จากรายการเจาะข่าวเด่น เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2556
ท่านรัฐมนตรีคะ ขอถามหน่อยนะคะว่ายกเลิกระบบสอบตรงแล้วได้อะไรขึ้นมา เมื่อเนื้อหาในข้อสอบAdmissionของคุณก็ไม่อยู่ในขอบเขตเนื้อหาของหนังสือกระทรวงของคุณอยู่ดี คุณเคยดูตัวข้อสอบของคุณหรือไม่ว่าถามอะไรเด็กบ้าง แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทุกข้อที่เกินเนื้อหา แต่มันใช่ทุกข้อหรือไม่ที่เป็นสิ่งที่เด็กควรจะรู้ ยกตัวอย่างข้อสอบONETที่ถามถึงสีผ้าปูโต๊ะอาหาร อีกทั้งการที่คุณให้น้ำหนักกับวิชารองเท่ากับวิชาหลัก คุณคิดว่าเด็กที่ทำข้อสอบเหล่านี้ของคุณได้ควรจะเข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัยอย่างนั้นหรือ มหาวิทยาลัยเขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกบุคคลที่มีความสามารถมากพอเข้าศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจะมีการสอบไปทำไม
หนูไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนการสอบมันจะช่วยในเรื่อง"การเรียนในห้อง"ได้อย่างไร ในเมื่อ
"ครู" ไม่สนใจที่จะสอน หรือนั่นอาจเป็นเพราะ"ระบบการศึกษาของคุณ"ไม่สามารถจะควบคุมคนของคุณได้
"หนังสือ" ที่แต่ละปีเนื้อหาข้างในเหมือนเดิม มีแต่การเขียนให้ท่องจำและใช้หนังสืออ้างอิงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ไม่มีการปรับปรุงเนื้อหาใดๆเพียงแค่เปลี่ยนปกทำให้มันดูดีขึ้น
นี่คือ ตัวอย่างหนังสือกระทรวงที่หนูได้มาตอนปี2554 ซึ่งเป็นปีที่หนูเข้าม.4 และทางกระทรวงได้แจกหนังสือมาทีเดียวตั้งแต่ม.4-6

ให้มาครบ3ปี นั่นหมายถึงว่า3ปีนี้เนื้อหาจะไม่มีการเพิ่มเติม ไม่มีการปรับปรุง ในเด็กรุ่นนั้นๆ ตอนม.6อาจจะเกิดงานวิจัยใหม่ขึ้นมาแล้วก็เป็นได้
มาดูหนังสืออ้างอิงกันค่ะ

ใหม่สุดคือปี2542 และมีเก่าไปถึงปี2524(1981)
นี่หนังสือชีววิทยา ไม่ใช่หนังสือวรรณคดีที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาตลอด32ปี
คุณทำเพื่อเด็กหรือแค่ไม่อยากให้ผลประโยชน์กระจายไปแหล่งอื่นกัน ลองถ้าคุณเป็นอธิการบดี คุณอาจจะไม่ออกมาพูดอย่างวันนี้ก็เป็นได้
หนูเป็นเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะสอบเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยและหนูก็เรียนพิเศษ แต่การเรียนในห้องหนูก็ไม่ทิ้ง เพราะ"ครู"ของหนูเขาตั้งใจที่จะมอบความรู้ให้เด็กจริงๆ นั่นเป็นเพราะโรงเรียนของหนูเองที่สามารถควบคุมบุคลากรของเขาได้ หนูแค่มองว่าการเรียนพิเศษเป็นการฝึกฝนตนเองอีกทางหนึ่ง ซึ่งถ้าคุณอยากให้เด็กเรียนในห้องคุณควรจะเริ่มจาก"ระบบและคนของคุณ" ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุโดยโทษมหาวิทยาลัยและโรงเรียนสอนพิเศษ
ในฐานะคนๆหนึ่งที่กำลังอยู่ในขั้นศึกษาเล่าเรียน พวกเราที่อยากพัฒนาตนเองไม่สนหรอกค่ะว่าความรู้ที่พวกเราจะได้รับมาจากแหล่งใด ไม่สนว่าการเรียนรู้ของเราจะให้ผลประโยชน์แก่ใครบ้าง ไม่สนว่าความทะเยอทะยานของเรามันจะทำให้ใครต้องเสียโอกาส ในเมื่อเราก็เป็นคนนึงที่ต้องการไปสู่ความฝันของเราเหมือนกัน ถ้าคุณสามารถสนอง"ความต้องการความรู้"ของพวกเราได้ ทำไมพวกเราจึงต้อง"พยายาม"ที่จะหาความรู้และทางเดินสู่ฝันของเราจากแหล่งอื่น
จาก เด็กคนหนึ่งที่หวังดีต่อประเทศไทย
**เรียน ท่านรมว.ศึกษาธิการ จากเด็กคนหนึ่งในระบบการศึกษาไทย**
ท่านรัฐมนตรีคะ ขอถามหน่อยนะคะว่ายกเลิกระบบสอบตรงแล้วได้อะไรขึ้นมา เมื่อเนื้อหาในข้อสอบAdmissionของคุณก็ไม่อยู่ในขอบเขตเนื้อหาของหนังสือกระทรวงของคุณอยู่ดี คุณเคยดูตัวข้อสอบของคุณหรือไม่ว่าถามอะไรเด็กบ้าง แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทุกข้อที่เกินเนื้อหา แต่มันใช่ทุกข้อหรือไม่ที่เป็นสิ่งที่เด็กควรจะรู้ ยกตัวอย่างข้อสอบONETที่ถามถึงสีผ้าปูโต๊ะอาหาร อีกทั้งการที่คุณให้น้ำหนักกับวิชารองเท่ากับวิชาหลัก คุณคิดว่าเด็กที่ทำข้อสอบเหล่านี้ของคุณได้ควรจะเข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัยอย่างนั้นหรือ มหาวิทยาลัยเขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกบุคคลที่มีความสามารถมากพอเข้าศึกษาต่อ ไม่เช่นนั้นจะมีการสอบไปทำไม
หนูไม่เข้าใจว่าการเปลี่ยนการสอบมันจะช่วยในเรื่อง"การเรียนในห้อง"ได้อย่างไร ในเมื่อ
"ครู" ไม่สนใจที่จะสอน หรือนั่นอาจเป็นเพราะ"ระบบการศึกษาของคุณ"ไม่สามารถจะควบคุมคนของคุณได้
"หนังสือ" ที่แต่ละปีเนื้อหาข้างในเหมือนเดิม มีแต่การเขียนให้ท่องจำและใช้หนังสืออ้างอิงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ไม่มีการปรับปรุงเนื้อหาใดๆเพียงแค่เปลี่ยนปกทำให้มันดูดีขึ้น
นี่คือ ตัวอย่างหนังสือกระทรวงที่หนูได้มาตอนปี2554 ซึ่งเป็นปีที่หนูเข้าม.4 และทางกระทรวงได้แจกหนังสือมาทีเดียวตั้งแต่ม.4-6
ให้มาครบ3ปี นั่นหมายถึงว่า3ปีนี้เนื้อหาจะไม่มีการเพิ่มเติม ไม่มีการปรับปรุง ในเด็กรุ่นนั้นๆ ตอนม.6อาจจะเกิดงานวิจัยใหม่ขึ้นมาแล้วก็เป็นได้
มาดูหนังสืออ้างอิงกันค่ะ
ใหม่สุดคือปี2542 และมีเก่าไปถึงปี2524(1981)
นี่หนังสือชีววิทยา ไม่ใช่หนังสือวรรณคดีที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาตลอด32ปี
คุณทำเพื่อเด็กหรือแค่ไม่อยากให้ผลประโยชน์กระจายไปแหล่งอื่นกัน ลองถ้าคุณเป็นอธิการบดี คุณอาจจะไม่ออกมาพูดอย่างวันนี้ก็เป็นได้
หนูเป็นเด็กคนหนึ่งที่กำลังจะสอบเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยและหนูก็เรียนพิเศษ แต่การเรียนในห้องหนูก็ไม่ทิ้ง เพราะ"ครู"ของหนูเขาตั้งใจที่จะมอบความรู้ให้เด็กจริงๆ นั่นเป็นเพราะโรงเรียนของหนูเองที่สามารถควบคุมบุคลากรของเขาได้ หนูแค่มองว่าการเรียนพิเศษเป็นการฝึกฝนตนเองอีกทางหนึ่ง ซึ่งถ้าคุณอยากให้เด็กเรียนในห้องคุณควรจะเริ่มจาก"ระบบและคนของคุณ" ไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุโดยโทษมหาวิทยาลัยและโรงเรียนสอนพิเศษ
ในฐานะคนๆหนึ่งที่กำลังอยู่ในขั้นศึกษาเล่าเรียน พวกเราที่อยากพัฒนาตนเองไม่สนหรอกค่ะว่าความรู้ที่พวกเราจะได้รับมาจากแหล่งใด ไม่สนว่าการเรียนรู้ของเราจะให้ผลประโยชน์แก่ใครบ้าง ไม่สนว่าความทะเยอทะยานของเรามันจะทำให้ใครต้องเสียโอกาส ในเมื่อเราก็เป็นคนนึงที่ต้องการไปสู่ความฝันของเราเหมือนกัน ถ้าคุณสามารถสนอง"ความต้องการความรู้"ของพวกเราได้ ทำไมพวกเราจึงต้อง"พยายาม"ที่จะหาความรู้และทางเดินสู่ฝันของเราจากแหล่งอื่น
จาก เด็กคนหนึ่งที่หวังดีต่อประเทศไทย