ถือทิฏฐิใด ห้ามทั้งสวรรค์ ห้ามทั้งนิพพาน..?


สวรรค์อยู่ที่ไหน

เสถียร โพธินันทะ

แสดงที่วัดอาวุธวิกสิตาราม

เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๐๙

โพสท์ใน ลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 11931 โดย: mayrin  27 เม.ย. 47
http://www.dharma-gateway.com/ubasok/satien/ubasok-08.htm




ปัญหาเรื่องนรกสวรรค์ ออกจะเป็นปัญหาที่คนทั่วไป ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้ในอนาคตพากันสนใจ เพราะว่ามนุษย์เรามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ถ้าหากว่าขาดความหวังเสียอย่างเดียวแล้ว รสชาติของความเป็นมนุษย์ก็หมดไปด้วย

แต่ทว่า มนุษย์เราก็มีอายุขัยจำกัด เพราะฉะนั้นความสุขความทุกข์ที่ได้รับอยู่ในชีวิตชั่วอายุขัยหนึ่งนั้น จึงไม่เพียงพอกับความหวังของมนุษย์เรา เรื่องปรโลก จึงเป็นปัญหาสำคัญที่มนุษย์ถูกใจ เพราะเท่ากับเป็นการต่ออายุความหวังของมนุษย์เราให้ไพบูลย์ยิ่งขึ้น

ถ้าสมมติว่า ในชาตินี้เราหวังสิ่งใดไม่สมปรารถนา เรายังหวังไว้ว่าในชาติหน้า เราจะได้สิ่งนั้นดังนึก เรื่องของปรโลกซึ่งเกี่ยวโยงมาถึงเรื่องนรกสวรรค์ก็กลายเป็นปัญหาที่ทุกผู้นามสนใจ ศาสนาและลัทธิปรัชญาต่าง ๆ เกิดขึ้นก็เพื่อที่จะแก้ข้อข้องใจของมนุษย์ในปัญหาเหล่านี้ด้วย ประการหนึ่ง

แต่ว่าเฉพาะในทรรศนะพระพุทธศาสนาเรา สวรรค์นรกคืออะไรอยู่ที่ไหน พระพุทธองค์ ได้ตรัสแสดงนัยไว้อย่างไร ข้อนี้เราน่าจะพิจารณากันดู ในสมัยพุทธกาลได้มีลัทธิปรัชญาบางสำนัก ซึ่งเรียกกันว่าเป็นลัทธิ “โลกายตะ แปลว่าลัทธิที่ดำเนินไปตามโลก ลัทธิหนึ่ง กับลัทธิ “อุจเฉทวาทะ คือลัทธิที่ว่าด้วยการขาดสูญอีกลัทธิหนึ่ง

สองลัทธินี้ไม่ยอมรับเรื่องปรโลกว่าเป็นของมีอยู่จริง ลัทธิแรกรับรองว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่เนื้อหนังมังสัง การที่เราตามใจกิเลสได้เป็นดีที่สุด หาทางป้อนกิเลสมากเท่าไรเป็นสบายมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น ลัทธินี้จึงมีชื่อว่า “โลกายตะ” แปลว่าดำเนินไปตามโลก

ลัทธินี้ไม่คำนึงถึงเรื่องปรโลกว่าสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่าปัจจุบันทำอย่างไร เราถึงจะได้หาเนื้อหนังมังสังของเราให้สมบูรณ์ ส่วนอีกลัทธิหนึ่งก็คือ “อุจเฉทวาท” ลัทธินี้ก็ไม่คำนึงถึงปรโลกอีกเหมือนกัน เพราะไม่ยอมรับรองคุณค่าของศีลธรรม จริยธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นสองลัทธินี้ พระพุทธองค์จึงทรงประฌานไว้แล้วว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ใดที่เกิดมีทรรศนะพ้องกับสองลัทธินี้ ผู้นั้นห้ามมรรค ห้ามผล ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานหมด แต่ว่าอีกลัทธิหนึ่งชื่อว่า “สัสสตทิฏฐิ” ลัทธินี้ถือว่าวิญญาณเที่ยง

ถ้าเกิดเป็นคนต้องเกิดเป็นคนกันตะพึด ไม่ว่ากี่หมื่นกี่โกฏิชาติ เกิดเป็นสัตว์ก็ต้องเป็นสัตว์กันตะพึด ไม่ว่ากี่หมื่นกี่โกฏิชาติ หรือถือว่าอัตตาเที่ยง แม้จะเปลี่ยนแปลงทางรูปกายเป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นอินทร์บ้าง เป็นพรหมบ้าง

แต่ว่าคน ๆ นั้นแหละ อัตตาตัวนั้นแหละเป็นผู้ไปเกิดเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ลัทธิอย่างนี้เรียกว่าสัสสตทิฏฐิ” ลัทธินี้พระพุทธองค์เพียงตรัสว่า ห้ามมรรค ห้ามผล ห้ามนิพพาน ไม่ห้ามสวรรค์

เพราะว่าอย่างน้อย เมื่อเราถือว่ามีอัตตา มีตัวตน เราก็รักนวลสงวนตัว อยากจะให้ตัวเองมีความสุข ไม่กล้าไปประกอบกรรมทำชั่ว มีความหวังว่าชาติหน้า จะได้รับผล ความสุขในการทำความดีของตนให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

พวกนี้ยังมีความหวงแหนตัว ยังเห็นคุณค่าของจริยธรรม มีความรักตัวสงวนตัว เพราะฉะนั้นพวกนี้จึงเพียงแต่ว่าห้ามมรรค ห้ามผล ห้ามนิพพาน แต่ไม่ห้ามสวรรค์ ยังไปสวรรค์ได้

เฉพาะพวก “โลกกายตะ” กับพวก “อุจเฉททิฏฐิ” แล้วเป็นอันห้ามทั้งสวรรค์ มรรค ผล นิพพานไปหมดเลย มีทางเดียวที่จะบ่ายหน้าไปก็คือ โลกันตนรก ไปสู่อบายทางเดียว เมื่อแสดงมติเช่นนี้ ก็เป็นอันแสดงได้แล้วว่า พระพุทธศาสนาเราถือว่านรกสวรรค์มีจริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่