ปัญหาเกษตรกรชาวสวนยางเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาราคายางตกต่ำจนนำไปสู่การปิดถนน เกิดความรุนแรงจนได้เมื่อรัฐบาลเลือกใช้วิธีการรุนแรงในการสลายการชุมนุม
ผมเคยเรียนมาตลอด ไม่เคยเห็นด้วยหรือสนับสนุนการต่อรองใดๆ ที่ใช้ความเดือดร้อนของคนในสังคม เพื่อเรียกร้องกดดันให้กลุ่มของตัวเองได้ประโยชน์ตามที่ต้องการ เพราะนั่นไม่ใช่การให้สิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยและกับม็อบชาวสวนยางก็เช่นกัน
ขณะเดียวกันการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลในการแก้ปัญหาม็อบ โดยเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของชาวสวนยาง เป็นความน่าอัปยศ ซึ่งหากใครได้คิดตามการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร จะเห็นได้ว่ารัฐบาลมองชาวสวนยางต่างจากเกษตรกรกลุ่มอื่น ด้วยการสะกดจิตตัวเองว่า ม็อบชาวสวนยางเป็นม็อบการเมืองที่มีพรรคการเมืองฝ่ายค้านให้การหนุนหลัง
เอาง่ายๆ ดูกระบวนการดูแลชาวนาผู้ปลูกข้าวของรัฐบาล ก็จะเห็นได้ชัดเจนจากนโยบายจำนำราคาข้าวทุกเมล็ดตันละ 1.5 หมื่นบาท ขณะที่ต้นทุนราคา 6,0008,000 บาท โดยไม่คำนึงถึงราคาตลาดโลก และวันนี้ได้สร้างปัญหาในระดับประเทศด้วยการใช้เงินกว่า 7 แสนล้านบาท พร้อมกองข้าวจำนวนมหึมาที่ไม่มีใครในโลกให้ความสนใจสั่งซื้อด้วยวิธีปกติ
ครับ...สิ่งที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวถูกคลี่คลายด้วยการคิดวาทกรรมให้คนคัดค้าน กลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำด้วยส่งผ่านคำพูดผ่านคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี “ให้ชาวนาเถิดค่ะ”
ง่ายๆ ปัดปัญหาพ้นตัว ไม่ต้องรับผิดชอบความล้มเหลว ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความไร้ประสิทธิภาพ
ปัญหาราคายางตกต่ำไม่ใช่เกิดขึ้นมาในช่วงเดือน2 เดือน แต่เกิดมาร่วม 2 ปี รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ทราบดี แต่ไม่เคยเข้าไปใช้สติปัญญาหาทางคลี่คลาย มีเพียงคำพูดของรัฐมนตรีชาวใต้ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯที่ประกาศเสียงฟังรื่นหูจะทำให้ราคาตีกลับขึ้นมา ราคาที่เกษตรกรชาวสวนยางอยู่ได้คือ โลละ 120 บาท
วันนี้ท่านเต้นณัฐวุฒิไปเต้นบนเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์สบายใจเฉิบ โดยทิ้งให้ชาวสวนยางรอคอยการเข้าไปช่วยจัดการปัญหาราคายางตกต่ำ และหวังจะได้เห็นราคายางกลับไปสู่ราคา 120 บาทต่อกิโลกรัม
ครับ...ความที่รัฐบาลไม่ได้ใส่ใจจัดการปัญหาสินค้าเกษตรอย่างแตกต่าง สองมาตรฐาน นำมาซึ่งความอัดอั้นตันใจ สะสมจนกลายเป็นความโกรธแค้น จนก่อเกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรง เสียงจากรัฐบาลยังคือความเฉยเมย
นั่นคือปฐมเหตุ และหากคิดว่าการใช้มาตรการรุนแรงทำให้ทุกอย่างจบลงได้ เพราะเชื่อมั่นในกำปั้นที่ใหญ่กว่า หนทางข้างหน้าโอกาสที่พบแผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง มีให้เห็นได้ไม่ยาก คุณยิ่งลักษณ์ไม่คิดไปทำความเข้าใจในปาฐกถาคุณโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ดูสักหน่อยหรือ?
ครับ...ขอแสดงความเครียดถึงท่านนายกฯ
ที่มา:
http://www.posttoday.com/คอลัมน์นิสต์ออนไลน์/247254/ยังสบายดี
ปล.ผมบอกแล้ว รัฐบาลปู มัวแต่แก้รัฐธรรมนูญ ช่วยพี่ชาย...เอิ๊ก ๆ ๆ
ยังสบายดี?
ผมเคยเรียนมาตลอด ไม่เคยเห็นด้วยหรือสนับสนุนการต่อรองใดๆ ที่ใช้ความเดือดร้อนของคนในสังคม เพื่อเรียกร้องกดดันให้กลุ่มของตัวเองได้ประโยชน์ตามที่ต้องการ เพราะนั่นไม่ใช่การให้สิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยและกับม็อบชาวสวนยางก็เช่นกัน
ขณะเดียวกันการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลในการแก้ปัญหาม็อบ โดยเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของชาวสวนยาง เป็นความน่าอัปยศ ซึ่งหากใครได้คิดตามการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร จะเห็นได้ว่ารัฐบาลมองชาวสวนยางต่างจากเกษตรกรกลุ่มอื่น ด้วยการสะกดจิตตัวเองว่า ม็อบชาวสวนยางเป็นม็อบการเมืองที่มีพรรคการเมืองฝ่ายค้านให้การหนุนหลัง
เอาง่ายๆ ดูกระบวนการดูแลชาวนาผู้ปลูกข้าวของรัฐบาล ก็จะเห็นได้ชัดเจนจากนโยบายจำนำราคาข้าวทุกเมล็ดตันละ 1.5 หมื่นบาท ขณะที่ต้นทุนราคา 6,0008,000 บาท โดยไม่คำนึงถึงราคาตลาดโลก และวันนี้ได้สร้างปัญหาในระดับประเทศด้วยการใช้เงินกว่า 7 แสนล้านบาท พร้อมกองข้าวจำนวนมหึมาที่ไม่มีใครในโลกให้ความสนใจสั่งซื้อด้วยวิธีปกติ
ครับ...สิ่งที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวถูกคลี่คลายด้วยการคิดวาทกรรมให้คนคัดค้าน กลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำด้วยส่งผ่านคำพูดผ่านคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี “ให้ชาวนาเถิดค่ะ”
ง่ายๆ ปัดปัญหาพ้นตัว ไม่ต้องรับผิดชอบความล้มเหลว ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความไร้ประสิทธิภาพ
ปัญหาราคายางตกต่ำไม่ใช่เกิดขึ้นมาในช่วงเดือน2 เดือน แต่เกิดมาร่วม 2 ปี รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ทราบดี แต่ไม่เคยเข้าไปใช้สติปัญญาหาทางคลี่คลาย มีเพียงคำพูดของรัฐมนตรีชาวใต้ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯที่ประกาศเสียงฟังรื่นหูจะทำให้ราคาตีกลับขึ้นมา ราคาที่เกษตรกรชาวสวนยางอยู่ได้คือ โลละ 120 บาท
วันนี้ท่านเต้นณัฐวุฒิไปเต้นบนเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์สบายใจเฉิบ โดยทิ้งให้ชาวสวนยางรอคอยการเข้าไปช่วยจัดการปัญหาราคายางตกต่ำ และหวังจะได้เห็นราคายางกลับไปสู่ราคา 120 บาทต่อกิโลกรัม
ครับ...ความที่รัฐบาลไม่ได้ใส่ใจจัดการปัญหาสินค้าเกษตรอย่างแตกต่าง สองมาตรฐาน นำมาซึ่งความอัดอั้นตันใจ สะสมจนกลายเป็นความโกรธแค้น จนก่อเกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรง เสียงจากรัฐบาลยังคือความเฉยเมย
นั่นคือปฐมเหตุ และหากคิดว่าการใช้มาตรการรุนแรงทำให้ทุกอย่างจบลงได้ เพราะเชื่อมั่นในกำปั้นที่ใหญ่กว่า หนทางข้างหน้าโอกาสที่พบแผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง มีให้เห็นได้ไม่ยาก คุณยิ่งลักษณ์ไม่คิดไปทำความเข้าใจในปาฐกถาคุณโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ดูสักหน่อยหรือ?
ครับ...ขอแสดงความเครียดถึงท่านนายกฯ
ที่มา:http://www.posttoday.com/คอลัมน์นิสต์ออนไลน์/247254/ยังสบายดี
ปล.ผมบอกแล้ว รัฐบาลปู มัวแต่แก้รัฐธรรมนูญ ช่วยพี่ชาย...เอิ๊ก ๆ ๆ