อิจฉาจัง ที่มีครอบครัวที่เข้าใจ
เราอยากแชร์เรื่องของเรา และอยากแก้ปัญหาเหมือนกัน
เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนเรา ม.6 เรารู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนแถวบ้านแหล่ะ สนิทกันมาก ใกล้ชิดกัน จนสุดท้าย ก็เป็นแฟนกัน
แรกๆ แฟนเราก็เข้าออกบ้านเราได้ ในฐานะเพื่อนบ้านคนนึง แต่พอแม่เริ่มรู้ แม่ก็เริ่มแอนตี้ และ บอกกับแฟนเราว่า บ้านนี้ไม่ต้อนรับพวกผิดเพศ แม่รับไม่ได้ แฟนเราก็เสียใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังมีแอบเจอที่อื่นบ้าง มันเลยทำให้เราคิดว่า แทนที่บ้านจะเป็นสถานที่ที่ทำให้เรามีความสุข กลับเป็นที่ที่มีแต่ความอึดอัดเต็มไปหมด ช่วงนั้น เราไม่สามารถปรึกษาใครได้เลย เราเคยลองคุยกับแม่ตรงๆว่า เราชอบผู้หญิง แม่เราก็บอกประมาณว่า ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ แม่เลี้ยงลูกผิดตรงไหน แม่เรารับไม่ได้จริงๆ
จนมาวันนึง(ประมาณเราปี1) แม่เราเริ่มทนเราไม่ไหว ที่เห็นเราส่งข้อความคุยกับแฟนเราบ่อยๆ ก็เริ่มว่าหนักขึ้นไปเรื่อยๆ จนวันนึง เกิดเรื่องทะเลาะกันรุนแรง จนแม่เราโทไปว่าแฟนเรา ว่าทำไมไม่หยุดติดต่อเราสักที ในใจเราตอนนั้นเครียดมาก คิดอยากหนีออกจากบ้าน ในขณะนั้น แฟนเราก็อธิบายให้แม่ฟัง ว่าสิ่งที่เราเป็น มันไม่ได้ลำบากอะไรใคร และสิ่งที่เราเป็นไม่ได้หมายความว่า แม่ของเราจะเลี้ยงลูกไม่ได้ดี พอแฟนเราอธิบายไป แม่เราก็ยิ่งโมโห ตีความเป็นว่า แฟนเราไปว่าแม่ของเรา ซึ่งเราเองก็เข้าใจแม่ว่า แฟนเราเป็นเด็ก ก็ไม่ควรจะเถียงผู้ใหญ่ และเราก็เข้าใจแฟนเราว่า แฟนเราแค่อยากให้แม่เรา ปรับเปลี่ยนความคิด
ซึ่งตอนนั้น พี่ชายคนที่2ของเรา เขาบวชอยู่ พี่ชายเราโทมาหาแม่พอดี แม่ก็เล่าให้พี่ชายฟังว่าแฟนของเราไปว่าแม่
หลังจากที่พี่ชายศึก ก็มาพูดกับเราว่า แทนที่แม่จะได้บุญจากการที่พี่บวช กลับมาต้องมาฟังคนนอกบ้านว่าแม่ ให้เรากลับไปคิดอีกทีละกัน ว่าควรคบต่อไหม ?
ตอนนั้นในหัวของเรา ก็รักแม่ แล้วก็รักแฟนเช่นกัน เราปรึกษาเพื่อนที่มหาลัย เพื่อนก็บอกว่า ให้ทำตามความรู้สึกตัวเอง
เราเลยตัดสินใจเลือกทั้งแม่และแฟน แอบคบแฟนต่อไป
จนกระทั่งถึงวันเลิกลา ประมาณปี4 เพราะแฟนเรามีคนอื่น เราเสียใจมาก ไม่รู้จะปรึกษาใคร เลยเลือกที่จะปรึกษาพี่ชายคนโตของเรา ตอนแรกพี่เราก็รับไม่ได้ แต่เรากล้าที่จะพูดด้วยเหตุผลของเราเอง สุดท้ายพี่เราก็เข้าใจเรามากๆ และพูดกับเรา จะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้น้องสาวของพี่มีความสุขก็พอ (ลืมเล่าไปว่า ตอนปี1 พี่เราบอกว่า ถ้าทำเกรดเฉลี่ยได้เกิน 3.5 พี่จะอนุญาตให้เราคบกับแฟนเรา เราตั้งใจเรียนมากๆ จนสุดท้ายได้ 3.56 เราดีใจมากๆ พี่เราเห็นว่า เรามีแฟนแล้วไม่ทำให้การเรียนตก พี่เราเลยโอเค)
เราเสียใจมากๆกับรักครั้งแรกของเรา เราคิดว่า มันคือบทเรียนของเรา แต่เราไม่เคยคิดเกลียดอะไรแฟนเก่าเรา เพราะเข้าใจว่า ต่างคนต่างต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
เราตัดสินใจ เล่าทุกอย่างให้พ่อฟัง
เรา : พ่อคะ หนูอยากสารภาพกับพ่อตรงๆเป็นครั้งแรก ว่าหนูไม่ชอบผู้ชาย
พ่อ : ลูกจะเป็นอะไรก็ได่ ลูกมีหน้าที่เรียนหนังสือ ดูแลพ่อแม่ เชื่อฟัง
เรา : พ่อไม่รังเกียดใช่ไหมที่หนูเป็นอย่างนี้ พ่ออายไหม พ่อผิดหวังไหม พ่ออยากจะว่าไรก็ว่าหนูเลย
พ่อ: พ่อไม่เคยผิดหวังในตัวลูก ลูกรักพ่อแม่ อย่างนึงที่พ่อสอนคือ ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ลำบากคนอื่น พ่อขอแค่นี้
หลังจากนั้น เราก็สนิทกับพ่อมากขึ้นและห่างกับแม่มากขึ้น เพราะไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม แม่จะว่าเราเสมอ เราเลยเลือกที่จะพูดคุยกับพ่อ
จนตอนนี้ เราเรียนปริญญาโทแล้ว
และเราก็ยังเป็นทอม เรามีแฟนใหม่ เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย
เหตุการณ์เริ่มขึ้นอีกครั้งคือ เราเลือกที่พูดกับแม่ตรงๆอีกครั้ง ว่าเรามีแฟนใหม่แล้ว เป็นผู้หญิง เป็นน้องที่มหาลัย น้องเค้าเรียนดี นิสัยดี เพราะเรารู้จักตั้งแต่ ปี1 เป็นน้องที่ไม่สนิท แต่ก็ได่ยินมาว่า นิสัยโอเค
เราก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ฟังอีกที ว่ารู้จักกันได้ไง ไปชอบเขาตอนไหน แล้วทำไมถึงชอบ น้องเค้าดียังไง
เราเริ่มเห็นอาการแม่ แม่ก็ยังคงแอนตี้อยู่ดี แต่เราไม่อยากปิดบังอะไรแม่ไปมากกว่านี้
เราบอกกับแม่ว่า เราคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่พอแล้ว เรารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก และสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ มันไม่ได้เดือดร้อนใครเลย เราไม่ได้ไปแย่งของๆใคร เราคิดว่าเราเลือกทางนี้ มันไม่ได้ทำให้อนาคตเราแย่ลง เราเรียนตามที่แม่ขอ เราทำตามแม่ทุกอย่าง แต่ขอแค่นี้ มันมากไปไหม
หลังจากนั้น แม่ไม่คุยกับเรา วันนึง
วันรุ่งขึ้น เราออกไปเที่ยวกับเพื่อน พี่เราโทมาบอกว่า แม่ออกไปไหนไม่รู้ เรากังวลมาก กลัวแม่หนีออกจากบ้าน เพราะไม่อยากรับรู้พฤติกรรมของเรา เราร้องไห้ทั้งวัน เราเครียดมากๆ เราคิดเสมอว่า ถ้าแม่รู้ตั้งแต่แรกว่าถ้าเราเกิดมาแล้วเราจะผิดเพศ แม่เราก็คงจะไม่อยากให้เราเกิดมาหรอก เราคิดว่ามันบาปมากๆ แต่เราก็น้อยใจมากๆ ที่แม่ไม่เข้าใจเราสักที
จนตอนค่ำๆ เราก็กลับบ้าน และเห็นแม่กำลังนอน เราก็เข้าไปขอโทษแม่ที่พูดกับแม่เรื่องแฟนใหม่ เราเข้าไปกราบเท้าแม่ แม่เราก็ให้อภัยเรา (แต่ก็ยังคงแอนตี้อยู่ดี)
ตอนนี้เราคบกันแฟนใหม่ เกือบๆเดือน เราอยากพามาบ้าน ให้ ครอบครัวเรารู้จักมากๆ เราไม่อยากแอบคบ เพราะที่บ้านของแฟนเรา เขาก็พอรู้ว่า แฟนเรามีแฟนเป็นทอม แล้วเขาก็ไม่ค่อยว่าอะไรนัก มันผิดกับแม่ของเรา ที่ค่อยแอนตี้ตลอดเวลา
บางครั้งที่เรา ออกไปข้างนอกแล้วเห็น คนที่เป็นทอม เรายังนึกคิดในใจนะว่า พ่อแม่เขาเป็นอย่างเราไหม
เรื่องของเราก็มีแค่นี้ เราไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงแล้วจริงๆ บางทีก็น้อยใจ ว่าทำไมแม่เข้าใจ เราแย่มากเลยหรอ
บางครั้ง เราก็สรุปความคิดจากตัวเราเอง
ว่า บางที ค่าของคน มันไม่ได้อยู่ที่ความดีแล้ว มันอยู่ที่ชายจริง หญิงแท้
เพราะการที่เราเป็นทอม เท่ากับ ทรยศเพศที่พ่อแม่ให้แม่ เรารู้สึกเลวไปหมด
ไม่ว่าเราจะเรียนตามที่พ่อแม่ต้องการ ดูแลพ่อแม่ได้ดีขนาดไหน รักพ่อแม่ เป็นห่วงขนาดไหน เราก็รู้สึกว่า เราแย่อยู่วันยังค่ะ
ความดีไม่เคยพอหรอก ถ้าหากยังทำให้พ่อแม่ลำบากใจอย่างเรา
ขอบคุณมากค่ะ ที่อ่านจนจบ
รบกวนขอคำปรึกษาปัญหาเพศที่3ทีเถอะ ไม่ไหวแล้ว
เราอยากแชร์เรื่องของเรา และอยากแก้ปัญหาเหมือนกัน
เรื่องก็มีอยู่ว่า ตอนเรา ม.6 เรารู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนแถวบ้านแหล่ะ สนิทกันมาก ใกล้ชิดกัน จนสุดท้าย ก็เป็นแฟนกัน
แรกๆ แฟนเราก็เข้าออกบ้านเราได้ ในฐานะเพื่อนบ้านคนนึง แต่พอแม่เริ่มรู้ แม่ก็เริ่มแอนตี้ และ บอกกับแฟนเราว่า บ้านนี้ไม่ต้อนรับพวกผิดเพศ แม่รับไม่ได้ แฟนเราก็เสียใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังมีแอบเจอที่อื่นบ้าง มันเลยทำให้เราคิดว่า แทนที่บ้านจะเป็นสถานที่ที่ทำให้เรามีความสุข กลับเป็นที่ที่มีแต่ความอึดอัดเต็มไปหมด ช่วงนั้น เราไม่สามารถปรึกษาใครได้เลย เราเคยลองคุยกับแม่ตรงๆว่า เราชอบผู้หญิง แม่เราก็บอกประมาณว่า ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ แม่เลี้ยงลูกผิดตรงไหน แม่เรารับไม่ได้จริงๆ
จนมาวันนึง(ประมาณเราปี1) แม่เราเริ่มทนเราไม่ไหว ที่เห็นเราส่งข้อความคุยกับแฟนเราบ่อยๆ ก็เริ่มว่าหนักขึ้นไปเรื่อยๆ จนวันนึง เกิดเรื่องทะเลาะกันรุนแรง จนแม่เราโทไปว่าแฟนเรา ว่าทำไมไม่หยุดติดต่อเราสักที ในใจเราตอนนั้นเครียดมาก คิดอยากหนีออกจากบ้าน ในขณะนั้น แฟนเราก็อธิบายให้แม่ฟัง ว่าสิ่งที่เราเป็น มันไม่ได้ลำบากอะไรใคร และสิ่งที่เราเป็นไม่ได้หมายความว่า แม่ของเราจะเลี้ยงลูกไม่ได้ดี พอแฟนเราอธิบายไป แม่เราก็ยิ่งโมโห ตีความเป็นว่า แฟนเราไปว่าแม่ของเรา ซึ่งเราเองก็เข้าใจแม่ว่า แฟนเราเป็นเด็ก ก็ไม่ควรจะเถียงผู้ใหญ่ และเราก็เข้าใจแฟนเราว่า แฟนเราแค่อยากให้แม่เรา ปรับเปลี่ยนความคิด
ซึ่งตอนนั้น พี่ชายคนที่2ของเรา เขาบวชอยู่ พี่ชายเราโทมาหาแม่พอดี แม่ก็เล่าให้พี่ชายฟังว่าแฟนของเราไปว่าแม่
หลังจากที่พี่ชายศึก ก็มาพูดกับเราว่า แทนที่แม่จะได้บุญจากการที่พี่บวช กลับมาต้องมาฟังคนนอกบ้านว่าแม่ ให้เรากลับไปคิดอีกทีละกัน ว่าควรคบต่อไหม ?
ตอนนั้นในหัวของเรา ก็รักแม่ แล้วก็รักแฟนเช่นกัน เราปรึกษาเพื่อนที่มหาลัย เพื่อนก็บอกว่า ให้ทำตามความรู้สึกตัวเอง
เราเลยตัดสินใจเลือกทั้งแม่และแฟน แอบคบแฟนต่อไป
จนกระทั่งถึงวันเลิกลา ประมาณปี4 เพราะแฟนเรามีคนอื่น เราเสียใจมาก ไม่รู้จะปรึกษาใคร เลยเลือกที่จะปรึกษาพี่ชายคนโตของเรา ตอนแรกพี่เราก็รับไม่ได้ แต่เรากล้าที่จะพูดด้วยเหตุผลของเราเอง สุดท้ายพี่เราก็เข้าใจเรามากๆ และพูดกับเรา จะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้น้องสาวของพี่มีความสุขก็พอ (ลืมเล่าไปว่า ตอนปี1 พี่เราบอกว่า ถ้าทำเกรดเฉลี่ยได้เกิน 3.5 พี่จะอนุญาตให้เราคบกับแฟนเรา เราตั้งใจเรียนมากๆ จนสุดท้ายได้ 3.56 เราดีใจมากๆ พี่เราเห็นว่า เรามีแฟนแล้วไม่ทำให้การเรียนตก พี่เราเลยโอเค)
เราเสียใจมากๆกับรักครั้งแรกของเรา เราคิดว่า มันคือบทเรียนของเรา แต่เราไม่เคยคิดเกลียดอะไรแฟนเก่าเรา เพราะเข้าใจว่า ต่างคนต่างต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
เราตัดสินใจ เล่าทุกอย่างให้พ่อฟัง
เรา : พ่อคะ หนูอยากสารภาพกับพ่อตรงๆเป็นครั้งแรก ว่าหนูไม่ชอบผู้ชาย
พ่อ : ลูกจะเป็นอะไรก็ได่ ลูกมีหน้าที่เรียนหนังสือ ดูแลพ่อแม่ เชื่อฟัง
เรา : พ่อไม่รังเกียดใช่ไหมที่หนูเป็นอย่างนี้ พ่ออายไหม พ่อผิดหวังไหม พ่ออยากจะว่าไรก็ว่าหนูเลย
พ่อ: พ่อไม่เคยผิดหวังในตัวลูก ลูกรักพ่อแม่ อย่างนึงที่พ่อสอนคือ ไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ลำบากคนอื่น พ่อขอแค่นี้
หลังจากนั้น เราก็สนิทกับพ่อมากขึ้นและห่างกับแม่มากขึ้น เพราะไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม แม่จะว่าเราเสมอ เราเลยเลือกที่จะพูดคุยกับพ่อ
จนตอนนี้ เราเรียนปริญญาโทแล้ว
และเราก็ยังเป็นทอม เรามีแฟนใหม่ เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย
เหตุการณ์เริ่มขึ้นอีกครั้งคือ เราเลือกที่พูดกับแม่ตรงๆอีกครั้ง ว่าเรามีแฟนใหม่แล้ว เป็นผู้หญิง เป็นน้องที่มหาลัย น้องเค้าเรียนดี นิสัยดี เพราะเรารู้จักตั้งแต่ ปี1 เป็นน้องที่ไม่สนิท แต่ก็ได่ยินมาว่า นิสัยโอเค
เราก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ฟังอีกที ว่ารู้จักกันได้ไง ไปชอบเขาตอนไหน แล้วทำไมถึงชอบ น้องเค้าดียังไง
เราเริ่มเห็นอาการแม่ แม่ก็ยังคงแอนตี้อยู่ดี แต่เราไม่อยากปิดบังอะไรแม่ไปมากกว่านี้
เราบอกกับแม่ว่า เราคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่พอแล้ว เรารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก และสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ มันไม่ได้เดือดร้อนใครเลย เราไม่ได้ไปแย่งของๆใคร เราคิดว่าเราเลือกทางนี้ มันไม่ได้ทำให้อนาคตเราแย่ลง เราเรียนตามที่แม่ขอ เราทำตามแม่ทุกอย่าง แต่ขอแค่นี้ มันมากไปไหม
หลังจากนั้น แม่ไม่คุยกับเรา วันนึง
วันรุ่งขึ้น เราออกไปเที่ยวกับเพื่อน พี่เราโทมาบอกว่า แม่ออกไปไหนไม่รู้ เรากังวลมาก กลัวแม่หนีออกจากบ้าน เพราะไม่อยากรับรู้พฤติกรรมของเรา เราร้องไห้ทั้งวัน เราเครียดมากๆ เราคิดเสมอว่า ถ้าแม่รู้ตั้งแต่แรกว่าถ้าเราเกิดมาแล้วเราจะผิดเพศ แม่เราก็คงจะไม่อยากให้เราเกิดมาหรอก เราคิดว่ามันบาปมากๆ แต่เราก็น้อยใจมากๆ ที่แม่ไม่เข้าใจเราสักที
จนตอนค่ำๆ เราก็กลับบ้าน และเห็นแม่กำลังนอน เราก็เข้าไปขอโทษแม่ที่พูดกับแม่เรื่องแฟนใหม่ เราเข้าไปกราบเท้าแม่ แม่เราก็ให้อภัยเรา (แต่ก็ยังคงแอนตี้อยู่ดี)
ตอนนี้เราคบกันแฟนใหม่ เกือบๆเดือน เราอยากพามาบ้าน ให้ ครอบครัวเรารู้จักมากๆ เราไม่อยากแอบคบ เพราะที่บ้านของแฟนเรา เขาก็พอรู้ว่า แฟนเรามีแฟนเป็นทอม แล้วเขาก็ไม่ค่อยว่าอะไรนัก มันผิดกับแม่ของเรา ที่ค่อยแอนตี้ตลอดเวลา
บางครั้งที่เรา ออกไปข้างนอกแล้วเห็น คนที่เป็นทอม เรายังนึกคิดในใจนะว่า พ่อแม่เขาเป็นอย่างเราไหม
เรื่องของเราก็มีแค่นี้ เราไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงแล้วจริงๆ บางทีก็น้อยใจ ว่าทำไมแม่เข้าใจ เราแย่มากเลยหรอ
บางครั้ง เราก็สรุปความคิดจากตัวเราเอง
ว่า บางที ค่าของคน มันไม่ได้อยู่ที่ความดีแล้ว มันอยู่ที่ชายจริง หญิงแท้
เพราะการที่เราเป็นทอม เท่ากับ ทรยศเพศที่พ่อแม่ให้แม่ เรารู้สึกเลวไปหมด
ไม่ว่าเราจะเรียนตามที่พ่อแม่ต้องการ ดูแลพ่อแม่ได้ดีขนาดไหน รักพ่อแม่ เป็นห่วงขนาดไหน เราก็รู้สึกว่า เราแย่อยู่วันยังค่ะ
ความดีไม่เคยพอหรอก ถ้าหากยังทำให้พ่อแม่ลำบากใจอย่างเรา
ขอบคุณมากค่ะ ที่อ่านจนจบ