เกร็ดสามก๊ก
ขุนพลเมืองใต้
ตอนที่ ๓ ทหารเอกกังตั๋ง
เล่าเซี่ยงชุน
พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ซุนกวนก็ยกกองทัพไปตั้งค่ายอยู่ที่หน้าเมือง หับป๋า ซึ่งเตียวเลี้ยว ทหารเอกของโจโฉเป็นผู้รักษาอยู่ คราวนี้ทั้งสองฝ่ายรบกันที่สะพานเสียวเกียว ซุนกวนให้กำเหลงกับลิบองเป็นกองหน้าเช่นเคย ทั้งสองก็ได้เข้าสู้รบกับงักจิ้นทหารรองของเตียวเลี้ยว งักจิ้นสู้ได้ประมาณสิบเพลงก็ถอยไปทางปลายสะพาน ซุนกวนกับเล่งทองก็ขับม้าพาทหารตามไป พอถึงที่ซึ่งเตียวเลี้ยมซุ่มทหารไว้ ก็ถูกรุมล้อมตีกระหนาบ ทหารก็ถูกฆ่าฟันล้มตายแตกตื่นเป็นอันมาก กำเหลงกับลิบองก็ตามงักจิ้นไปไกล กลับมาช่วยไม่ทัน
เล่งทองจึงพาซุนกวนหนีข้ามสะพาน แต่สะพานนั้นขาดอยู่ประมาณสิบศอก เล่งทองก็หันมาต่อสู้กับเตียวเลี้ยวเพื่อป้องกันซุนกวน ให้ควบม้ากระโดดข้ามช่องที่ขาดจนถึงแผ่นดินฝั่งโน้น พอดีชีเซ่งกับตังสิด หาเรือมาได้ลำหนึ่ง จึงพาซุนกวนลงเรือได้
เหลือแต่เล่งทองที่กัดฟันสู้รบกับเตียวเลี้ยวจนสุดกำลัง ทหารก็ถูกฆ่าตายหมด ตนเองนั้นก็ต้องอาวุธทั่วกายเป็นหลายแผล เหลือกำลังที่จะรบจึงชักม้าหนีเตียวเลี้ยว ไปถึงเชิงสะพาน ก็พบกับกำเหลงและลิบอง ต่างก็ทิ้งม้าโจนลงน้ำว่ายหนีไป ซุนกวนจึงถอยเรือมารับ แล้วพากันไปยังค่ายที่ปากแม่น้ำญี่สู แดนของเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายโจโฉรู้ข่าวศึกครั้งนี้ ก็ยกกองทัพมาสมทบประมาณสี่สิบหมื่น ซุนกวนก็ให้ตังสิดกับซีเซ่งคุมเรือรบห้าสิบลำ ไปขัดตาทัพอยู่ที่ปากแม่น้ำญี่สู แล้วก็หาตัวนายทหารที่จะลอบยกไปโจมตีกองทัพโจโฉ ซึ่งเพิ่งมาถึงยังอิดโรยอยู่
เล่งทองก็อาสาว่า
“ ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันยกไปโจมตีให้ทหารโจโฉเสียทีจงได้ “
กำเหลงก็ว่า
“ เล่งทองจะเอาทหารสามพันนั้นมากนัก ข้าพเจ้าจะขอทหารแต่ร้อยหนึ่ง ยกไปทำการเอาชัยชนะให้จงได้ “
ซุนกวนจึงแก่กำเหลงว่า
“ อันความคิดและฝีมือทหารโจโฉนั้นใหญ่หลวงนัก ท่านจะดูหมิ่นนั้นไม่ได้ จงให้เล่งทองไปเถิด “
แล้วก็ให้เล่งทองคุมทหารสามพันไปตามที่ขอ แต่แล้วซุนกวนก็คิดวิตกว่าเล่งทองจะเสียทีแก่โจโฉ จึงให้ลิบองคุมทหารหนุนไปอีก ก็ไปเจอเล่งทองกำลังสู้รบกับเตียวเลี้ยวซึ่งเป็นกองหน้าของโจโฉอยู่ จึงเข้าไปช่วยแล้วพากันกลับมาค่าย
กำเหลงเห็นดังนั้น จึงบอกกับซุนกวนว่า
“ กลางคืนวันนี้ข้าพเจ้าจะขอทหารแต่ร้อยหนึ่งไปปล้นค่ายโจโฉให้ได้ แม้เสียทหารแต่คนหนึ่งก็ดี ม้าตัวหนึ่งก็ดี ก็อย่าให้ยกความชอบแก่ข้าพเจ้าเลย “
ซุนกวนเชื่อฝีมือกำเหลงอยู่แล้ว จึงมอบทหารม้าที่มีฝีมือร้อยหนึ่ง กับสุราห้าสิบไห เนื้อแพะสิบชั่ง ให้แก่กำเหลง พอกลับมาถึงค่ายกองหน้ากำเหลงก็เอาขันเงินตักสุรากินเข้าไปสองขัน แล้วประกาศแก่ทหารว่า
"...บัดนี้นายเราให้ไปปล้นค่ายโจโฉ ชาวเจ้าทั้งปวงจงช่วยกันทำการให้เต็มมือ จึงจะได้ชัยชนะ......"
ทหารได้ฟังก็คิดว่ามีคนร้อยหนึ่งเท่านี้หรือ จะปล้นค่ายโจโฉ ก็ได้แต่ก้มหน้าเป็นทุกข์กันอยู่ กำเหลงก็โกรธชักกระบี่ออกแล้วว่า
"....ตัวกูเป็นนายทหารเอกมิได้รักชีวิต เอ็งเหล่านี้เป็นแค่ทหารเลว เหตุใดจึงกลัวความตาย แม้ผู้ใดย่อท้อไม่เป็นใจทำการ กูจะเอากระบี่นี้ตัดศีรษะเสีย....."
ทหารทั้งปวงกลัวกำเหลง ก็รับอาสาว่าจะร่วมใจกันตีค่ายโจโฉให้สำเร็จ กำเหลงก็เอาสุรากับเนื้อแพะมาแจกจ่าย ให้ทหารกินจนทั่วหน้ากัน
ครั้นเวลาพลบค่ำ กำเหลงก็ให้ทหารเอาขนห่านมาปักหมวกไว้ทุกคนจะได้เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าพวกเดียวกัน พอถึงยามหนึ่งก็พาทหารม้าเหล่านั้นไปซุ่มอยู่ข้างเนินเขาแห่งหนึ่ง รอจนเห็นได้ที ก็พาทหารควบม้าฝ่าขวากหนาม โห่ร้องเข้าไปโจมตีปล้นค่ายโจโฉ แล้วจุดเพลิงเผาขึ้นหลายแห่ง กำเหลงกับทหารร้อยคนนั้น ก็อาศัยความมืด ไล่ฆ่าฟันทหารของโจโฉล้มตายลงเป็นอันมาก เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร โจโฉและทหารในค่ายก็แตกตื่นหนีกันอลหม่าน เหยียบกันบาดเจ็บล้มตายไปก็อีกมาก
ซุนกวนก็ให้จิวท่ายคุมทหาร หนุนตามไปหวังจะช่วยป้องกันกำเหลง แต่กำเหลงกลับมาพร้อมด้วยทหารทั้งร้อยคนไม่มีใครเป็นอันตรายเลย ซุนกวนก็ยินดีให้ทหารตีฆ้องกลองม้าล่ออื้ออึงออกไปรับนอกค่าย ทั้งให้รางวัลเป็นดาบอย่างดีร้อยเล่มแพรอย่างดีพันพับ กำเหลงก็แจกจ่ายให้ทหารไปทั้งหมด
ซุนกวนสรรเสริญว่า
“ท่านอาสาครั้งนี้ทำให้อ้ายศัตรูเฒ่าตกใจ เสียทหารเป็นอันมาก ตัวเรามิใช่จะไม่รักท่านนั้นหามิได้ แต่คิดว่าจะให้ทหารทั้งปวงปรากฏฝีมือท่านไว้ “
และลงท้ายว่า
"...โจโฉนั้นได้เตียวเลี้ยวเป็นทหารเอก เราก็ได้กำเหลงไว้เป็นทหารเอก พอจะสู้กับเตียวเลี้ยวได้....."
พอรุ่งเช้าโจโฉรวบรวมทหารได้แล้วก็ให้เตียวเลี้ยวคุมทหารไปร้องด่าท้าทายหน้าค่ายซุนกวน เล่งทองอยากจะแสดงฝีมือให้มีความชอบบ้าง จึงขอทหารห้าพันยกออกไปรบ โดยมีซุนกวนและทหารเอกติดตามไปดูในสนามรบด้วย
เตียวเลี้ยวก็สั่งให้ งักจิ้น ออกไปปะทะกับเล่งทอง ล่อกันถึงห้าสิบเพลงยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ โจฮิว อยากจะช่วยงักจิ้น จึงเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกม้าของเล่งทอง ม้าก็ สบัดเล่งทองพลัดตกจากหลังลงมานอนแอ้งแม้งอยู่กลางดิน งักจิ้นได้ทีก็ขับม้าเงื้อทวนจะแทงเล่งทองให้ถนัด
กำเหลงเห็นว่าไม่ยุติธรรม จึงยิงเกาทัณฑ์ถูกหน้าผากงักจิ้นตกจากหลังม้า จากนั้นทหารทั้งสองฝ่ายก็เข้าไปช่วยกันนายทหารทั้งสองออกจากที่รบ
เมื่อกลับมาถึงค่ายแล้ว ซุนกวนจึงบอกเล่งทองว่า
“ เมื่อท่านตกม้าลง งักจิ้นขับม้าเข้ามาจะเอาทวนแทงท่านนั้น หากกำเหลงช่วยยิงเกาทัณฑ์ไปถูกงักจิ้นตกม้าลง ท่านจึงรอดจากความตาย “
เล่งทองได้ฟังก็ลุกไปคำนับกำเหลงแล้วว่า
"..ท่านช่วยแก้เราไว้ครั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งเราคิดพยาบาทท่านมาแต่ก่อนนั้น เราขออภัยเถิด แต่นี้สืบไปภายหน้า เราจะได้ตั้งใจประนอมต่อท่าน....."
กำเหลงได้ฟังก็มีความยินดี แล้วต่างคนต่างก็สาบานว่า จะเป็นมิตรแก่กันมิได้มีความสงสัยอีกเลย
ต่อมาอีกไม่นาน โจโฉก็ยกกองทัพแบ่งออกเป็นห้าสายเข้าตีทางด้าน ปากแม่น้ำญี่สู ซึ่งตังสิดกับชีเซ่งขัดตาทัพอยู่ เมื่อทหารเห็นข้าศึกดากันเข้ามามากมาย ก็หน้าซีดกลัวตายกันทุกคน ชีเซ่งจึงประกาศว่า
“ ธรรมดาเป็นชาติทหารกินเบี้ยหวัดท่าน ถ้ามีสงครามมาก็ให้ตั้งใจรบพุ่งเป็นสามารถ แลตัวท่านทั้งปวงนี้ เห็นแต่ข้าศึกมาก็ให้ตั้งย่อท้อดังนี้ ไม่สมควรเป็นชาติทหาร บัดนี้เราจะขึ้นไปต่อสู้ด้วยข้าศึก แม้ผู้ใดครั่นคร้ามอยู่เราจะตัดศีรษะเสีย “
แล้วชีเซ่งก็พาทหารของตนลงเรือเล็กไปขึ้นหาดทราย และเข้าตลุมบอนกับกองหน้าข้าศึกเป็นอุตลุด ตังสิดคุมเรือรบอยู่ ก็ให้ทหารตีฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึง และจะขึ้นไปช่วยชีเซ่ง พอดีมีลมพายุใหญ่พัดมา เสียงคลื่นและลมนั้นเอิกเกริก เรือรบทั้งปวงก็ปะทะกันวุ่นวายดังจะล่มลง ทหารเลวทั้งปวงก็ตกใจ พากันวิ่งจะไปลงเรือเล็กขึ้นฝั่งหนีความตาย
ตังสิดเห็นดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกไล่ฟันทหารเลวตายไปหลายสิบคน แล้วร้องประกาศว่า
“ นายเราให้มาขัดทัพอยู่ เกิดลมพายุแต่เพียงนี้ ต่างคนต่างจะหนีขึ้นบก แม้จะขืนขึ้นไปให้ได้ เราจะฟันเสียให้สิ้น “
แต่พายุก็ยิ่งพัดหนักขึ้น คลื่นก็กำเริบหนักขึ้น เรือรบก็ล่มลงหลายลำ แม้เรือของตังสิดก็ล่มลงด้วย ตังสิดว่ายน้ำจนสิ้นแรงก็ถึงแก่ความตาย พร้อมกับทหารอีกมากมาย
ฝ่ายตันบูซึ่งเป็นกองตระเวนอยู่บนบก ก็ยกกลับมาช่วยชีเซ่งรบกับข้าศึก ซุนกวนก็พาจิวท่ายคุมทหารออกจากค่ายเข้ารบด้วย ขณะที่รบกันอลหม่านอยู่นั้น จิวท่ายกับซุนกวนก็พลัดกัน จิวท่ายขับม้าเที่ยวออกหาจนถึงชายทะเลก็ไม่พบ จึงหวนกลับมาเจอซุนกวน กำลังตลุมบอนอยู่กลางวงล้อมของข้าศึก จึงเข้าช่วยแก้กันออกมาจากที่ล้อมได้ และให้ซุนกวนขับม้าไปข้างหน้า จิวท่ายคอยปัดป้องลูกเกาทัณฑ์ข้าศึกอยู่ข้างหลัง จนถึงชายทะเล ก็พบลิบองคุมเรือรบมารับไปได้
แล้วจิวท่ายก็กลับเข้าไปในกลางสมรภูมิช่วยเอาชีเซ่งกลับออกมาได้อีกคนหนึ่ง ส่วนตันบูนั้นถูกข้าศึกฆ่าตายอยู่ในที่รบ เมื่อเรือของซุนกวนถอยมานั้น ฝ่ายโจโฉก็ให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์ตามหลัง พอดีลกซุนคุมเรือรบมีกำลังทหารมากมาย จึงยิงเกาทัณฑ์ต่อต้านโจโฉ แล้วลงจากเรือขึ้นบกไปปะทะกับทหารโจโฉ ซึ่งอิดโรยเต็มทีแล้ว ฝ่ายโจโฉจึงแตกถอยกลับไปค่าย
ลกซุนก็เอาศพตันบูกลับมาได้ และซุนกวนก็ให้ทหารเอาอวนมาพานลากศพตังสิดขึ้นมาได้ และเอาไปฝังไว้ที่เมืองกังตั๋งทั้งสองศพ
เมื่อกลับมาถึงค่ายแล้วซุนกวนก็จัดโต๊ะ เลี้ยงทหารทั้งปวงที่รอดชีวิตมา ซุนกวนคิดถึงความชอบของจิวท่าย จึงรินสุราให้จิวท่ายด้วยตนเอง และว่า
“ ตัวท่านตั้งใจสุจริตต่อเราครั้งนี้ สู้เอาชีวิตเข้าแลกชีวิตเราออกมาได้นั้น คุณหาที่สุดไม่ อุปมาเหมือนตายอยู่หว่างทหารโจโฉ ท่านเอาซากศพเรามาชุบขึ้นให้เป็น เราจะให้ท่านบังคับทหารในเมืองกังตั๋งกึ่งหนี่ง ตัวท่านจงคิดว่าเป็นพี่น้องร่วมอุทรกันเถิด “
แล้วก็ให้จิวท่ายถอดเสื้อออกเห็นแผลอาวุธนั้นทั่วกาย ซุนกวนจึงถามว่าแผลนั้นแผลนี้แผลโน้นถูกอาวุธสิ่งใด จิวท่ายก็บอกว่า แผลนี้ถูกทวนเมื่อเที่ยวหาท่าน แผลนั้นถูกง้าวเมื่อพบท่าน แผลโน้นถูกกระบี่เมื่อพลัดกับท่าน เมื่อ จิวท่ายบอกถึงแผลใด ซุนกวนก็รินสุราให้กินทีนั้น จนจิวท่ายเมาสุรานอนหลับไป ซุนกวนจึงให้ทหารยกตัวจิวท่ายขึ้นใส่เกวียน เอาสัปทนทองของตนกั้นแล้วพาไปส่งถึงที่พัก
ในการสงครามครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ปะทะกันอีกหลายครั้ง จนล่วงไปเดือนเศษ ก็ยังไม่มีฝ่ายใดเอาแพ้ชนะกันได้ เตียวเจียว ที่ปรึกษาฝ่ายพลเรือนจึงแนะนำให้ซุนกวนยอมอ่อนน้อมต่อโจโฉ ขอส่งบรรณาการตามธรรมเนียมทุกปี
โจโฉก็ยินดีแต่ยังเกี่ยงให้ซุนกวนถอยไปก่อน ซุนกวนก็ให้จิวขิมอยู่รักษาค่ายญี่สู แล้วก็ยกทัพกลับคืนไปเมืองกังตั๋ง โจโฉก็ให้เตียวเลี้ยวอยู่รักษาเมืองหับป๋าตามเดิม แล้วก็ยกทัพกลับไปเมืองฮูโต๋.
##########
วางเมื่อ ๑๗ ก.ย.๕๖ เวลา ๐๘.๓๓
เกร็ดสามก๊ก ๑๗ ก.ย.๕๖
ขุนพลเมืองใต้
ตอนที่ ๓ ทหารเอกกังตั๋ง
เล่าเซี่ยงชุน
พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ซุนกวนก็ยกกองทัพไปตั้งค่ายอยู่ที่หน้าเมือง หับป๋า ซึ่งเตียวเลี้ยว ทหารเอกของโจโฉเป็นผู้รักษาอยู่ คราวนี้ทั้งสองฝ่ายรบกันที่สะพานเสียวเกียว ซุนกวนให้กำเหลงกับลิบองเป็นกองหน้าเช่นเคย ทั้งสองก็ได้เข้าสู้รบกับงักจิ้นทหารรองของเตียวเลี้ยว งักจิ้นสู้ได้ประมาณสิบเพลงก็ถอยไปทางปลายสะพาน ซุนกวนกับเล่งทองก็ขับม้าพาทหารตามไป พอถึงที่ซึ่งเตียวเลี้ยมซุ่มทหารไว้ ก็ถูกรุมล้อมตีกระหนาบ ทหารก็ถูกฆ่าฟันล้มตายแตกตื่นเป็นอันมาก กำเหลงกับลิบองก็ตามงักจิ้นไปไกล กลับมาช่วยไม่ทัน
เล่งทองจึงพาซุนกวนหนีข้ามสะพาน แต่สะพานนั้นขาดอยู่ประมาณสิบศอก เล่งทองก็หันมาต่อสู้กับเตียวเลี้ยวเพื่อป้องกันซุนกวน ให้ควบม้ากระโดดข้ามช่องที่ขาดจนถึงแผ่นดินฝั่งโน้น พอดีชีเซ่งกับตังสิด หาเรือมาได้ลำหนึ่ง จึงพาซุนกวนลงเรือได้
เหลือแต่เล่งทองที่กัดฟันสู้รบกับเตียวเลี้ยวจนสุดกำลัง ทหารก็ถูกฆ่าตายหมด ตนเองนั้นก็ต้องอาวุธทั่วกายเป็นหลายแผล เหลือกำลังที่จะรบจึงชักม้าหนีเตียวเลี้ยว ไปถึงเชิงสะพาน ก็พบกับกำเหลงและลิบอง ต่างก็ทิ้งม้าโจนลงน้ำว่ายหนีไป ซุนกวนจึงถอยเรือมารับ แล้วพากันไปยังค่ายที่ปากแม่น้ำญี่สู แดนของเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายโจโฉรู้ข่าวศึกครั้งนี้ ก็ยกกองทัพมาสมทบประมาณสี่สิบหมื่น ซุนกวนก็ให้ตังสิดกับซีเซ่งคุมเรือรบห้าสิบลำ ไปขัดตาทัพอยู่ที่ปากแม่น้ำญี่สู แล้วก็หาตัวนายทหารที่จะลอบยกไปโจมตีกองทัพโจโฉ ซึ่งเพิ่งมาถึงยังอิดโรยอยู่
เล่งทองก็อาสาว่า
“ ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันยกไปโจมตีให้ทหารโจโฉเสียทีจงได้ “
กำเหลงก็ว่า
“ เล่งทองจะเอาทหารสามพันนั้นมากนัก ข้าพเจ้าจะขอทหารแต่ร้อยหนึ่ง ยกไปทำการเอาชัยชนะให้จงได้ “
ซุนกวนจึงแก่กำเหลงว่า
“ อันความคิดและฝีมือทหารโจโฉนั้นใหญ่หลวงนัก ท่านจะดูหมิ่นนั้นไม่ได้ จงให้เล่งทองไปเถิด “
แล้วก็ให้เล่งทองคุมทหารสามพันไปตามที่ขอ แต่แล้วซุนกวนก็คิดวิตกว่าเล่งทองจะเสียทีแก่โจโฉ จึงให้ลิบองคุมทหารหนุนไปอีก ก็ไปเจอเล่งทองกำลังสู้รบกับเตียวเลี้ยวซึ่งเป็นกองหน้าของโจโฉอยู่ จึงเข้าไปช่วยแล้วพากันกลับมาค่าย
กำเหลงเห็นดังนั้น จึงบอกกับซุนกวนว่า
“ กลางคืนวันนี้ข้าพเจ้าจะขอทหารแต่ร้อยหนึ่งไปปล้นค่ายโจโฉให้ได้ แม้เสียทหารแต่คนหนึ่งก็ดี ม้าตัวหนึ่งก็ดี ก็อย่าให้ยกความชอบแก่ข้าพเจ้าเลย “
ซุนกวนเชื่อฝีมือกำเหลงอยู่แล้ว จึงมอบทหารม้าที่มีฝีมือร้อยหนึ่ง กับสุราห้าสิบไห เนื้อแพะสิบชั่ง ให้แก่กำเหลง พอกลับมาถึงค่ายกองหน้ากำเหลงก็เอาขันเงินตักสุรากินเข้าไปสองขัน แล้วประกาศแก่ทหารว่า
"...บัดนี้นายเราให้ไปปล้นค่ายโจโฉ ชาวเจ้าทั้งปวงจงช่วยกันทำการให้เต็มมือ จึงจะได้ชัยชนะ......"
ทหารได้ฟังก็คิดว่ามีคนร้อยหนึ่งเท่านี้หรือ จะปล้นค่ายโจโฉ ก็ได้แต่ก้มหน้าเป็นทุกข์กันอยู่ กำเหลงก็โกรธชักกระบี่ออกแล้วว่า
"....ตัวกูเป็นนายทหารเอกมิได้รักชีวิต เอ็งเหล่านี้เป็นแค่ทหารเลว เหตุใดจึงกลัวความตาย แม้ผู้ใดย่อท้อไม่เป็นใจทำการ กูจะเอากระบี่นี้ตัดศีรษะเสีย....."
ทหารทั้งปวงกลัวกำเหลง ก็รับอาสาว่าจะร่วมใจกันตีค่ายโจโฉให้สำเร็จ กำเหลงก็เอาสุรากับเนื้อแพะมาแจกจ่าย ให้ทหารกินจนทั่วหน้ากัน
ครั้นเวลาพลบค่ำ กำเหลงก็ให้ทหารเอาขนห่านมาปักหมวกไว้ทุกคนจะได้เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าพวกเดียวกัน พอถึงยามหนึ่งก็พาทหารม้าเหล่านั้นไปซุ่มอยู่ข้างเนินเขาแห่งหนึ่ง รอจนเห็นได้ที ก็พาทหารควบม้าฝ่าขวากหนาม โห่ร้องเข้าไปโจมตีปล้นค่ายโจโฉ แล้วจุดเพลิงเผาขึ้นหลายแห่ง กำเหลงกับทหารร้อยคนนั้น ก็อาศัยความมืด ไล่ฆ่าฟันทหารของโจโฉล้มตายลงเป็นอันมาก เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร โจโฉและทหารในค่ายก็แตกตื่นหนีกันอลหม่าน เหยียบกันบาดเจ็บล้มตายไปก็อีกมาก
ซุนกวนก็ให้จิวท่ายคุมทหาร หนุนตามไปหวังจะช่วยป้องกันกำเหลง แต่กำเหลงกลับมาพร้อมด้วยทหารทั้งร้อยคนไม่มีใครเป็นอันตรายเลย ซุนกวนก็ยินดีให้ทหารตีฆ้องกลองม้าล่ออื้ออึงออกไปรับนอกค่าย ทั้งให้รางวัลเป็นดาบอย่างดีร้อยเล่มแพรอย่างดีพันพับ กำเหลงก็แจกจ่ายให้ทหารไปทั้งหมด
ซุนกวนสรรเสริญว่า
“ท่านอาสาครั้งนี้ทำให้อ้ายศัตรูเฒ่าตกใจ เสียทหารเป็นอันมาก ตัวเรามิใช่จะไม่รักท่านนั้นหามิได้ แต่คิดว่าจะให้ทหารทั้งปวงปรากฏฝีมือท่านไว้ “
และลงท้ายว่า
"...โจโฉนั้นได้เตียวเลี้ยวเป็นทหารเอก เราก็ได้กำเหลงไว้เป็นทหารเอก พอจะสู้กับเตียวเลี้ยวได้....."
พอรุ่งเช้าโจโฉรวบรวมทหารได้แล้วก็ให้เตียวเลี้ยวคุมทหารไปร้องด่าท้าทายหน้าค่ายซุนกวน เล่งทองอยากจะแสดงฝีมือให้มีความชอบบ้าง จึงขอทหารห้าพันยกออกไปรบ โดยมีซุนกวนและทหารเอกติดตามไปดูในสนามรบด้วย
เตียวเลี้ยวก็สั่งให้ งักจิ้น ออกไปปะทะกับเล่งทอง ล่อกันถึงห้าสิบเพลงยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ โจฮิว อยากจะช่วยงักจิ้น จึงเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกม้าของเล่งทอง ม้าก็ สบัดเล่งทองพลัดตกจากหลังลงมานอนแอ้งแม้งอยู่กลางดิน งักจิ้นได้ทีก็ขับม้าเงื้อทวนจะแทงเล่งทองให้ถนัด
กำเหลงเห็นว่าไม่ยุติธรรม จึงยิงเกาทัณฑ์ถูกหน้าผากงักจิ้นตกจากหลังม้า จากนั้นทหารทั้งสองฝ่ายก็เข้าไปช่วยกันนายทหารทั้งสองออกจากที่รบ
เมื่อกลับมาถึงค่ายแล้ว ซุนกวนจึงบอกเล่งทองว่า
“ เมื่อท่านตกม้าลง งักจิ้นขับม้าเข้ามาจะเอาทวนแทงท่านนั้น หากกำเหลงช่วยยิงเกาทัณฑ์ไปถูกงักจิ้นตกม้าลง ท่านจึงรอดจากความตาย “
เล่งทองได้ฟังก็ลุกไปคำนับกำเหลงแล้วว่า
"..ท่านช่วยแก้เราไว้ครั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งเราคิดพยาบาทท่านมาแต่ก่อนนั้น เราขออภัยเถิด แต่นี้สืบไปภายหน้า เราจะได้ตั้งใจประนอมต่อท่าน....."
กำเหลงได้ฟังก็มีความยินดี แล้วต่างคนต่างก็สาบานว่า จะเป็นมิตรแก่กันมิได้มีความสงสัยอีกเลย
ต่อมาอีกไม่นาน โจโฉก็ยกกองทัพแบ่งออกเป็นห้าสายเข้าตีทางด้าน ปากแม่น้ำญี่สู ซึ่งตังสิดกับชีเซ่งขัดตาทัพอยู่ เมื่อทหารเห็นข้าศึกดากันเข้ามามากมาย ก็หน้าซีดกลัวตายกันทุกคน ชีเซ่งจึงประกาศว่า
“ ธรรมดาเป็นชาติทหารกินเบี้ยหวัดท่าน ถ้ามีสงครามมาก็ให้ตั้งใจรบพุ่งเป็นสามารถ แลตัวท่านทั้งปวงนี้ เห็นแต่ข้าศึกมาก็ให้ตั้งย่อท้อดังนี้ ไม่สมควรเป็นชาติทหาร บัดนี้เราจะขึ้นไปต่อสู้ด้วยข้าศึก แม้ผู้ใดครั่นคร้ามอยู่เราจะตัดศีรษะเสีย “
แล้วชีเซ่งก็พาทหารของตนลงเรือเล็กไปขึ้นหาดทราย และเข้าตลุมบอนกับกองหน้าข้าศึกเป็นอุตลุด ตังสิดคุมเรือรบอยู่ ก็ให้ทหารตีฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึง และจะขึ้นไปช่วยชีเซ่ง พอดีมีลมพายุใหญ่พัดมา เสียงคลื่นและลมนั้นเอิกเกริก เรือรบทั้งปวงก็ปะทะกันวุ่นวายดังจะล่มลง ทหารเลวทั้งปวงก็ตกใจ พากันวิ่งจะไปลงเรือเล็กขึ้นฝั่งหนีความตาย
ตังสิดเห็นดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกไล่ฟันทหารเลวตายไปหลายสิบคน แล้วร้องประกาศว่า
“ นายเราให้มาขัดทัพอยู่ เกิดลมพายุแต่เพียงนี้ ต่างคนต่างจะหนีขึ้นบก แม้จะขืนขึ้นไปให้ได้ เราจะฟันเสียให้สิ้น “
แต่พายุก็ยิ่งพัดหนักขึ้น คลื่นก็กำเริบหนักขึ้น เรือรบก็ล่มลงหลายลำ แม้เรือของตังสิดก็ล่มลงด้วย ตังสิดว่ายน้ำจนสิ้นแรงก็ถึงแก่ความตาย พร้อมกับทหารอีกมากมาย
ฝ่ายตันบูซึ่งเป็นกองตระเวนอยู่บนบก ก็ยกกลับมาช่วยชีเซ่งรบกับข้าศึก ซุนกวนก็พาจิวท่ายคุมทหารออกจากค่ายเข้ารบด้วย ขณะที่รบกันอลหม่านอยู่นั้น จิวท่ายกับซุนกวนก็พลัดกัน จิวท่ายขับม้าเที่ยวออกหาจนถึงชายทะเลก็ไม่พบ จึงหวนกลับมาเจอซุนกวน กำลังตลุมบอนอยู่กลางวงล้อมของข้าศึก จึงเข้าช่วยแก้กันออกมาจากที่ล้อมได้ และให้ซุนกวนขับม้าไปข้างหน้า จิวท่ายคอยปัดป้องลูกเกาทัณฑ์ข้าศึกอยู่ข้างหลัง จนถึงชายทะเล ก็พบลิบองคุมเรือรบมารับไปได้
แล้วจิวท่ายก็กลับเข้าไปในกลางสมรภูมิช่วยเอาชีเซ่งกลับออกมาได้อีกคนหนึ่ง ส่วนตันบูนั้นถูกข้าศึกฆ่าตายอยู่ในที่รบ เมื่อเรือของซุนกวนถอยมานั้น ฝ่ายโจโฉก็ให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์ตามหลัง พอดีลกซุนคุมเรือรบมีกำลังทหารมากมาย จึงยิงเกาทัณฑ์ต่อต้านโจโฉ แล้วลงจากเรือขึ้นบกไปปะทะกับทหารโจโฉ ซึ่งอิดโรยเต็มทีแล้ว ฝ่ายโจโฉจึงแตกถอยกลับไปค่าย
ลกซุนก็เอาศพตันบูกลับมาได้ และซุนกวนก็ให้ทหารเอาอวนมาพานลากศพตังสิดขึ้นมาได้ และเอาไปฝังไว้ที่เมืองกังตั๋งทั้งสองศพ
เมื่อกลับมาถึงค่ายแล้วซุนกวนก็จัดโต๊ะ เลี้ยงทหารทั้งปวงที่รอดชีวิตมา ซุนกวนคิดถึงความชอบของจิวท่าย จึงรินสุราให้จิวท่ายด้วยตนเอง และว่า
“ ตัวท่านตั้งใจสุจริตต่อเราครั้งนี้ สู้เอาชีวิตเข้าแลกชีวิตเราออกมาได้นั้น คุณหาที่สุดไม่ อุปมาเหมือนตายอยู่หว่างทหารโจโฉ ท่านเอาซากศพเรามาชุบขึ้นให้เป็น เราจะให้ท่านบังคับทหารในเมืองกังตั๋งกึ่งหนี่ง ตัวท่านจงคิดว่าเป็นพี่น้องร่วมอุทรกันเถิด “
แล้วก็ให้จิวท่ายถอดเสื้อออกเห็นแผลอาวุธนั้นทั่วกาย ซุนกวนจึงถามว่าแผลนั้นแผลนี้แผลโน้นถูกอาวุธสิ่งใด จิวท่ายก็บอกว่า แผลนี้ถูกทวนเมื่อเที่ยวหาท่าน แผลนั้นถูกง้าวเมื่อพบท่าน แผลโน้นถูกกระบี่เมื่อพลัดกับท่าน เมื่อ จิวท่ายบอกถึงแผลใด ซุนกวนก็รินสุราให้กินทีนั้น จนจิวท่ายเมาสุรานอนหลับไป ซุนกวนจึงให้ทหารยกตัวจิวท่ายขึ้นใส่เกวียน เอาสัปทนทองของตนกั้นแล้วพาไปส่งถึงที่พัก
ในการสงครามครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ปะทะกันอีกหลายครั้ง จนล่วงไปเดือนเศษ ก็ยังไม่มีฝ่ายใดเอาแพ้ชนะกันได้ เตียวเจียว ที่ปรึกษาฝ่ายพลเรือนจึงแนะนำให้ซุนกวนยอมอ่อนน้อมต่อโจโฉ ขอส่งบรรณาการตามธรรมเนียมทุกปี
โจโฉก็ยินดีแต่ยังเกี่ยงให้ซุนกวนถอยไปก่อน ซุนกวนก็ให้จิวขิมอยู่รักษาค่ายญี่สู แล้วก็ยกทัพกลับคืนไปเมืองกังตั๋ง โจโฉก็ให้เตียวเลี้ยวอยู่รักษาเมืองหับป๋าตามเดิม แล้วก็ยกทัพกลับไปเมืองฮูโต๋.
##########
วางเมื่อ ๑๗ ก.ย.๕๖ เวลา ๐๘.๓๓