สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 49
ดูเหมือนมีหมอบางท่านได้ให้ความเห็นน้องไปบ้างแล้ว และก็มีอีกหลายท่านที่ไม่ใช่หมอแต่ก็ให้ข้อคิดกับน้องไปแล้วพอสมควร
ในฐานะหมอคนหนึ่ง พี่ขอสะกิดให้น้องคิดใคร่ครวญดีๆ นะครับ (ขออนุญาตแทนตัวเองว่าพี่ และเรียก จขกท. ว่าน้อง นะครับ ผมอายุ 32 ปี ยังพอทำเนียน แทนตัวเองว่าพี่ ได้อยู่ อย่างไรเสีย ถ้า จขกท. ตัดสินใจเข้าเรียนแพทย์ และสอบได้ ยังไงก็จะมาเป็นพี่น้องร่วมวิชาชีพเดียวกันอยู่ดีครับ)
จริงๆ ดีใจนะครับที่น้องถามคำถามนี้และพยายามหาข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะดีกว่าตัดสินใจไปแล้วโดยไม่ได้รับฟังมุมมองที่หลากหลาย แล้วรู้สึกเสียใจทีหลัง) แต่พี่อยากจะให้น้องคิดดีๆ ถามตัวเองดีๆ ก่อนจะตัดสินใจครับ ว่า ในชีวิตนี้ อะไรทำให้น้องมีความสุขที่สุด คุณค่าของชีวิตน้อง อยู่ตรงไหน สำหรับบางคน การได้ทำงานที่ชอบ คือความสุขที่สุด (ซึ่งก็ต้องถามตัวเองต่อว่าชอบงานลักษณะไหน วิชาชีพอะไร) บางคน อยากได้ช่วยคนอื่น (สมัยนี้อาจจะมีน้อยหน่อย) บางคน อยากมีความก้าวหน้า ไต่เต้า ทางบริหาร ทางวิชาการ หรือทางวิชาชีพ ก็ต้องมาดูว่าเส้นทางไหนจะช่วยให้ได้อย่างที่อยากได้มากกว่ากัน บางคนอยากได้การยอมรับ หรืออยากทำงานที่คนเห็นว่าตนมีคุณค่า ก็ต้องมาดูเช่นกันว่าอะไรจะช่วยให้ achieve สิ่งนั้นได้ดีกว่า สำหรับบางคน การสร้างครอบครัว คือเรื่องสำคัญที่สุด และบางคนก็เน้นเรื่องฐานะทางการเงิน ซึ่งก็เข้าใจได้ครับ
เป็นธรรมชาติครับที่เด็กวัยน้องอาจจะยังหาตัวเองไม่เจอ จึงอาจจะตอบไม่ได้ว่า ตัวเองต้องการอะไรกันแน่ พี่อ่านข้อความแล้วเข้าใจว่าน้องให้ความสำคัญกับเรื่องเงินมากทีเดียว (ซึ่ง That's okay) แต่ที่พี่อ่านแล้วยังไม่เคลียร์ และขอตั้งคำถามให้น้องคิดดีๆ คือ เงิน เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการเลือกเส้นทางของน้อง และทำให้น้องมีความสุขที่แท้จริง ใช่หรือไม่ ไม่ว่าคำตอบของน้องจะใช่หรือไม่ใช่ น้องก็จะเลือกเส้นทางได้ชัดเจนขึ้น
หากในชีวิตน้อง น้องจะมีความสุขที่สุด เมื่อได้เงินมากที่สุด น้องไม่ควรเรียนแพทย์ครับ ไม่ใช่เพราะแพทย์ไม่มีโอกาสได้เงินเยอะ แต่เพราะเงินที่เยอะ มันแลกกับภาระ ความเหน็ดเหนื่อย และความเครียด ที่สูงมาก และหากน้องไม่มี "แรงดึง" เข้าหาวิชาชีพแพทย์เพราะความชอบ (passion) น้องจะ suffer มาก กับภาระ ความเหน็ดเหนื่อย ความรับผิดชอบ ที่มีในฐานะแพทย์ แม้น้องอาจจะได้เงินเยอะก็ตาม...
ในความเป็นจริง มีแพทย์จำนวนมากครับที่ไม่ได้เงินเยอะแยะถึงขนาดที่ไปวัดไปวากับคนทำธุรกิจได้ แต่ส่วนใหญ่ก็มีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง และมีเงินเก็บพอสมควร (ส่วนจะได้เยอะแค่ไหนคงแล้วแต่สาขาวิชาและสถานที่/องค์กรที่เลือกที่จะทำงานด้วยครับ) แต่แพทย์ส่วนใหญ่ ไม่ได้รวยเพราะเป็นแพทย์ครับ บางคนอาจจะมีรายได้จากการทำธุรกิจอย่างอื่น และบางคนที่อยู่ รพ.เอกชน ก็อาจจะเก็บเงินได้เยอะหน่อย แต่พี่ว่าถ้าเทียบกับโอกาสได้รายได้จากการทำธุรกิจแล้ว หากน้องเก่งจริง พี่ว่าทำธุรกิจมีโอกาสได้เงินเยอะกว่าหมอหลายเท่าครับ
สิ่งที่วิชาชีพแพทย์ให้ คือ ความมั่นคงในหน้าที่การงานครับ ไม่ว่าน้องจะอยู่ในภาคราชการหรือภาคเอกชน น้องไม่อดตาย น้องหางานทำได้แน่ ตรงนี้เทียบกับการทำธุรกิจ น่าจะเป็นข้อดีของการเป็นหมอ คือ ความเสี่ยงในด้านความมั่นคงในหน้าที่การงานน้อยกว่าการทำธุรกิจซึ่งมีความเสี่ยงและ uncertainty พอสมควร
อย่างไรก็ดี สิ่งที่วิชาชีพแพทย์ต้องการมากที่สุด คือ แพทย์รุ่นใหม่ที่จะมาเป็นหมอรักษาคนในสังคมในอนาคต (ซึ่งรวมถึงพวกพี่เองเมื่อพี่แก่เฒ่าลง) ครับ พี่ทราบดีว่าการเลือกที่จะเรียนอะไร ด้วยเหตุผลอะไร หากน้องสอบเข้าได้ ก็ย่อมเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่พี่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ หากน้องเลือกที่จะเรียนแพทย์ เพียงเพราะการเป็นแพทย์ ให้ "เงิน" ให้กับน้องมากพอกับที่น้องต้องการ...พี่ไม่ได้มองโลกสวยครับ หมอก็ต้องการฐานะที่มั่นคง ต้องการรายได้ที่มากพอที่จะเลี้ยงตัวเอง สร้างครอบครัว มีเงินเก็บ มีฐานะทางสังคมที่เป็นที่ยอมรับ นับหน้าถือตา มีความภาคภูมิใจ และพี่ว่านั่นเป็น fair expectation ของทุกคน ไม่ว่าจะอาชีพอะไร และก็ fair ที่คนที่เป็นหมอก็ควรมีรายได้ในระดับที่มากพอในระดับของหมอ แต่พี่ก็คงผิดหวัง หากตอนตัดสินใจเลือกเส้นทาง น้องเลือกที่จะมองข้าม "หน้าที่" ของความเป็นแพทย์ แต่มองเพียง "โอกาส maximize profit" ที่ตัวเองจะได้ ครับ
หากน้องถามตัวเองอีกครั้ง แล้วยืนยันว่า ให้ความสำคัญกับการ maximize รายได้ มากกว่า พี่คิดว่า การเรียน BBA (แล้วต่อด้วย MBA หรืออื่นๆ) ก็น่าจะให้ความรู้ด้าน management ที่เป็นประโยชน์กับน้องที่สุดในการทำธุรกิจ ซึ่งน่าจะมีโอกาสได้รายได้สูงกว่าหมอส่วนใหญ่ มากที่สุดครับ
แต่หากน้องต้องการรายได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเอง สร้างครอบครัว มีเงินเก็บ แต่มีเหตุผลอื่นด้วยที่ทำให้อยากเรียนแพทย์ (จะด้วยความชอบ ความถนัด หรือทัศนคติ ก็แล้วแต่) พี่เชื่อว่าน้องจะเจอเส้นทางภายในวิชาชีพแพทย์ที่ทำให้น้องมีฐานะทางการเงินที่อยู่ได้ และดีมากพอ ได้ไม่ยากครับ แต่น้องจะต้องยอมรับหน้าที่และความรับผิดชอบที่คนเป็นแพทย์ทุกคนควรมี เสียก่อนครับ นั่นคือ
"ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกมาแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์"
ลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (สมเด็จพระราชบิดา) ถึง นายสวัสดิ์ แดงสว่าง ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471
ไม่ว่าน้องจะเลือกตัดสินใจอย่างไร พี่ขอให้น้องโชคดีในการค้นหาตัวเองครับ
ในฐานะหมอคนหนึ่ง พี่ขอสะกิดให้น้องคิดใคร่ครวญดีๆ นะครับ (ขออนุญาตแทนตัวเองว่าพี่ และเรียก จขกท. ว่าน้อง นะครับ ผมอายุ 32 ปี ยังพอทำเนียน แทนตัวเองว่าพี่ ได้อยู่ อย่างไรเสีย ถ้า จขกท. ตัดสินใจเข้าเรียนแพทย์ และสอบได้ ยังไงก็จะมาเป็นพี่น้องร่วมวิชาชีพเดียวกันอยู่ดีครับ)
จริงๆ ดีใจนะครับที่น้องถามคำถามนี้และพยายามหาข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะดีกว่าตัดสินใจไปแล้วโดยไม่ได้รับฟังมุมมองที่หลากหลาย แล้วรู้สึกเสียใจทีหลัง) แต่พี่อยากจะให้น้องคิดดีๆ ถามตัวเองดีๆ ก่อนจะตัดสินใจครับ ว่า ในชีวิตนี้ อะไรทำให้น้องมีความสุขที่สุด คุณค่าของชีวิตน้อง อยู่ตรงไหน สำหรับบางคน การได้ทำงานที่ชอบ คือความสุขที่สุด (ซึ่งก็ต้องถามตัวเองต่อว่าชอบงานลักษณะไหน วิชาชีพอะไร) บางคน อยากได้ช่วยคนอื่น (สมัยนี้อาจจะมีน้อยหน่อย) บางคน อยากมีความก้าวหน้า ไต่เต้า ทางบริหาร ทางวิชาการ หรือทางวิชาชีพ ก็ต้องมาดูว่าเส้นทางไหนจะช่วยให้ได้อย่างที่อยากได้มากกว่ากัน บางคนอยากได้การยอมรับ หรืออยากทำงานที่คนเห็นว่าตนมีคุณค่า ก็ต้องมาดูเช่นกันว่าอะไรจะช่วยให้ achieve สิ่งนั้นได้ดีกว่า สำหรับบางคน การสร้างครอบครัว คือเรื่องสำคัญที่สุด และบางคนก็เน้นเรื่องฐานะทางการเงิน ซึ่งก็เข้าใจได้ครับ
เป็นธรรมชาติครับที่เด็กวัยน้องอาจจะยังหาตัวเองไม่เจอ จึงอาจจะตอบไม่ได้ว่า ตัวเองต้องการอะไรกันแน่ พี่อ่านข้อความแล้วเข้าใจว่าน้องให้ความสำคัญกับเรื่องเงินมากทีเดียว (ซึ่ง That's okay) แต่ที่พี่อ่านแล้วยังไม่เคลียร์ และขอตั้งคำถามให้น้องคิดดีๆ คือ เงิน เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการเลือกเส้นทางของน้อง และทำให้น้องมีความสุขที่แท้จริง ใช่หรือไม่ ไม่ว่าคำตอบของน้องจะใช่หรือไม่ใช่ น้องก็จะเลือกเส้นทางได้ชัดเจนขึ้น
หากในชีวิตน้อง น้องจะมีความสุขที่สุด เมื่อได้เงินมากที่สุด น้องไม่ควรเรียนแพทย์ครับ ไม่ใช่เพราะแพทย์ไม่มีโอกาสได้เงินเยอะ แต่เพราะเงินที่เยอะ มันแลกกับภาระ ความเหน็ดเหนื่อย และความเครียด ที่สูงมาก และหากน้องไม่มี "แรงดึง" เข้าหาวิชาชีพแพทย์เพราะความชอบ (passion) น้องจะ suffer มาก กับภาระ ความเหน็ดเหนื่อย ความรับผิดชอบ ที่มีในฐานะแพทย์ แม้น้องอาจจะได้เงินเยอะก็ตาม...
ในความเป็นจริง มีแพทย์จำนวนมากครับที่ไม่ได้เงินเยอะแยะถึงขนาดที่ไปวัดไปวากับคนทำธุรกิจได้ แต่ส่วนใหญ่ก็มีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง และมีเงินเก็บพอสมควร (ส่วนจะได้เยอะแค่ไหนคงแล้วแต่สาขาวิชาและสถานที่/องค์กรที่เลือกที่จะทำงานด้วยครับ) แต่แพทย์ส่วนใหญ่ ไม่ได้รวยเพราะเป็นแพทย์ครับ บางคนอาจจะมีรายได้จากการทำธุรกิจอย่างอื่น และบางคนที่อยู่ รพ.เอกชน ก็อาจจะเก็บเงินได้เยอะหน่อย แต่พี่ว่าถ้าเทียบกับโอกาสได้รายได้จากการทำธุรกิจแล้ว หากน้องเก่งจริง พี่ว่าทำธุรกิจมีโอกาสได้เงินเยอะกว่าหมอหลายเท่าครับ
สิ่งที่วิชาชีพแพทย์ให้ คือ ความมั่นคงในหน้าที่การงานครับ ไม่ว่าน้องจะอยู่ในภาคราชการหรือภาคเอกชน น้องไม่อดตาย น้องหางานทำได้แน่ ตรงนี้เทียบกับการทำธุรกิจ น่าจะเป็นข้อดีของการเป็นหมอ คือ ความเสี่ยงในด้านความมั่นคงในหน้าที่การงานน้อยกว่าการทำธุรกิจซึ่งมีความเสี่ยงและ uncertainty พอสมควร
อย่างไรก็ดี สิ่งที่วิชาชีพแพทย์ต้องการมากที่สุด คือ แพทย์รุ่นใหม่ที่จะมาเป็นหมอรักษาคนในสังคมในอนาคต (ซึ่งรวมถึงพวกพี่เองเมื่อพี่แก่เฒ่าลง) ครับ พี่ทราบดีว่าการเลือกที่จะเรียนอะไร ด้วยเหตุผลอะไร หากน้องสอบเข้าได้ ก็ย่อมเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่พี่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้ หากน้องเลือกที่จะเรียนแพทย์ เพียงเพราะการเป็นแพทย์ ให้ "เงิน" ให้กับน้องมากพอกับที่น้องต้องการ...พี่ไม่ได้มองโลกสวยครับ หมอก็ต้องการฐานะที่มั่นคง ต้องการรายได้ที่มากพอที่จะเลี้ยงตัวเอง สร้างครอบครัว มีเงินเก็บ มีฐานะทางสังคมที่เป็นที่ยอมรับ นับหน้าถือตา มีความภาคภูมิใจ และพี่ว่านั่นเป็น fair expectation ของทุกคน ไม่ว่าจะอาชีพอะไร และก็ fair ที่คนที่เป็นหมอก็ควรมีรายได้ในระดับที่มากพอในระดับของหมอ แต่พี่ก็คงผิดหวัง หากตอนตัดสินใจเลือกเส้นทาง น้องเลือกที่จะมองข้าม "หน้าที่" ของความเป็นแพทย์ แต่มองเพียง "โอกาส maximize profit" ที่ตัวเองจะได้ ครับ
หากน้องถามตัวเองอีกครั้ง แล้วยืนยันว่า ให้ความสำคัญกับการ maximize รายได้ มากกว่า พี่คิดว่า การเรียน BBA (แล้วต่อด้วย MBA หรืออื่นๆ) ก็น่าจะให้ความรู้ด้าน management ที่เป็นประโยชน์กับน้องที่สุดในการทำธุรกิจ ซึ่งน่าจะมีโอกาสได้รายได้สูงกว่าหมอส่วนใหญ่ มากที่สุดครับ
แต่หากน้องต้องการรายได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเอง สร้างครอบครัว มีเงินเก็บ แต่มีเหตุผลอื่นด้วยที่ทำให้อยากเรียนแพทย์ (จะด้วยความชอบ ความถนัด หรือทัศนคติ ก็แล้วแต่) พี่เชื่อว่าน้องจะเจอเส้นทางภายในวิชาชีพแพทย์ที่ทำให้น้องมีฐานะทางการเงินที่อยู่ได้ และดีมากพอ ได้ไม่ยากครับ แต่น้องจะต้องยอมรับหน้าที่และความรับผิดชอบที่คนเป็นแพทย์ทุกคนควรมี เสียก่อนครับ นั่นคือ
"ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกมาแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์"
ลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (สมเด็จพระราชบิดา) ถึง นายสวัสดิ์ แดงสว่าง ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471
ไม่ว่าน้องจะเลือกตัดสินใจอย่างไร พี่ขอให้น้องโชคดีในการค้นหาตัวเองครับ

ความคิดเห็นที่ 46
พี่เข้าใจเจตนาของน้องนะครับ
ออกตัวก่อนว่าเป็นหมอครับ ไม่ค่อยมีข้อมูลหรือว่าความรู้เกี่ยวกับเรื่องสาย BBA ครับ
เอาประเด็นเรื่องเงินก่อนครับ เพราะเป็นประเด็นหลักเรื่องที่น้องสนใจ
หมอเงินเดือน varies ครับขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยปัจจัยหลักคือทำงานรัฐ หรือเอกชน เงินต่างกัน x2-3 เท่า ปัจจัยอื่นๆคือ สาขาที่จบ, ฝีมือของตัวแพทย์เอง, รพ. ที่ตัวเองทำงานอยู่
intern (แพทย์จบใหม่) ส่วนใหญ่รายได้ก็คือ 6-8 หมื่นครับ บางทีอาจจะได้มากกว่านั้นหากควบเวรยาว ทั้งโดยสมัครใจ หรือโดยไม่สมัครใจจะได้เวรยาวๆ ก็ตาม
แพทย์เอกชน (ส่วนใหญ่) : 1-3 แสนต่อเดือนครับ
คือที่พี่อยากจะบอกคือในแง่ของเม็ดเงิน น้องเรียนแพทย์คือน้อง play safe ครับ อย่างน้อยจบออกมาก็มีเงินเดือนเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว ดูแลคุณพ่อคุณแม่ได้ไม่ลำบากลำบนอย่างแน่นอน
แต่การเลือกเรียนสาขาอื่นๆ เหมือนน้องเสี่ยงแล้วหล่ะ เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว คนที่ได้เงินเดือนเยอะกว่าหมอ มีเพียงหยิบมือ ถ้าน้องคิดว่า เราเก่งนะ เราทำได้ เราโดดเด่นกว่าคนอื่น มี ambition สูง การเลือก BBA หรือเรียนสาขาอื่นๆ พี่ว่าก็ท้าทายดี แต่ประเด็นคือมันเสี่ยงไงครับ ไม่มีใครการันตีได้ เก่งแต่แป๊กก็มีให้เห็นกันมาแล้ว เพราะชีวิตจริงมันไม่ได้สวยเหมือนที่น้องวาดเอาไว้... ขึ้นกับว่าน้อง take risk ได้ขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พี่อยากให้น้องพิจารณาต่อนอกจากตัวเงินคือมิติอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้แปลผลออกมาเป็นตัวเงิน
สมัยพี่เป็น extern (นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย) มีคนไข้หัวใจหยุดเต้นมา รุ่นพี่แพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจคืนมาได้ คนไข้แย่มากมีทั้งเรื่องปอดติดเชื้อ ไตวาย เลือดออกในกระเพาะอาหาร ตอนนั้นคิดว่าคง loss คนไข้ไปแล้วแน่ๆ แต่สุดท้ายคนไข้รอดชีวิตกลับบ้านหลังจากอยู่ รพ. เกือบครึ่งเดือน
พี่เห็น ภรรยา, ลูกหลาน พากันยกโขยงมารับลุงกลับบ้าน มันเป็นอะไรที่ impact กับชีวิต นศพ. คนนึงมาก
น้องยังเด็กอาจจะยังไม่เข้าใจ
แต่พี่อยากให้น้องคิดดีๆ ว่าเรามีโอกาสที่จะรักในงานของเราไหม คิดถึงภาพว่าน้องเป็นหมอ การช่วยใครสักคนให้รอดนั้น add up อะไรในชีวิตของเราหรือเปล่า?
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ถูก add เข้าไปในเงินเดือนของแพทย์ แต่มันทำให้น้องมีความสุขขึ้นเวลาน้องทำงาน
แต่พี่ขอเบรคนิดนึง... พี่ไม่ได้โลกสวย สมมุติน้องคิดว่าตัวเองเฉยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมัน add อะไรในชีวิตน้องไม่ได้มากขนาดนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด!!! จริงไหม คนเราเกิดมาก็มีความสุขในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน อย่า blame ตัวเอง จงซื่อสัตย์ในสิ่งที่เราคิด
หากไม่ได้รู้สึกรักอะไรกับมันมาก ไปเสี่ยง BBA ดีกว่า อย่างน้อยเราก็เก่งพอล่ะ เพราะหากน้องเลือกเรียนแพทย์โดยเอาเงินเป็นคำตอบ น้องอาจจะทรมานในการใช้ชีวิต
พี่ไม่รู้ว่าเรียน BBA ต้องฟันฝ่าตรากตรำมากไหม เพราะไม่มีข้อมูล
แต่จะจบเป็นแพทย์ออกมาได้สักคนนึงนี่ก็สะบักสะบอมนะครับ ยิ่งเรียนเฉพาะทางจบออกมาอีกต่อยิ่งหนักหน่วง
พี่ยกตัวอย่างจากสถานการณ์จริงนะเผื่อน้องจะได้เห็นภาพ
Block ศัลยศาสตร์ พี่ต้องไปฝึกงาน รพ. ต่างจังหวัดครับ ซึ่งใกล้สอบมาก เวรหนักหน่วงสุดๆ ตีรันฟันแทง อุบัติเหตุมาทุกวัน ห้องพักพี่อยู่ในวอร์ดผู้ป่วยเลยครับ ฉะนั้นถึงไม่ได้อยู่เวรแต่เพื่อนโดนตามไปดูคนไข้ ก็ต้องลุกไปช่วยดูด้วย เสมือนอยู่เวรทุกวัน ห่วงหน้าพะวงหลัง หนังสือก็ไม่ค่อยได้อ่าน หัวถึงหมอนก็หลับแล้ว
1 อาทิตย์ก่อนฝึกงานเสร็จ แม่โทรมาบอกว่าพ่อแน่นหน้าอก โทรสอบถามสรุปว่าพ่อเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เครียดสิครับทีนี้ พ่อทั้งคน ทางนี้ก็ฝึกงานอยู่ รู้ตัวว่าหากลาไปทั้งอาทิตย์รับรองตกวิชาศัลยกรรมแน่ๆ
ตอนเย็นมีลาเลี้ยงของแพทย์ที่ รพ. พี่ก็ไปทานข้าวเซ็งๆ ในหัวก็คิดตลอด มันเจ็บใจนะครับ เราเรียนหมอแต่พ่อตัวเองกลับไปดูไม่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจ บอกอาจารย์คุมวิชานั้นตรงๆ ว่าพ่อป่วย ขอลาไปดูพ่อ พูดไปเสียงก็สั่น น้ำตาก็คลอ
-*- เห็นป่ะครับ ชีวิตแพทย์มักจะได้ประสบกันเรื่องแย่ๆ แบบนี้เสมอ
เรียนก็เหนื่อย ทำงานก็เหนื่อย รับผิดชอบก็มาก
ทุกอย่างมันมีข้อดีข้อเสีย
วิเคราะห์ตัวเองให้ดีครับ
ชั่ง risk เทียบ benefit อย่างซื่อสัตย์ต่อตัวเอง แล้วเลือกไป อย่าได้เสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว
ฝากไว้สุดท้ายไม่ว่าน้องจะเลือกอะไร
จงเป็นคนดี
คนฉลาดกว่ามักมีโอกาสที่จะเอาเปรียบผู้ฉลาดน้อยกว่าเสมอ... อย่าทำครับ แข่งขันได้ไม่แปลก fair play แต่อย่าโกง อย่าทุจริต
ขอให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ตัวเองเลือกครับน้อง
ออกตัวก่อนว่าเป็นหมอครับ ไม่ค่อยมีข้อมูลหรือว่าความรู้เกี่ยวกับเรื่องสาย BBA ครับ
เอาประเด็นเรื่องเงินก่อนครับ เพราะเป็นประเด็นหลักเรื่องที่น้องสนใจ
หมอเงินเดือน varies ครับขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยปัจจัยหลักคือทำงานรัฐ หรือเอกชน เงินต่างกัน x2-3 เท่า ปัจจัยอื่นๆคือ สาขาที่จบ, ฝีมือของตัวแพทย์เอง, รพ. ที่ตัวเองทำงานอยู่
intern (แพทย์จบใหม่) ส่วนใหญ่รายได้ก็คือ 6-8 หมื่นครับ บางทีอาจจะได้มากกว่านั้นหากควบเวรยาว ทั้งโดยสมัครใจ หรือโดยไม่สมัครใจจะได้เวรยาวๆ ก็ตาม
แพทย์เอกชน (ส่วนใหญ่) : 1-3 แสนต่อเดือนครับ
คือที่พี่อยากจะบอกคือในแง่ของเม็ดเงิน น้องเรียนแพทย์คือน้อง play safe ครับ อย่างน้อยจบออกมาก็มีเงินเดือนเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัว ดูแลคุณพ่อคุณแม่ได้ไม่ลำบากลำบนอย่างแน่นอน
แต่การเลือกเรียนสาขาอื่นๆ เหมือนน้องเสี่ยงแล้วหล่ะ เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว คนที่ได้เงินเดือนเยอะกว่าหมอ มีเพียงหยิบมือ ถ้าน้องคิดว่า เราเก่งนะ เราทำได้ เราโดดเด่นกว่าคนอื่น มี ambition สูง การเลือก BBA หรือเรียนสาขาอื่นๆ พี่ว่าก็ท้าทายดี แต่ประเด็นคือมันเสี่ยงไงครับ ไม่มีใครการันตีได้ เก่งแต่แป๊กก็มีให้เห็นกันมาแล้ว เพราะชีวิตจริงมันไม่ได้สวยเหมือนที่น้องวาดเอาไว้... ขึ้นกับว่าน้อง take risk ได้ขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พี่อยากให้น้องพิจารณาต่อนอกจากตัวเงินคือมิติอื่นๆ ที่อาจจะไม่ได้แปลผลออกมาเป็นตัวเงิน
สมัยพี่เป็น extern (นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย) มีคนไข้หัวใจหยุดเต้นมา รุ่นพี่แพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจคืนมาได้ คนไข้แย่มากมีทั้งเรื่องปอดติดเชื้อ ไตวาย เลือดออกในกระเพาะอาหาร ตอนนั้นคิดว่าคง loss คนไข้ไปแล้วแน่ๆ แต่สุดท้ายคนไข้รอดชีวิตกลับบ้านหลังจากอยู่ รพ. เกือบครึ่งเดือน
พี่เห็น ภรรยา, ลูกหลาน พากันยกโขยงมารับลุงกลับบ้าน มันเป็นอะไรที่ impact กับชีวิต นศพ. คนนึงมาก
น้องยังเด็กอาจจะยังไม่เข้าใจ
แต่พี่อยากให้น้องคิดดีๆ ว่าเรามีโอกาสที่จะรักในงานของเราไหม คิดถึงภาพว่าน้องเป็นหมอ การช่วยใครสักคนให้รอดนั้น add up อะไรในชีวิตของเราหรือเปล่า?
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ถูก add เข้าไปในเงินเดือนของแพทย์ แต่มันทำให้น้องมีความสุขขึ้นเวลาน้องทำงาน
แต่พี่ขอเบรคนิดนึง... พี่ไม่ได้โลกสวย สมมุติน้องคิดว่าตัวเองเฉยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมัน add อะไรในชีวิตน้องไม่ได้มากขนาดนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด!!! จริงไหม คนเราเกิดมาก็มีความสุขในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน อย่า blame ตัวเอง จงซื่อสัตย์ในสิ่งที่เราคิด
หากไม่ได้รู้สึกรักอะไรกับมันมาก ไปเสี่ยง BBA ดีกว่า อย่างน้อยเราก็เก่งพอล่ะ เพราะหากน้องเลือกเรียนแพทย์โดยเอาเงินเป็นคำตอบ น้องอาจจะทรมานในการใช้ชีวิต
พี่ไม่รู้ว่าเรียน BBA ต้องฟันฝ่าตรากตรำมากไหม เพราะไม่มีข้อมูล
แต่จะจบเป็นแพทย์ออกมาได้สักคนนึงนี่ก็สะบักสะบอมนะครับ ยิ่งเรียนเฉพาะทางจบออกมาอีกต่อยิ่งหนักหน่วง
พี่ยกตัวอย่างจากสถานการณ์จริงนะเผื่อน้องจะได้เห็นภาพ
Block ศัลยศาสตร์ พี่ต้องไปฝึกงาน รพ. ต่างจังหวัดครับ ซึ่งใกล้สอบมาก เวรหนักหน่วงสุดๆ ตีรันฟันแทง อุบัติเหตุมาทุกวัน ห้องพักพี่อยู่ในวอร์ดผู้ป่วยเลยครับ ฉะนั้นถึงไม่ได้อยู่เวรแต่เพื่อนโดนตามไปดูคนไข้ ก็ต้องลุกไปช่วยดูด้วย เสมือนอยู่เวรทุกวัน ห่วงหน้าพะวงหลัง หนังสือก็ไม่ค่อยได้อ่าน หัวถึงหมอนก็หลับแล้ว
1 อาทิตย์ก่อนฝึกงานเสร็จ แม่โทรมาบอกว่าพ่อแน่นหน้าอก โทรสอบถามสรุปว่าพ่อเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เครียดสิครับทีนี้ พ่อทั้งคน ทางนี้ก็ฝึกงานอยู่ รู้ตัวว่าหากลาไปทั้งอาทิตย์รับรองตกวิชาศัลยกรรมแน่ๆ
ตอนเย็นมีลาเลี้ยงของแพทย์ที่ รพ. พี่ก็ไปทานข้าวเซ็งๆ ในหัวก็คิดตลอด มันเจ็บใจนะครับ เราเรียนหมอแต่พ่อตัวเองกลับไปดูไม่ได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจ บอกอาจารย์คุมวิชานั้นตรงๆ ว่าพ่อป่วย ขอลาไปดูพ่อ พูดไปเสียงก็สั่น น้ำตาก็คลอ
-*- เห็นป่ะครับ ชีวิตแพทย์มักจะได้ประสบกันเรื่องแย่ๆ แบบนี้เสมอ
เรียนก็เหนื่อย ทำงานก็เหนื่อย รับผิดชอบก็มาก
ทุกอย่างมันมีข้อดีข้อเสีย
วิเคราะห์ตัวเองให้ดีครับ
ชั่ง risk เทียบ benefit อย่างซื่อสัตย์ต่อตัวเอง แล้วเลือกไป อย่าได้เสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว
ฝากไว้สุดท้ายไม่ว่าน้องจะเลือกอะไร
จงเป็นคนดี
คนฉลาดกว่ามักมีโอกาสที่จะเอาเปรียบผู้ฉลาดน้อยกว่าเสมอ... อย่าทำครับ แข่งขันได้ไม่แปลก fair play แต่อย่าโกง อย่าทุจริต
ขอให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ตัวเองเลือกครับน้อง
ความคิดเห็นที่ 10
ก็ดีนะ รู้จักมาตั้งกระทู้ถามก่อน ^^
ชอบคนตรงไปตรงมาแบบนี้นะ พี่เคยเลือกคณะผิด เพราะประสบการณ์น้อย ไม่ประสานี่ละ
ดูจากวาจาของน้องแล้ว คิดว่าน้องก็หน้าเงินพอสมควร (จริงๆทุกคนก็หน้าเงินหมดแหละ แต่ใครจะแสดงออกหรือไม่ก็เท่านั้นเอง)
ถ้าจะเป็นหมอ เท่าที่พี่รู้มา เงินเยอะก็จริงค่ะ แต่งานหนัก แล้วถ้าจะเปิดคลินิกเอง ก็มีการแข่งขันสูง ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ ถ้าไม่จบต่างประเทศแล้วมาเปิดคลินิกคนก็ไม่เข้าอยู่ดี
รายได้หมอ เอาจริงๆก็ แบบแน่นอนตายตัว คือหมอตามโรงพยาบาล (เพราะถ้าเป็นตามคลีนิก มันแล้วแต่ดวง ว่าจะรุ่งหรือจะร่วง เพราะการทำคลินิก ก็เหมือนการทำธุรกิจอย่างหนึ่งนั่นแหละ รายได้เลยไม่ฟันธง บางคนก็รุ่งบางคนก็ร่วง)
รายได้หมอตามโรงพยาบาล นี่ไม่แน่ใจนะ น่าจะประมาณ 30,000 - 100,000 บาท แล้วแต่ level และมหาลัยที่จบมา
แต่เท่าที่อ่านๆมาหลายๆกระทู้และจากที่เพื่อนๆเล่าให้ฟัง เขาบอกว่างานหนัก แต่รายได้ดี แต่งานหนัก เขาเลยแนะนำให้เรียนเฉพาะคนที่ชอบเป็นหมอจริงๆ อยากจะเป็นหมอจริงๆ ถ้าคนไม่อยากเป็นหมอแต่มาเรียนเพราะรายได้ดี ถึงเรียนไปสุดท้ายก็อาจจะไปไม่รอด เพราะงานหนัก
ส่วน MBA Finance
อันนี้ ถ้าพูดถึงระดับความยาก.. พี่ก็เรียนทั้งสายวิทย์และสาย Finance นะ (จบ 2 ใบปริญญา) Finance นี่ไม่ยากเท่าสายวิทย์หรอก เรียนง่ายกว่ามาก การคำนวณง่ายกว่ามาก ถ้าอยากจะรุ่งถึงจุดสูงสุด ก็ต้องใช้ความขยัน พยายามเก็บคะแนนให้ได้ที่ 1 ตลอด จบด้วยเกียรตินิยมแล้วไปต่อเมืองนอก
MBA Finance มันจะมีจุดสูงสุดอยู่ที่การสอบใบประกอบวิชาชีพ CISA (ลืมชื่อแล้ว แต่ก่อนจำได้อยู่ --') สูงสุดคือ ถ้าได้ใบนั้นมาแล้ว ก็อาจได้ทำงานเป็นผู้จัดการกองทุนรวม หรือเกี่ยวกับการลงทุนตำแหน่งใหญ่ๆ เงินเดือนก็ 100,000 บาทขึ้นไป
ประมาณนี้แหละ
สรุปแล้ว ถ้าน้องเป็นคนเรียนเก่งจริง น้องเลือกสาขาที่น้องชอบเถอะ เพราะ.. ไม่ว่าน้องจะจบสาขาไหน แต่ถ้าน้องเป็นที่ 1 ของสาขานั้น มันก็ได้งานดีๆทำทั้งนั้นแหละ เงินเดือนเท่าๆหมอแหละถ้าได้ที่ 1 ของสาขานั้นและจบ MBA ม.ดังๆของเมืองนอกอ่ะ
---
แต่ถ้าในอนาคต คิดจะทำธุรกิจส่วนตัว แนะนำให้เรียน BBA เลย
แต่ก่อนเคยดูถูกไว้เหมือนกัน ว่าถ้าเราอยากจะเป็นคนค้าขาย เราไม่ต้องเรียน BBA ก็ได้ เราก็เรียนสายวิทย์ที่เราชอบ ส่วนวิชาการค้าขาย เราฝึกเอา หรืออ่านตำราเอาก็ได้
แต่พอมาเรียนจริงๆ มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ ><
มันมีความสลับซับซ้อน และมีกลวิธี กลยุทธ มากพอสมควร โดยเฉพาะ หากใครที่คิดจะจัดตั้งบริษัท และมีพนักงาน มีแผนกต่างๆในบริษัทนี่ ถ้าไม่ได้เรียน BBA มา อาจจะถูกยักยอก หรือโดนโกง หรือล้มละลายได้ เพราะไม่รู้วิธีจัดการ
ที่ได้ความรู้มาคือ ความรู้ด้านบัญชี และเราควรจะมีความรู้ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และแผนกต่างๆด้วย รู้วิธีจัดเก็บข้อมูล และเอกสาร การแต่งตั้งพนักงาน การคานอำนาจของพนักงานในแผนก (เพื่อไม่ให้มีการยักยอกทรัพย์ของบริษัท)
เอาเป็นว่า ถ้าจะไปขายหมูปิ้งอ่ะ ไม่ต้องเรียน BBA ก็ได้
แต่ถ้าจะจัดตั้งบริษัท ถ้าคิดจะลงทุนทำธุรกิจ และจะมีพนักงานแผนกต่างๆ ยังไงก็ควรจะต้องเรียน BBA เพราะมันมีศาสตร์ มีกลยุทธ มีการบริหารความเสี่ยง การจัดการ มันมีความสลับซับซ้อนอยู่พอสมควร ^^
ชอบคนตรงไปตรงมาแบบนี้นะ พี่เคยเลือกคณะผิด เพราะประสบการณ์น้อย ไม่ประสานี่ละ
ดูจากวาจาของน้องแล้ว คิดว่าน้องก็หน้าเงินพอสมควร (จริงๆทุกคนก็หน้าเงินหมดแหละ แต่ใครจะแสดงออกหรือไม่ก็เท่านั้นเอง)
ถ้าจะเป็นหมอ เท่าที่พี่รู้มา เงินเยอะก็จริงค่ะ แต่งานหนัก แล้วถ้าจะเปิดคลินิกเอง ก็มีการแข่งขันสูง ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ ถ้าไม่จบต่างประเทศแล้วมาเปิดคลินิกคนก็ไม่เข้าอยู่ดี
รายได้หมอ เอาจริงๆก็ แบบแน่นอนตายตัว คือหมอตามโรงพยาบาล (เพราะถ้าเป็นตามคลีนิก มันแล้วแต่ดวง ว่าจะรุ่งหรือจะร่วง เพราะการทำคลินิก ก็เหมือนการทำธุรกิจอย่างหนึ่งนั่นแหละ รายได้เลยไม่ฟันธง บางคนก็รุ่งบางคนก็ร่วง)
รายได้หมอตามโรงพยาบาล นี่ไม่แน่ใจนะ น่าจะประมาณ 30,000 - 100,000 บาท แล้วแต่ level และมหาลัยที่จบมา
แต่เท่าที่อ่านๆมาหลายๆกระทู้และจากที่เพื่อนๆเล่าให้ฟัง เขาบอกว่างานหนัก แต่รายได้ดี แต่งานหนัก เขาเลยแนะนำให้เรียนเฉพาะคนที่ชอบเป็นหมอจริงๆ อยากจะเป็นหมอจริงๆ ถ้าคนไม่อยากเป็นหมอแต่มาเรียนเพราะรายได้ดี ถึงเรียนไปสุดท้ายก็อาจจะไปไม่รอด เพราะงานหนัก
ส่วน MBA Finance
อันนี้ ถ้าพูดถึงระดับความยาก.. พี่ก็เรียนทั้งสายวิทย์และสาย Finance นะ (จบ 2 ใบปริญญา) Finance นี่ไม่ยากเท่าสายวิทย์หรอก เรียนง่ายกว่ามาก การคำนวณง่ายกว่ามาก ถ้าอยากจะรุ่งถึงจุดสูงสุด ก็ต้องใช้ความขยัน พยายามเก็บคะแนนให้ได้ที่ 1 ตลอด จบด้วยเกียรตินิยมแล้วไปต่อเมืองนอก
MBA Finance มันจะมีจุดสูงสุดอยู่ที่การสอบใบประกอบวิชาชีพ CISA (ลืมชื่อแล้ว แต่ก่อนจำได้อยู่ --') สูงสุดคือ ถ้าได้ใบนั้นมาแล้ว ก็อาจได้ทำงานเป็นผู้จัดการกองทุนรวม หรือเกี่ยวกับการลงทุนตำแหน่งใหญ่ๆ เงินเดือนก็ 100,000 บาทขึ้นไป
ประมาณนี้แหละ
สรุปแล้ว ถ้าน้องเป็นคนเรียนเก่งจริง น้องเลือกสาขาที่น้องชอบเถอะ เพราะ.. ไม่ว่าน้องจะจบสาขาไหน แต่ถ้าน้องเป็นที่ 1 ของสาขานั้น มันก็ได้งานดีๆทำทั้งนั้นแหละ เงินเดือนเท่าๆหมอแหละถ้าได้ที่ 1 ของสาขานั้นและจบ MBA ม.ดังๆของเมืองนอกอ่ะ
---
แต่ถ้าในอนาคต คิดจะทำธุรกิจส่วนตัว แนะนำให้เรียน BBA เลย
แต่ก่อนเคยดูถูกไว้เหมือนกัน ว่าถ้าเราอยากจะเป็นคนค้าขาย เราไม่ต้องเรียน BBA ก็ได้ เราก็เรียนสายวิทย์ที่เราชอบ ส่วนวิชาการค้าขาย เราฝึกเอา หรืออ่านตำราเอาก็ได้
แต่พอมาเรียนจริงๆ มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ ><
มันมีความสลับซับซ้อน และมีกลวิธี กลยุทธ มากพอสมควร โดยเฉพาะ หากใครที่คิดจะจัดตั้งบริษัท และมีพนักงาน มีแผนกต่างๆในบริษัทนี่ ถ้าไม่ได้เรียน BBA มา อาจจะถูกยักยอก หรือโดนโกง หรือล้มละลายได้ เพราะไม่รู้วิธีจัดการ
ที่ได้ความรู้มาคือ ความรู้ด้านบัญชี และเราควรจะมีความรู้ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และแผนกต่างๆด้วย รู้วิธีจัดเก็บข้อมูล และเอกสาร การแต่งตั้งพนักงาน การคานอำนาจของพนักงานในแผนก (เพื่อไม่ให้มีการยักยอกทรัพย์ของบริษัท)
เอาเป็นว่า ถ้าจะไปขายหมูปิ้งอ่ะ ไม่ต้องเรียน BBA ก็ได้
แต่ถ้าจะจัดตั้งบริษัท ถ้าคิดจะลงทุนทำธุรกิจ และจะมีพนักงานแผนกต่างๆ ยังไงก็ควรจะต้องเรียน BBA เพราะมันมีศาสตร์ มีกลยุทธ มีการบริหารความเสี่ยง การจัดการ มันมีความสลับซับซ้อนอยู่พอสมควร ^^
ความคิดเห็นที่ 76
ถอด login มาตอบก่อน เพราะเกรงว่าจะตอบตรงและแรงเกินไป
1. เชื่อเถอะว่าคนที่มาเป็นแพทย์เพื่อเงิน(อาจจะใช้คำพูดให้สวยขึ้นว่าความมั่นคงหรืออะไรก็ตาม)มีไม่น้อยแน่ๆครับ
สมมติเอาง่ายๆเลยว่าถ้าวันนี้แพทย์ทุกคนมีเงิน 100 ล้าน passive income ปีละ 5ล้าน จะยังมีแพทย์อยู่ในระบบอีกกี่คน
คือเหลือน่ะเหลือแน่ครับ แต่ไม่เยอะหรอก บางคนต้องการเงิน ต้องการชื่อเสียง ต้องการเกียรติ ฯลฯ ซึ่งเยอะมากไม่ได้มาจากใจรักจริงๆ ซึ่งใจรักในวิชาชีพนี้จริงๆทำแล้วสนุกไปกับมันนี่หายากนะ เห็นทำไปบ่นไปใน FB ทุกคน อาชีพอื่นไม่เห็นบ่นกันเยอะขนาดนี้นะ
2. แพทย์รายได้เฉลี่ยสูงกว่า ชัวร์กว่า แม้จุดสูงสุดจะไม่สูงเท่าก็ตาม
จุดบนสุดของแพทย์สายทำงาน(ไม่เอาสายบริหาร) น่าจะตกประมาณ 7 หลัก/เดือนได้ แต่คนที่ไปถึงจุดนั้นน่ะนับคนได้นะครับ
แต่อย่างไรก็ดีถ้าไม่ดิ้นรนอะไรมาก 6 หลัก/เดือนไม่ยากครับ
3. BBA ไม่รู้ครับ แต่คิดว่าความเสี่ยงเยอะกว่า แม้จุดสูงสุดจะถึงไหนถึงกันก็ตาม
ที่ 1 ทุกสาขาน่ะเงินเยอะน่ะใช่ครับ แต่น้องต้องลงมามองดูศพที่เหยียบใต้เท้าด้วยว่าตายไปแล้วเท่าไหร่
มองที่เท้าหมอ ทุเรศยังงัยก็ 5หลักกลางๆค่อนปลายแถมจำนวนไม่เยอะ มองที่เท้า BBA หมื่นต้นๆกี่คนครับที่ไปกองตรงนั้น
ในการทำงานน่ะความเก่งเป็นคุณสมบัตินึง แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง อย่าง บัฟเฟต โซรอส บิลเกต สตีปจ็อบส์ นั้นระดับจีเนียสแน่นอน แต่ไม่ใช่เก่งที่สุดในโลกแน่นอน แต่ทำไมเค้าถึงรวยมากๆๆๆๆๆ พี่ว่าเพราะ attitude เค้านะ(มันอธิบายยาก พี่ตอบแค่นี้ก่อนละกัน)
4. เห็นคนขู่น้องเรื่องการเรียนหมอว่าเหนื่อยและหนัก พี่ขอเอาความเห็นส่วนตัวว่าจริงส่วนนึง แต่คนไม่ค่อยขยันหรือชิลๆหลายๆคน ต่อให้เรียนคณะแพทย์มันก็ยังชิลได้(แต่ก็หนักกว่าคณะทั่วไปแน่นอน)
พี่กล้าพูดเลยว่าพี่จบจากคณะแพทย์ที่มีการเรียนการสอนที่ว่ากันว่าหนักที่สุดในประเทศไทย(น่าจะเป็นคณะเดียวกับคณะที่น้องคิดจะสอบตรงเข้ามา) แต่มันก็ไม่ได้เหนื่อยหมดใจขาดดิ้นขนาดนั้น จนถึงปี 6 พี่ก็ยังมีเวลาไปจีบสาว นั่งกินเหล้ากับเพื่อนตอนดึกๆ ไปเที่ยวผับ เล่นกีฬา คุยโทรศัพท์กับแฟนและกิ๊ก ซ้อมดนตรี เล่นเกม ดูบอล
แน่นอนว่าทำตัวแบบนั้นไม่ว่าที่ไหนเกรดน้องจะไม่ได้ออกมาแบบเริดหรูอลังการอาจจะทุเรศจนอาจารย์ต้องอ่อนใจด้วยซ้ำ แต่จบได้ครับ เรียนให้จบไม่ยาก เรียนให้เก่งน่ะยากกว่า
ส่วนไอ้พวกที่บอกว่า โอ๊ยไม่ได้นอนทั้งคืน ผ่ายันเช้า ปั๊มหัวใจยันเช้า รับเคสตอนตี 5 ก็มีจริงๆครับ แต่ไม่ใช่ทุกคืนครับ บางคืนก็หลับสนิทไปยาวๆนั่งกินค่าเวรฟรีก็มี อันไหนมากน้อยกว่ากันแล้วแต่บุญกรรมของน้องครับ แต่ส่วนมากแนวโน้มไม่ได้นอนมีเยอะกว่า
5. คหสต ว่าถ้าครอบครัวธุรกิจไม่ได้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ร่ำรวย เรียนแพทย์เถอะ ชัวร์กว่า(เรื่องรายได้) ถือเป็นการทำประกันไว้ก่อนก็ได้ ไม่ชอบจบมาก็ไปทำสกินได้ 1XX,XXX บาท/เดือน เอาเงินและเวลาตรงนี้ไปต่อยอดตรงอื่นก็ได้ ช้าหน่อยแต่ชัวร์กว่าพี่ว่าโอเคกว่า
ถ้าเกิดชอบ เร่งไปให้ถึงจุดบนๆ รพ ใหญ่ซื้อตัวไปก็มีโอกาสเดือนละ 7 หลักได้ แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นต้องเข้าใจว่านานพอสมควร ถามว่านานแค่ไหน ก็จนกว่าคนไข้จะเริ่มติดหมอ ซึ่งส่วนมากก็ต้องเก่งจนจบเฉพาะทางและมีชื่อเสียงอย่างมากแล้วก็ราวๆ 40+- ปี
หรือจะเปิดคลีนิกสกินหลายๆแห่งแบบ W,N ฯลฯ ก็ได้ ถ้าฟลุคติดตลาดหรือครองตลาดได้ 9-10 หลักก็อยู่ในกำมือแล้วครับ
แต่ที่พูดมาทั้งหมดถึงจะล้มเหลว ไปไม่ได้ไปไม่ถึง ตกลงมากก็มี 70,000-100,000/เดือนรองรับแน่นอน เรียกว่าถึงไม่รวยก็อยู่แบบสบายๆได้
6. แต่ถ้าธุรกิตครอบครัวน้องเทพมาก 8-9 หลักขึ้นไป อย่าเรียนหมอเลย เรียนไปก็ไม่ได้เพิ่มเงินในครอบครัวน้องเท่าไหร่หรอก
7. แพทย์มีเกียรติมีศักดิ์ศรีในสังคมไทยมาก ถึงการฟ้องร้องและการบูชาหมอจะไม่มากเท่าสมัยก่อน แต่เชื่อเถอะคนยังให้ความยำเกรงอยู่มาก ต่อให้มีนักการเมือง นักธุรกิจร้อยล้านพันล้าน กับหมอ คนไทยก็ยังให้ความเคารพหมอมากกว่าอยู่ดีครับ(แต่เราจนกว่าเค้าเยอะนะ)
8. แต่ถ้าจะเป็นหมอ พี่บอกเลยว่าสังคมไม่ดี และระบบสาธารณสุขเมืองไทยไม่ดี(และคงไม่ดีไปอีกนาน)
- สังคมไม่ดีคือ น้องรับรู้มาว่ามันแก่งแย่งชิงดีกันยังไง ego สูงยังงัย มันก็ยังงั้นแหละน้อง ยิ่งสถาบันดีๆยิ่งเป็นเยอะ แย่งเคส เกี่ยงเคส แบ่งงานมีปัญหา อาจจะคิดว่าพี่พูดเกินจริงลองเข้ามาดูความเจริงก็ได้ครับ พี่พูดได้เพราะพี่จบมาจากสถาบันที่พี่คิดว่าดีที่สุดที่หนึ่งของประเทศนี้ แต่เทียบกับเพื่อนที่เป็นหมอที่สถาบัน ตจว ที่พี่รู้จักตั้งแต่ปี 1(พูดชื่อไปเลยก็ได้ PI) พวกนั้นน่ารักกว่าเยอะ คุยง่ายสนิทง่ายมาก ทำงานด้วยกันไม่นานสนิทกันแล้ว แต่เพื่อนที่คณะนี่อยู่วอร์ดเดียวกันตั้งหลายวอร์ด จบมาแล้วไม่เคยรู้จักกันอีกเลยก็มี แต่เพื่อนกลุ่มพี่น่ะยกเว้นนะ เพราะมันออกแนวท้ายตารางทั้งกลุ่มอยู่แล้ว
- ระบบไม่ดี ระบบสาธารณสุขไทยและระบบแพทย์เอง ใช้งานแพทย์เกินเวลา ทำงานควายมาก
มีไม่กี่ที่ในโลกที่จะรับคนไข้เกินศักยภาพ รพ คือมี 100 ก็รับไป 130 เตียงก็ไม่พอ แทรกกันหน้าลิฟท์ หน้าทางเดิน หมอที่ไม่พออยู่แล้วก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำกันอีก แถมคนไข้มา OPD ยังงัยก้ต้องได้ตรวจวันนั้น ต่อให้เป็นแค่ไข้หวัดและหมอแม่มจะทำงานถึง 6 โมงเย็นก็ต้องได้ตรวจเสมอๆ
ER ที่เป็นห้องฉุกเฉิน น้องจะเจอพาเด็กเป็นไข้มาตอนดึกๆเย็นๆเพราะทำงานเพิ่งเลิก มาเอายาความดันตอนตี 4 ปวดฟันมาตอนตี 5 ซึ่งพี่บอกเลยว่า คนไทยแยกแยะไม่ออกระหว่าง ER กับ OPD นอกเวลา ยิ่ง รพช(ชุมชน)จะมีติดรถมาเอายากันด้วย คือไหนๆก็มีคนมาแล้วอ่านะ
แถมทำงานกัน unlimited คือ ตปท จะมีจำกัดเลยว่า ห้ามแพทย์ทำงานติดต่อกันเกินกี่ชม(รู้สึกเภสัชในประเทศไทยจะมีนะ) ถ้าเกินต้องให้พักทันที แต่ประเทศไทยไม่มีจ้า อยู่เวรต่อกัน 3 วันก็มี(แต่ก็มีได้งีบบ้างเป็นพักๆนะ)
ส่วนระบบหมอเอง จะเป็นระบบหมออาวุโสสบาย เพราะทำงานมาเยอะแล้วแก่แล้ว(จะไปอยู่เอกชนกับคลินิกนั่นแหละ) น้องจะถูกให้อยู่เวรเยอะกว่า ทำงานแล้วตาม staff ยาก(เพราะคลินิกอยู่ไกล)
- ระบบแพทย์ทำให้แพทย์ maturity ช้ามาก คือทุกการทำงานของน้องจะมีคนเหนือหัวคอยกำกับการทำงานของน้องเสมอๆ(พี่นศพ, intern, young staff) ซึ่งแน่นอนเพื่อความปลอดภัยของคนไข้ แต่น้องจะเห็นเพื่อนน้องเป็นผู้ใหญ่น้อยกว่าวิชาชีพอื่นมากๆ(แถม ego สูงด้วยเอ้า)
ดังนั้นตรงนี้พี่ขอสรุปเหมือนคนอื่นว่า ระบบและสังคมแพทย์ ถ้าไม่รักมันจริงๆมันจะอยู่ยากและเครียดพอสมควรครับ(บางคนรักมากๆยังลาออกเลยครับ)
พี่ก็ให้ข้อมูลคร่าวๆประมาณนี้ละกันครับ ถ้าข้อมูลพอในระดับนึงแล้ว ก็เหลือแต่น้องจะตัดสินใจแล้วล่ะว่าจะเอายังงัย
ถ้าสงสัยอะไรหลังไมค์มาถามเพิ่มเติมได้นะ ยินดีตอบครับ
เพราะพี่ยอมรับว่าพี่เองก็เป็นคล้ายๆน้องน่ะแหละ
1. เชื่อเถอะว่าคนที่มาเป็นแพทย์เพื่อเงิน(อาจจะใช้คำพูดให้สวยขึ้นว่าความมั่นคงหรืออะไรก็ตาม)มีไม่น้อยแน่ๆครับ
สมมติเอาง่ายๆเลยว่าถ้าวันนี้แพทย์ทุกคนมีเงิน 100 ล้าน passive income ปีละ 5ล้าน จะยังมีแพทย์อยู่ในระบบอีกกี่คน
คือเหลือน่ะเหลือแน่ครับ แต่ไม่เยอะหรอก บางคนต้องการเงิน ต้องการชื่อเสียง ต้องการเกียรติ ฯลฯ ซึ่งเยอะมากไม่ได้มาจากใจรักจริงๆ ซึ่งใจรักในวิชาชีพนี้จริงๆทำแล้วสนุกไปกับมันนี่หายากนะ เห็นทำไปบ่นไปใน FB ทุกคน อาชีพอื่นไม่เห็นบ่นกันเยอะขนาดนี้นะ
2. แพทย์รายได้เฉลี่ยสูงกว่า ชัวร์กว่า แม้จุดสูงสุดจะไม่สูงเท่าก็ตาม
จุดบนสุดของแพทย์สายทำงาน(ไม่เอาสายบริหาร) น่าจะตกประมาณ 7 หลัก/เดือนได้ แต่คนที่ไปถึงจุดนั้นน่ะนับคนได้นะครับ
แต่อย่างไรก็ดีถ้าไม่ดิ้นรนอะไรมาก 6 หลัก/เดือนไม่ยากครับ
3. BBA ไม่รู้ครับ แต่คิดว่าความเสี่ยงเยอะกว่า แม้จุดสูงสุดจะถึงไหนถึงกันก็ตาม
ที่ 1 ทุกสาขาน่ะเงินเยอะน่ะใช่ครับ แต่น้องต้องลงมามองดูศพที่เหยียบใต้เท้าด้วยว่าตายไปแล้วเท่าไหร่
มองที่เท้าหมอ ทุเรศยังงัยก็ 5หลักกลางๆค่อนปลายแถมจำนวนไม่เยอะ มองที่เท้า BBA หมื่นต้นๆกี่คนครับที่ไปกองตรงนั้น
ในการทำงานน่ะความเก่งเป็นคุณสมบัตินึง แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง อย่าง บัฟเฟต โซรอส บิลเกต สตีปจ็อบส์ นั้นระดับจีเนียสแน่นอน แต่ไม่ใช่เก่งที่สุดในโลกแน่นอน แต่ทำไมเค้าถึงรวยมากๆๆๆๆๆ พี่ว่าเพราะ attitude เค้านะ(มันอธิบายยาก พี่ตอบแค่นี้ก่อนละกัน)
4. เห็นคนขู่น้องเรื่องการเรียนหมอว่าเหนื่อยและหนัก พี่ขอเอาความเห็นส่วนตัวว่าจริงส่วนนึง แต่คนไม่ค่อยขยันหรือชิลๆหลายๆคน ต่อให้เรียนคณะแพทย์มันก็ยังชิลได้(แต่ก็หนักกว่าคณะทั่วไปแน่นอน)
พี่กล้าพูดเลยว่าพี่จบจากคณะแพทย์ที่มีการเรียนการสอนที่ว่ากันว่าหนักที่สุดในประเทศไทย(น่าจะเป็นคณะเดียวกับคณะที่น้องคิดจะสอบตรงเข้ามา) แต่มันก็ไม่ได้เหนื่อยหมดใจขาดดิ้นขนาดนั้น จนถึงปี 6 พี่ก็ยังมีเวลาไปจีบสาว นั่งกินเหล้ากับเพื่อนตอนดึกๆ ไปเที่ยวผับ เล่นกีฬา คุยโทรศัพท์กับแฟนและกิ๊ก ซ้อมดนตรี เล่นเกม ดูบอล
แน่นอนว่าทำตัวแบบนั้นไม่ว่าที่ไหนเกรดน้องจะไม่ได้ออกมาแบบเริดหรูอลังการอาจจะทุเรศจนอาจารย์ต้องอ่อนใจด้วยซ้ำ แต่จบได้ครับ เรียนให้จบไม่ยาก เรียนให้เก่งน่ะยากกว่า
ส่วนไอ้พวกที่บอกว่า โอ๊ยไม่ได้นอนทั้งคืน ผ่ายันเช้า ปั๊มหัวใจยันเช้า รับเคสตอนตี 5 ก็มีจริงๆครับ แต่ไม่ใช่ทุกคืนครับ บางคืนก็หลับสนิทไปยาวๆนั่งกินค่าเวรฟรีก็มี อันไหนมากน้อยกว่ากันแล้วแต่บุญกรรมของน้องครับ แต่ส่วนมากแนวโน้มไม่ได้นอนมีเยอะกว่า
5. คหสต ว่าถ้าครอบครัวธุรกิจไม่ได้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ร่ำรวย เรียนแพทย์เถอะ ชัวร์กว่า(เรื่องรายได้) ถือเป็นการทำประกันไว้ก่อนก็ได้ ไม่ชอบจบมาก็ไปทำสกินได้ 1XX,XXX บาท/เดือน เอาเงินและเวลาตรงนี้ไปต่อยอดตรงอื่นก็ได้ ช้าหน่อยแต่ชัวร์กว่าพี่ว่าโอเคกว่า
ถ้าเกิดชอบ เร่งไปให้ถึงจุดบนๆ รพ ใหญ่ซื้อตัวไปก็มีโอกาสเดือนละ 7 หลักได้ แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นต้องเข้าใจว่านานพอสมควร ถามว่านานแค่ไหน ก็จนกว่าคนไข้จะเริ่มติดหมอ ซึ่งส่วนมากก็ต้องเก่งจนจบเฉพาะทางและมีชื่อเสียงอย่างมากแล้วก็ราวๆ 40+- ปี
หรือจะเปิดคลีนิกสกินหลายๆแห่งแบบ W,N ฯลฯ ก็ได้ ถ้าฟลุคติดตลาดหรือครองตลาดได้ 9-10 หลักก็อยู่ในกำมือแล้วครับ
แต่ที่พูดมาทั้งหมดถึงจะล้มเหลว ไปไม่ได้ไปไม่ถึง ตกลงมากก็มี 70,000-100,000/เดือนรองรับแน่นอน เรียกว่าถึงไม่รวยก็อยู่แบบสบายๆได้
6. แต่ถ้าธุรกิตครอบครัวน้องเทพมาก 8-9 หลักขึ้นไป อย่าเรียนหมอเลย เรียนไปก็ไม่ได้เพิ่มเงินในครอบครัวน้องเท่าไหร่หรอก
7. แพทย์มีเกียรติมีศักดิ์ศรีในสังคมไทยมาก ถึงการฟ้องร้องและการบูชาหมอจะไม่มากเท่าสมัยก่อน แต่เชื่อเถอะคนยังให้ความยำเกรงอยู่มาก ต่อให้มีนักการเมือง นักธุรกิจร้อยล้านพันล้าน กับหมอ คนไทยก็ยังให้ความเคารพหมอมากกว่าอยู่ดีครับ(แต่เราจนกว่าเค้าเยอะนะ)
8. แต่ถ้าจะเป็นหมอ พี่บอกเลยว่าสังคมไม่ดี และระบบสาธารณสุขเมืองไทยไม่ดี(และคงไม่ดีไปอีกนาน)
- สังคมไม่ดีคือ น้องรับรู้มาว่ามันแก่งแย่งชิงดีกันยังไง ego สูงยังงัย มันก็ยังงั้นแหละน้อง ยิ่งสถาบันดีๆยิ่งเป็นเยอะ แย่งเคส เกี่ยงเคส แบ่งงานมีปัญหา อาจจะคิดว่าพี่พูดเกินจริงลองเข้ามาดูความเจริงก็ได้ครับ พี่พูดได้เพราะพี่จบมาจากสถาบันที่พี่คิดว่าดีที่สุดที่หนึ่งของประเทศนี้ แต่เทียบกับเพื่อนที่เป็นหมอที่สถาบัน ตจว ที่พี่รู้จักตั้งแต่ปี 1(พูดชื่อไปเลยก็ได้ PI) พวกนั้นน่ารักกว่าเยอะ คุยง่ายสนิทง่ายมาก ทำงานด้วยกันไม่นานสนิทกันแล้ว แต่เพื่อนที่คณะนี่อยู่วอร์ดเดียวกันตั้งหลายวอร์ด จบมาแล้วไม่เคยรู้จักกันอีกเลยก็มี แต่เพื่อนกลุ่มพี่น่ะยกเว้นนะ เพราะมันออกแนวท้ายตารางทั้งกลุ่มอยู่แล้ว
- ระบบไม่ดี ระบบสาธารณสุขไทยและระบบแพทย์เอง ใช้งานแพทย์เกินเวลา ทำงานควายมาก
มีไม่กี่ที่ในโลกที่จะรับคนไข้เกินศักยภาพ รพ คือมี 100 ก็รับไป 130 เตียงก็ไม่พอ แทรกกันหน้าลิฟท์ หน้าทางเดิน หมอที่ไม่พออยู่แล้วก็ทำงานหามรุ่งหามค่ำกันอีก แถมคนไข้มา OPD ยังงัยก้ต้องได้ตรวจวันนั้น ต่อให้เป็นแค่ไข้หวัดและหมอแม่มจะทำงานถึง 6 โมงเย็นก็ต้องได้ตรวจเสมอๆ
ER ที่เป็นห้องฉุกเฉิน น้องจะเจอพาเด็กเป็นไข้มาตอนดึกๆเย็นๆเพราะทำงานเพิ่งเลิก มาเอายาความดันตอนตี 4 ปวดฟันมาตอนตี 5 ซึ่งพี่บอกเลยว่า คนไทยแยกแยะไม่ออกระหว่าง ER กับ OPD นอกเวลา ยิ่ง รพช(ชุมชน)จะมีติดรถมาเอายากันด้วย คือไหนๆก็มีคนมาแล้วอ่านะ
แถมทำงานกัน unlimited คือ ตปท จะมีจำกัดเลยว่า ห้ามแพทย์ทำงานติดต่อกันเกินกี่ชม(รู้สึกเภสัชในประเทศไทยจะมีนะ) ถ้าเกินต้องให้พักทันที แต่ประเทศไทยไม่มีจ้า อยู่เวรต่อกัน 3 วันก็มี(แต่ก็มีได้งีบบ้างเป็นพักๆนะ)
ส่วนระบบหมอเอง จะเป็นระบบหมออาวุโสสบาย เพราะทำงานมาเยอะแล้วแก่แล้ว(จะไปอยู่เอกชนกับคลินิกนั่นแหละ) น้องจะถูกให้อยู่เวรเยอะกว่า ทำงานแล้วตาม staff ยาก(เพราะคลินิกอยู่ไกล)
- ระบบแพทย์ทำให้แพทย์ maturity ช้ามาก คือทุกการทำงานของน้องจะมีคนเหนือหัวคอยกำกับการทำงานของน้องเสมอๆ(พี่นศพ, intern, young staff) ซึ่งแน่นอนเพื่อความปลอดภัยของคนไข้ แต่น้องจะเห็นเพื่อนน้องเป็นผู้ใหญ่น้อยกว่าวิชาชีพอื่นมากๆ(แถม ego สูงด้วยเอ้า)
ดังนั้นตรงนี้พี่ขอสรุปเหมือนคนอื่นว่า ระบบและสังคมแพทย์ ถ้าไม่รักมันจริงๆมันจะอยู่ยากและเครียดพอสมควรครับ(บางคนรักมากๆยังลาออกเลยครับ)
พี่ก็ให้ข้อมูลคร่าวๆประมาณนี้ละกันครับ ถ้าข้อมูลพอในระดับนึงแล้ว ก็เหลือแต่น้องจะตัดสินใจแล้วล่ะว่าจะเอายังงัย
ถ้าสงสัยอะไรหลังไมค์มาถามเพิ่มเติมได้นะ ยินดีตอบครับ
เพราะพี่ยอมรับว่าพี่เองก็เป็นคล้ายๆน้องน่ะแหละ
แสดงความคิดเห็น
เรียนBBAหรือเรียนแพทย์?
มองในแง่รายได้อย่างเดียว
เทียบกันแล้ว เป็นหมอหรือเรียน BBAมีโอกาสมากกว่าครับ?
คิดไว้ว่าถ้าเรียนหมอ จบแล้วจะใช้ทุน1ปี แล้วไปต่อเฉพาะทาง U ดีๆต่างประเทศ มาเปิดคลีนิก/ทำเอกชน
เทียบกับ
เรียน BBA finance ทำงาน 1-2 ปี แล้วไปต่อ U ดีๆที่อเมริกา มีแนวทางไปต่อยังไง
ถ้าเป็นไปได้ ขอให้พี่ๆช่วยบอกประมาณรายได้ของแพทย์เฉพาะทางโรงพยาบาลเอกชน และรายได้จากการเปิดคลีนิกขนาดกลาง
และรายได้โดยเฉลี่ยบ.เอกชนของคนจบ BBA จุฬา และ MBA จาก U ดีๆต่างประเทศด้วยครับ
หรือถ้ามีแนวทางอื่นๆรบกวนช่วยชี้แนะจขกท.ด้วยนะครับ
ขอบคุณทุกๆท่านมากๆครับสำหรับคำแนะนำ
***จขกท.อยากทราบจริงๆ ขอเป็นวิทยาทานครับ
ขอร้องว่า ไม่มีเจตนาดราม่านะครับ