาว่าจะมีการนองเลือด ท่านต้องระวังตัวนะคะ ถ้าท่านเป็นอะไรฉันจะ...จะ…ฉันต้องตามท่านไป”
และประโยคในความทรงจำค่ะ ผู้ชายคนไหนมาได้ยินแบบนี้ก็ละลายแหละค่ะ ตอนที่ชารีฟวิ่งออกไปแล้ว
มิเชลล์พึมพำ “จะกลับมาหรือไม่กลับมาพบกันอีก ฉันก็จะไม่มีใครอีกแล้วนอกจากท่าน ฉันจะไม่กลับฝรั่งเศสหรอก ชีวิตของฉันผูกพันกับทะเลทรายเสียแล้ว ขอให้พระเจ้าอวยพรท่าน”
ฉากหน้ากระโจม
ผู้ชายที่ทุกข์และเหนื่อยกับงานพอได้ยินแฟนพูดแบบนี้ นี่หายเหนื่อยนะคะ อิอิ
มิเชลล์มองหน้า “ชารีฟ ท่านหน้าเศร้าเหลือเกิน ทราบแล้วใช่มั้ยคะว่าท่านต้องไปทำภารกิจอะไร”
“ทราบแล้ว”
“ท่านถึงหมองเศร้าอยู่เช่นนี้ โอ ชารีฟ ฉันอยากช่วยท่านเหลือเกิน ฉันอยากจะไปกับท่าน อยากอยู่ใกล้ๆ ท่านเวลาที่ท่านมีทุกข์”
ฉากตรงระเบียง
ฉากนี้เป็นคำพูดที่มิเชลล์แสดงออกว่าเธอคิดถึงชารีฟขนาดไหน ขนาดจินตนาการว่าไปอยู่ที่ทะเลทราย บางครั้งเราก็ต้องแสดงออกบ้างนะคะสาวๆ อย่าเก็บไว้ในใจเยอะให้หนุ่มๆเขาฟินบ้าง 555
“คิดถึงเธอจนแทบจะขาดใจ ฉันเห็นเธอแต่ในฝัน...ฝันแล้ว ฝันเล่า กว่าจะถึงวันนี้ คิดถึงฉันบ้างไหมมิเชลล์”
“ฉันคิดถึงท่านเหลือเกิน...แต่คงไม่มีใครยอมให้เกิดขึ้นอีกหรอกค่ะ”
“งั้นหรือ...เป็นยังไง”
“คิดถึงว่า ท่านน่าจะถูกตามล่า เราหนีกันไปกลางทะเลทราย ไปอยู่ด้วยกันที่นั่น”
ชารีฟหัวเราะชอบใจ “ฮันนีมูนกลางทะเลทรายเอามั้ย ดีสิ...” พลางส่งสายตายั่วเย้า “ลูกกำเนิดกลางทะเลทราย”
ฉากในสวน
ฉากในสวนนี้เศร้าค่ะ ขนาดจะจากกันมิเชลล์ยังพูดให้กำลังใจ ไม่มีกระแนะกระแหนเลย แต่กลับอธิบายอย่างใจเย็น
“ชารีฟคะ ฉันจะไม่มีวันลืมเวลาที่เราร่อนเร่อยู่ในทะเลทราย อ้างว้างมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากทราย นอกจากฟ้า ทุกวันมองเห็นแต่ฟ้าจรดทราย” นัยน์ตามิเชลล์จดจำลึกถึงวันเวลาที่แสนหวาน มีความสุข ระบายยิ้มบางๆ กระจายทั่วใบหน้า “เราสองคนเป็นอิสระ ฉันไม่ใช่เด็กกำพร้าที่สกุลเดอลาโรนีล์ที่เก่าแก่ มีเกียรติ ไม่พึงปรารถนา เติบโตมาอย่างไร้ญาติขาดมิตรกับแม่ชีในคอนแวนต์ และคุณก็ไม่ใช่บุรุษที่ทรงเกียรติของประเทศนี้ เป็นนายทหาร เป็นนายแพทย์ เป็นรัฐมนตรี และยังสืบสายโลหิตจากราชวงศ์”
ถึงตรงนี้มิเชลล์ยิ้มออกมากขึ้นทั้งๆ ที่น้ำตาเต็มตา
“เวลานั้นๆ ทุกอย่างรอบตัวเป็นไปตามกฎธรรมชาติไม่เหมือนเวลานี้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎสังคม เวลานี้ วันนี้ และต่อๆ ไป”
ชารีฟฟังอย่างใจหาย รู้ดีว่าต้องจบอย่างไร
“เวลานั้นคุณปกป้องคุ้มครองรักษาชีวิตของฉัน ฉันเชื่อฟังคุณ เพื่อให้เรารอดชีวิต...ทั้งสองคน ไม่ใช่คนเดียว”
เรากลับเห็นเสน่ห์อะไรในตัวมิเชลล์หลายๆอย่างที่ทำให้ท่านชารีฟหลงรักได้ขนาดนี้ นี่ถือเป็นกระทู้แรกของเราที่ยาวขนาดนี้ มาร่วมแชร์กันได้นะคะ
กระทู้ส่งท้ายฟ้าจรดทราย อยากเสนอมุมมองของมิเชลล์ว่าทำไมชารีฟถึงได้หลงรักเธอคนนี้
เพราะมิเชลล์เวลาเขาอยู่กับชารีฟ (ตอนรักกันแล้วนะ) เธอจะมีคำพูดที่เหมือนคอยให้คำปรึกษาให้กำลังใจชารีฟซึ่งเป็นสามีตลอด จะแทบไม่มีบทหรือคำพูดที่เป็นเชิงกระแนะกระแหนแบบละครไทยทั่วๆไปเลย บ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่ การศึกษา และบางครั้งก็มีความอ่อนโยน อ้อนๆ อย่างนี้ไงล่ะท่านชารีฟของเราถึงได้หลงขนาดนี้ ขอแคบคำพูดบางตอนนะคะ ใครอยากร่วมแชร์ก็ได้เลยค่ะ
ฉากริมลำธาร
ตอนที่ท่านชารีฟพร่ำบอกว่าคิดถึงมิเชลล์แค่ไหน และบอกว่าตัวเองต้องไปเมือง....(จำชื่อไม่ได้ 555) แล้วมิเชลล์จึงพูดว่า
“ชารีฟ” มิเชลล์ปล่อยเหยือกดินหลุดมือไปสู่ก้นลำธาร ตรงหน้า พึมพำออกมาว่า “ฉันเป็นห่วงท่านเหลือเกิน เขาว่าจะมีการนองเลือด ท่านต้องระวังตัวนะคะ ถ้าท่านเป็นอะไรฉันจะ...จะ…ฉันต้องตามท่านไป”
และประโยคในความทรงจำค่ะ ผู้ชายคนไหนมาได้ยินแบบนี้ก็ละลายแหละค่ะ ตอนที่ชารีฟวิ่งออกไปแล้ว
มิเชลล์พึมพำ “จะกลับมาหรือไม่กลับมาพบกันอีก ฉันก็จะไม่มีใครอีกแล้วนอกจากท่าน ฉันจะไม่กลับฝรั่งเศสหรอก ชีวิตของฉันผูกพันกับทะเลทรายเสียแล้ว ขอให้พระเจ้าอวยพรท่าน”
ฉากหน้ากระโจม
ผู้ชายที่ทุกข์และเหนื่อยกับงานพอได้ยินแฟนพูดแบบนี้ นี่หายเหนื่อยนะคะ อิอิ
มิเชลล์มองหน้า “ชารีฟ ท่านหน้าเศร้าเหลือเกิน ทราบแล้วใช่มั้ยคะว่าท่านต้องไปทำภารกิจอะไร”
“ทราบแล้ว”
“ท่านถึงหมองเศร้าอยู่เช่นนี้ โอ ชารีฟ ฉันอยากช่วยท่านเหลือเกิน ฉันอยากจะไปกับท่าน อยากอยู่ใกล้ๆ ท่านเวลาที่ท่านมีทุกข์”
ฉากตรงระเบียง
ฉากนี้เป็นคำพูดที่มิเชลล์แสดงออกว่าเธอคิดถึงชารีฟขนาดไหน ขนาดจินตนาการว่าไปอยู่ที่ทะเลทราย บางครั้งเราก็ต้องแสดงออกบ้างนะคะสาวๆ อย่าเก็บไว้ในใจเยอะให้หนุ่มๆเขาฟินบ้าง 555
“คิดถึงเธอจนแทบจะขาดใจ ฉันเห็นเธอแต่ในฝัน...ฝันแล้ว ฝันเล่า กว่าจะถึงวันนี้ คิดถึงฉันบ้างไหมมิเชลล์”
“ฉันคิดถึงท่านเหลือเกิน...แต่คงไม่มีใครยอมให้เกิดขึ้นอีกหรอกค่ะ”
“งั้นหรือ...เป็นยังไง”
“คิดถึงว่า ท่านน่าจะถูกตามล่า เราหนีกันไปกลางทะเลทราย ไปอยู่ด้วยกันที่นั่น”
ชารีฟหัวเราะชอบใจ “ฮันนีมูนกลางทะเลทรายเอามั้ย ดีสิ...” พลางส่งสายตายั่วเย้า “ลูกกำเนิดกลางทะเลทราย”
ฉากในสวน
ฉากในสวนนี้เศร้าค่ะ ขนาดจะจากกันมิเชลล์ยังพูดให้กำลังใจ ไม่มีกระแนะกระแหนเลย แต่กลับอธิบายอย่างใจเย็น
“ชารีฟคะ ฉันจะไม่มีวันลืมเวลาที่เราร่อนเร่อยู่ในทะเลทราย อ้างว้างมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากทราย นอกจากฟ้า ทุกวันมองเห็นแต่ฟ้าจรดทราย” นัยน์ตามิเชลล์จดจำลึกถึงวันเวลาที่แสนหวาน มีความสุข ระบายยิ้มบางๆ กระจายทั่วใบหน้า “เราสองคนเป็นอิสระ ฉันไม่ใช่เด็กกำพร้าที่สกุลเดอลาโรนีล์ที่เก่าแก่ มีเกียรติ ไม่พึงปรารถนา เติบโตมาอย่างไร้ญาติขาดมิตรกับแม่ชีในคอนแวนต์ และคุณก็ไม่ใช่บุรุษที่ทรงเกียรติของประเทศนี้ เป็นนายทหาร เป็นนายแพทย์ เป็นรัฐมนตรี และยังสืบสายโลหิตจากราชวงศ์”
ถึงตรงนี้มิเชลล์ยิ้มออกมากขึ้นทั้งๆ ที่น้ำตาเต็มตา
“เวลานั้นๆ ทุกอย่างรอบตัวเป็นไปตามกฎธรรมชาติไม่เหมือนเวลานี้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎสังคม เวลานี้ วันนี้ และต่อๆ ไป”
ชารีฟฟังอย่างใจหาย รู้ดีว่าต้องจบอย่างไร
“เวลานั้นคุณปกป้องคุ้มครองรักษาชีวิตของฉัน ฉันเชื่อฟังคุณ เพื่อให้เรารอดชีวิต...ทั้งสองคน ไม่ใช่คนเดียว”
เรากลับเห็นเสน่ห์อะไรในตัวมิเชลล์หลายๆอย่างที่ทำให้ท่านชารีฟหลงรักได้ขนาดนี้ นี่ถือเป็นกระทู้แรกของเราที่ยาวขนาดนี้ มาร่วมแชร์กันได้นะคะ