
โครงการระบบบำบัดน้ำเสียรวมแห่งแรกของไทยซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มูลค่ากว่า 23,700 ล้านบาท แต่ที่สุดกลายเป็นมหากาพย์ทุจริต
บ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านเป็นโครงการระบบบำบัดน้ำเสียรวมแห่งแรกของไทยซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มูลค่าก่อสร้างกว่า 23,700 ล้านบาท ตั้งอยู่พื้นที่ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
โครงการนี้ ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2538 ต่อมานายยิ่งพันธ์ มนะสิการ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะนั้นที่มีการเซ็นสัญญาโครงการบำบัดนำเสียกับผู้รับเหมา ในเดือนสิงหาคม 2540 แต่ชาวบ้านในพื้นที่ตั้งโครงการเพิ่งรู้เมื่อปี 2542 จึงเคลื่อนไหวคัดค้าน
จากนั้น ขยายไปสู่การตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยอนุกรรมการไต่สวนการทุจริตที่ดินในโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดมีชื่อนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้อนุมัติ 3 คน ได้แก่ นายยิ่งพันธ์ (เสียชีวิต) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมช.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ถูกกล่าวหาว่าซื้อที่ดินแล้วนำมาขายต่อให้โครงการสมัยที่ดำรงตำแหน่ง
มิถุนายน 2550 ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนา ส่งให้อัยการสูงสุด ฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุว่าใช้อำนาจหน้าที่ขณะเป็น รมช.มหาดไทย บังคับข่มขืนใจ หรือจูงใจให้ราษฎรขายที่ดินให้และบีบบังคับเจ้าหน้าที่ที่ดินออกโฉนดจำนวน 17 แปลง รวมพื้นที่ 1,900 ไร่ เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ
โดยที่ดินดังกล่าวเป็นป่าชายเลนและที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม มีการซื้อขายจากชาวบ้านเปลี่ยนมือกันมาแล้วหลายทอด ต่อมาบริษัท ปาล์มบีช ดีเวลลอปเม้นท์ ที่มีนายสมลักษณ์ อัศวเหม และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ร่วมเป็นกรรมการ ก็เข้ามาซื้อต่ออีกทอดหนึ่ง โดยรวบรวมที่ดินของบริษัท แร่ลานทอง ของนายวัฒนา นายสมพร อัศวเหม และนายมั่น พัธโนทัย และพื้นที่ใกล้เคียงเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนที่ดินผืนนี้จะถูกนำไปจำนองกับธนาคารไทยพาณิชย์และตกถึงมือบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ ที่ซื้อไว้ในราคา 563 ล้านบาท
สุดท้ายที่ดินทั้งหมด กรมควบคุมมลพิษ เข้าไปซื้อในราคา 1,900 ล้านบาท
13 พฤศจิกายน 2550 ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์นัดพิจารณาครั้งแรก ในคดีที่นายวัฒนา มีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 33 และ 84 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 2 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 2,000-40,000 บาท หรือประหารชีวิต
12 กุมภาพันธ์ 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก และสืบพยานจำเลยวันที่ 28 มีนาคม 2551
17 เมษายน 2551 ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยครั้งสุดท้าย นายวัฒนา เดินทางมาร่วมการพิจารณาคดีเป็นครั้งแรก หลังจากขอเลื่อนเข้าไต่สวนมาแล้ว 4 ครั้ง ด้วยข้ออ้างป่วย มีอาการสับสนเฉียบพลัน หลงลืม สูญเสียความทรงจำชั่วคราว เนื่องจากอาการโรคเส้นเลือดอุดตันที่ก้านสมอง
นายวัฒนา ให้สัมภาษณ์ว่าถูกอดีตรัฐบาลกลั่นแกล้งเพื่อบีบบังคับให้เข้าสังกัดพรรคการ เมือง เช่นเดียวกับนายประชา โพธิพิพิธ (กำนันเซียะ) อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกเล่นงานคดีฮั้วประมูล และนายสมชาย คุณปลื้ม (กำนันเป๊าะ) อดีตนายกเทศมนตรี จำเลยคดีทุจริตซื้อที่ดิน ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี ที่ทุกวันนี้หลบหนีคดีหลังศาลพิพากษาให้จำคุก
8 พฤษภาคม 2551 นายวัฒนา เบิกความต่อศาลยืนยันความบริสุทธิ์ หากทำผิดจริงให้ลงโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นโทษสูงสุด และยืนยันด้วยว่าในวันพิพากษาจะมาฟังแน่นอน ไม่หลบหนีไปไหนเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด
ทว่า 9 กรกฎาคม 2551 นายวัฒนา กลับไม่มารับฟังคำพิพากษาศาล ขณะที่ทนายบอกว่าติดต่อจำเลยไม่ได้ ทั้งที่เมื่อ 3 วันก่อนจำเลยโทรศัพท์ติดต่อยืนยันจะเดินทางมาฟังคำพิพากษา
นายวัฒนา ปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งสุดท้ายวันที่ 29 มิถุนายน 2551 ในพิธีแต่งงานลูกชาย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. จากนั้น ก็มีข่าวว่า ได้หลบหนีไปอยู่ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา
18 สิงหาคม 2551 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ 9 คน ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับคลองสาธารณประโยชน์และที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม นำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ เพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง
ศาลฎีกาฯ มีมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่า จำเลยได้ใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ในนามบริษัท ปาล์มบีช ดิเวลล็อปเม้นท์ จำกัด โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี และริบพระเครื่องผงสุพรรณเลี่ยมทองของกลาง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำเลยหลบหนีไม่มาปรากฏตัวต่อศาล ศาลได้สั่งออกหมายจับจำเลย เพื่อมารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป ภายในอายุความ 15 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยหลบหนี
นอกจากนี้ องค์คณะผู้พิพากษายังมีมติ 5 ต่อ 4 ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 84 ดังนั้น ที่จำเลยขอให้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงต่อศาลฯ ด้วยวาจา โดยรายงานผลการติดตามตัวนายวัฒนาว่า ไม่พบตัวนายวัฒนาในประเทศไทย และจากการสืบสวนทราบว่า นายวัฒนาอาจหลบหนีออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ก่อนออกหมายจับ และเชื่อได้ว่าพำนักอยู่ที่ประเทศกัมพูชา จึงไม่สามารถนำตัวมาฟังคำพิพากษาตามหมายศาลได้
นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความของนายวัฒนา เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ยังไม่ได้รายงานเรื่องคำสั่งศาลฯ ให้นายวัฒนาทราบ และไม่ได้พูดคุยกับนายวัฒนา ซึ่งขณะนี้ถือว่าหน้าที่ของตนหมดลงแล้ว
ต่อมาวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 1 ศาลแขวงดุสิต ศาลอ่านคำพิพากษาให้จำคุกและปรับนายวัฒนา อัศวเหม กับพวกจำเลย ในคดีที่กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง 1.กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี 2.บริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง 3.นายพิษณุ ชวนะนันท์ กรรมการบริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง 4.บริษัทประยูรวิศว์การช่าง 5.นายสังวรณ์ ลิปตพัลลภ กรรมการบริษัทประยูร วิศว์การช่าง 6.บริษัทสี่แสงการโยธา (1979) 7.นายสิโรจน์ วงศ์สิโรจน์กุล กรรมการบริษัทสี่แสงการโยธา หรือเสี่ยสี่ ผู้กว้างขวางในวงการรับเหมาก่อสร้าง 8.บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์
9.นายนิพนธ์ โกศัยพลกุล กรรมการบริษัทกรุงธนเอนยิเนียร์ 10.บริษัทเกตเวย์ดิเวลลอปเมนท์ 11.นายรอยอิศราพร ชุตาภา กรรมการบริษัทเกตเวย์ดิเวลลอปเมนท์ 12.บริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ 13.นายชาลี ชุตาภา กรรมการบริษัทคลองด่านมารีนฯ 14.นายประพาส ตีระสงกรานต์ กรรมการบริษัทคลองด่านมารีนฯ 15.นายชยณัฐ โอสถานุเคราะห์ กรรมการบริษัทคลองด่านมารีนฯ 16.บริษัท ปาล์ม บีช ดิเวลลอปเมนท์ 17.นางบุญศรี ปิ่นขยัน กรรมการบริษัทปาล์มบีชฯ 18.นายกว๊อกวา โอเยง สัญชาติฮ่องกง ในฐานะผู้แทนบริษัทปาล์มบีชฯ และ 19.นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลยที่ 1-19 ฐานฉ้อโกงที่ดินและฉ้อโกง กรณีร่วมกันทุจริตจัดซื้อที่ดิน อ.คลองด่าน จ.สมุทร ปราการ 1,900 ไร่ มูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคลอง ถนนสาธารณะ และป่าชายเลน ก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน
ศาลแขวงดุสิต อ่านคำพิพากษาให้จำคุกและปรับนายวัฒนา กับพวกจำเลย ในคดีที่กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ซึ่งในกรณีนี้ ศาลพิพากษาจำคุกนายวัฒนา 3 ปี ฐานฉ้อโกงที่ดินและฉ้อโกง กรณีร่วมกันทุจริตจัดซื้อที่ดิน อ.คลองด่าน จ.สมุทร ปราการ 1,900 ไร่ มูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคลอง ถนนสาธารณะ และป่าชายเลน ก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน
สำหรับคดีนี้ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2-19 เชื่อมโยงมีการแบ่งหน้าที่กันทำ กลุ่มหนึ่งเป็นผู้รวบรวมที่ดินนำขายให้แก่โจทก์ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ก่อสร้างโครงการ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน โดยทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวออกโฉนดโดยมิชอบแล้วนำมาขายให้กับโจทก์ ใช้ก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านโดยไม่มีบริษัทผู้เชี่ยวชาญร่วม ดำเนินการ มีเจตนาทำให้โจทก์เสียหาย นำผลประโยชน์ไปแบ่งปันกัน พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2-19 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องอันเป็นความผิดกรรมเดียว
โดยให้จำคุกจำเลยที่ 3, 5, 7, 9, 11, 13, 14, 15, 17, 18 และจำเลยที่ 19 คนละ 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 2, 4, 6, 8, 10, 12 และ 16 ปรับรายละ 6,000 บาท ส่วน จำเลยที่ 1 ยกฟ้องในชั้นไต่สวน สำหรับคดีนี้ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2-19 เชื่อมโยงมีการแบ่งหน้าที่กันทำ กลุ่มหนึ่งเป็นผู้รวบรวมที่ดินนำขายให้แก่โจทก์ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ก่อสร้างโครงการ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน โดยทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวออกโฉนดโดยมิชอบแล้วนำมาขายให้กับโจทก์ ใช้ก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านโดยไม่มีบริษัทผู้เชี่ยวชาญร่วม ดำเนินการ มีเจตนาทำให้โจทก์เสียหาย นำผลประโยชน์ไปแบ่งปันกัน พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2-19 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องอันเป็นความผิดกรรมเดียว จึงพิพากษาดังกล่าว
ญาติจำเลยที่ 3, 5, 7, 9, 11 13-15, 17, 18 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินและเงิน คนละ 1 ล้านบาทขอประกันตัว ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยตีราคาประกันคนละ 1 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนอ่านคำพิพากษาจำเลยทุกคนเดินทางมา ยกเว้นเพียงนายวัฒนาซึ่งศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับปรับนายประกันไปก่อนหน้า นี้ ในคดีที่นายวัฒนาหลบหนีการรับโทษจำคุก 10 ปี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่บังคับข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการโดยมิ ชอบ คดีทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ
ล่าสุดวันที่ 6 ธันวาคม 2554 นายอภินันท์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า การประชุมป.ป.ช.วันนี้ (6 ธ.ค.) เป็นการชี้มูลคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินคลองด่าน หลังเลื่อนจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากกรรมการป.ป.ช.ติดใจบางประเด็น และให้เจ้าหน้าที่ไปพิจารณาเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม
คดีนี้ อนุกรรมการไต่สวนการทุจริตที่ดินในโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ของป.ป.ช. ชี้มูลความผิดมีชื่อนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้อนุมัติ 3 คน ได้แก่ นายยิ่งพันธ์ มานะสิการ อดีตรมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เสียชีวิตแล้ว นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมช.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ถูกกล่าวหาว่าซื้อที่ดินแล้วนำมาขายต่อให้โครงการสมัยที่ดำรงตำแหน่ง
ย้อนรอยคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน //bangkokbiznews 6 ธันวาคม 2554
โครงการระบบบำบัดน้ำเสียรวมแห่งแรกของไทยซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มูลค่ากว่า 23,700 ล้านบาท แต่ที่สุดกลายเป็นมหากาพย์ทุจริต
บ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านเป็นโครงการระบบบำบัดน้ำเสียรวมแห่งแรกของไทยซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มูลค่าก่อสร้างกว่า 23,700 ล้านบาท ตั้งอยู่พื้นที่ ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
โครงการนี้ ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2538 ต่อมานายยิ่งพันธ์ มนะสิการ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในขณะนั้นที่มีการเซ็นสัญญาโครงการบำบัดนำเสียกับผู้รับเหมา ในเดือนสิงหาคม 2540 แต่ชาวบ้านในพื้นที่ตั้งโครงการเพิ่งรู้เมื่อปี 2542 จึงเคลื่อนไหวคัดค้าน
จากนั้น ขยายไปสู่การตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยอนุกรรมการไต่สวนการทุจริตที่ดินในโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดมีชื่อนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้อนุมัติ 3 คน ได้แก่ นายยิ่งพันธ์ (เสียชีวิต) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมช.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ถูกกล่าวหาว่าซื้อที่ดินแล้วนำมาขายต่อให้โครงการสมัยที่ดำรงตำแหน่ง
มิถุนายน 2550 ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนา ส่งให้อัยการสูงสุด ฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุว่าใช้อำนาจหน้าที่ขณะเป็น รมช.มหาดไทย บังคับข่มขืนใจ หรือจูงใจให้ราษฎรขายที่ดินให้และบีบบังคับเจ้าหน้าที่ที่ดินออกโฉนดจำนวน 17 แปลง รวมพื้นที่ 1,900 ไร่ เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ
โดยที่ดินดังกล่าวเป็นป่าชายเลนและที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม มีการซื้อขายจากชาวบ้านเปลี่ยนมือกันมาแล้วหลายทอด ต่อมาบริษัท ปาล์มบีช ดีเวลลอปเม้นท์ ที่มีนายสมลักษณ์ อัศวเหม และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ร่วมเป็นกรรมการ ก็เข้ามาซื้อต่ออีกทอดหนึ่ง โดยรวบรวมที่ดินของบริษัท แร่ลานทอง ของนายวัฒนา นายสมพร อัศวเหม และนายมั่น พัธโนทัย และพื้นที่ใกล้เคียงเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนที่ดินผืนนี้จะถูกนำไปจำนองกับธนาคารไทยพาณิชย์และตกถึงมือบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ ที่ซื้อไว้ในราคา 563 ล้านบาท
สุดท้ายที่ดินทั้งหมด กรมควบคุมมลพิษ เข้าไปซื้อในราคา 1,900 ล้านบาท
13 พฤศจิกายน 2550 ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีทุจริตที่ดินคลองด่าน พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์นัดพิจารณาครั้งแรก ในคดีที่นายวัฒนา มีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 157, 33 และ 84 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 2 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 2,000-40,000 บาท หรือประหารชีวิต
12 กุมภาพันธ์ 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก และสืบพยานจำเลยวันที่ 28 มีนาคม 2551
17 เมษายน 2551 ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยครั้งสุดท้าย นายวัฒนา เดินทางมาร่วมการพิจารณาคดีเป็นครั้งแรก หลังจากขอเลื่อนเข้าไต่สวนมาแล้ว 4 ครั้ง ด้วยข้ออ้างป่วย มีอาการสับสนเฉียบพลัน หลงลืม สูญเสียความทรงจำชั่วคราว เนื่องจากอาการโรคเส้นเลือดอุดตันที่ก้านสมอง
นายวัฒนา ให้สัมภาษณ์ว่าถูกอดีตรัฐบาลกลั่นแกล้งเพื่อบีบบังคับให้เข้าสังกัดพรรคการ เมือง เช่นเดียวกับนายประชา โพธิพิพิธ (กำนันเซียะ) อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกเล่นงานคดีฮั้วประมูล และนายสมชาย คุณปลื้ม (กำนันเป๊าะ) อดีตนายกเทศมนตรี จำเลยคดีทุจริตซื้อที่ดิน ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี ที่ทุกวันนี้หลบหนีคดีหลังศาลพิพากษาให้จำคุก
8 พฤษภาคม 2551 นายวัฒนา เบิกความต่อศาลยืนยันความบริสุทธิ์ หากทำผิดจริงให้ลงโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นโทษสูงสุด และยืนยันด้วยว่าในวันพิพากษาจะมาฟังแน่นอน ไม่หลบหนีไปไหนเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด
ทว่า 9 กรกฎาคม 2551 นายวัฒนา กลับไม่มารับฟังคำพิพากษาศาล ขณะที่ทนายบอกว่าติดต่อจำเลยไม่ได้ ทั้งที่เมื่อ 3 วันก่อนจำเลยโทรศัพท์ติดต่อยืนยันจะเดินทางมาฟังคำพิพากษา
นายวัฒนา ปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งสุดท้ายวันที่ 29 มิถุนายน 2551 ในพิธีแต่งงานลูกชาย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. จากนั้น ก็มีข่าวว่า ได้หลบหนีไปอยู่ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา
18 สิงหาคม 2551 องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ 9 คน ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับคลองสาธารณประโยชน์และที่เทขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม นำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ เพื่อก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ โดยการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง
ศาลฎีกาฯ มีมติ 8 ต่อ 1 เห็นว่า จำเลยได้ใช้อำนาจข่มขืนใจหรือจูงใจเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ในนามบริษัท ปาล์มบีช ดิเวลล็อปเม้นท์ จำกัด โดยมิชอบด้วยกฎหมาย และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี และริบพระเครื่องผงสุพรรณเลี่ยมทองของกลาง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำเลยหลบหนีไม่มาปรากฏตัวต่อศาล ศาลได้สั่งออกหมายจับจำเลย เพื่อมารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป ภายในอายุความ 15 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยหลบหนี
นอกจากนี้ องค์คณะผู้พิพากษายังมีมติ 5 ต่อ 4 ไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 84 ดังนั้น ที่จำเลยขอให้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงต่อศาลฯ ด้วยวาจา โดยรายงานผลการติดตามตัวนายวัฒนาว่า ไม่พบตัวนายวัฒนาในประเทศไทย และจากการสืบสวนทราบว่า นายวัฒนาอาจหลบหนีออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่ก่อนออกหมายจับ และเชื่อได้ว่าพำนักอยู่ที่ประเทศกัมพูชา จึงไม่สามารถนำตัวมาฟังคำพิพากษาตามหมายศาลได้
นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความของนายวัฒนา เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ยังไม่ได้รายงานเรื่องคำสั่งศาลฯ ให้นายวัฒนาทราบ และไม่ได้พูดคุยกับนายวัฒนา ซึ่งขณะนี้ถือว่าหน้าที่ของตนหมดลงแล้ว
ต่อมาวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 1 ศาลแขวงดุสิต ศาลอ่านคำพิพากษาให้จำคุกและปรับนายวัฒนา อัศวเหม กับพวกจำเลย ในคดีที่กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง 1.กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี 2.บริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง 3.นายพิษณุ ชวนะนันท์ กรรมการบริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง 4.บริษัทประยูรวิศว์การช่าง 5.นายสังวรณ์ ลิปตพัลลภ กรรมการบริษัทประยูร วิศว์การช่าง 6.บริษัทสี่แสงการโยธา (1979) 7.นายสิโรจน์ วงศ์สิโรจน์กุล กรรมการบริษัทสี่แสงการโยธา หรือเสี่ยสี่ ผู้กว้างขวางในวงการรับเหมาก่อสร้าง 8.บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์
9.นายนิพนธ์ โกศัยพลกุล กรรมการบริษัทกรุงธนเอนยิเนียร์ 10.บริษัทเกตเวย์ดิเวลลอปเมนท์ 11.นายรอยอิศราพร ชุตาภา กรรมการบริษัทเกตเวย์ดิเวลลอปเมนท์ 12.บริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ 13.นายชาลี ชุตาภา กรรมการบริษัทคลองด่านมารีนฯ 14.นายประพาส ตีระสงกรานต์ กรรมการบริษัทคลองด่านมารีนฯ 15.นายชยณัฐ โอสถานุเคราะห์ กรรมการบริษัทคลองด่านมารีนฯ 16.บริษัท ปาล์ม บีช ดิเวลลอปเมนท์ 17.นางบุญศรี ปิ่นขยัน กรรมการบริษัทปาล์มบีชฯ 18.นายกว๊อกวา โอเยง สัญชาติฮ่องกง ในฐานะผู้แทนบริษัทปาล์มบีชฯ และ 19.นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลยที่ 1-19 ฐานฉ้อโกงที่ดินและฉ้อโกง กรณีร่วมกันทุจริตจัดซื้อที่ดิน อ.คลองด่าน จ.สมุทร ปราการ 1,900 ไร่ มูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคลอง ถนนสาธารณะ และป่าชายเลน ก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน
ศาลแขวงดุสิต อ่านคำพิพากษาให้จำคุกและปรับนายวัฒนา กับพวกจำเลย ในคดีที่กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง ซึ่งในกรณีนี้ ศาลพิพากษาจำคุกนายวัฒนา 3 ปี ฐานฉ้อโกงที่ดินและฉ้อโกง กรณีร่วมกันทุจริตจัดซื้อที่ดิน อ.คลองด่าน จ.สมุทร ปราการ 1,900 ไร่ มูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคลอง ถนนสาธารณะ และป่าชายเลน ก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน
สำหรับคดีนี้ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2-19 เชื่อมโยงมีการแบ่งหน้าที่กันทำ กลุ่มหนึ่งเป็นผู้รวบรวมที่ดินนำขายให้แก่โจทก์ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ก่อสร้างโครงการ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน โดยทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวออกโฉนดโดยมิชอบแล้วนำมาขายให้กับโจทก์ ใช้ก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านโดยไม่มีบริษัทผู้เชี่ยวชาญร่วม ดำเนินการ มีเจตนาทำให้โจทก์เสียหาย นำผลประโยชน์ไปแบ่งปันกัน พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2-19 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องอันเป็นความผิดกรรมเดียว
โดยให้จำคุกจำเลยที่ 3, 5, 7, 9, 11, 13, 14, 15, 17, 18 และจำเลยที่ 19 คนละ 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 2, 4, 6, 8, 10, 12 และ 16 ปรับรายละ 6,000 บาท ส่วน จำเลยที่ 1 ยกฟ้องในชั้นไต่สวน สำหรับคดีนี้ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2-19 เชื่อมโยงมีการแบ่งหน้าที่กันทำ กลุ่มหนึ่งเป็นผู้รวบรวมที่ดินนำขายให้แก่โจทก์ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ก่อสร้างโครงการ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน โดยทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวออกโฉนดโดยมิชอบแล้วนำมาขายให้กับโจทก์ ใช้ก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านโดยไม่มีบริษัทผู้เชี่ยวชาญร่วม ดำเนินการ มีเจตนาทำให้โจทก์เสียหาย นำผลประโยชน์ไปแบ่งปันกัน พยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2-19 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องอันเป็นความผิดกรรมเดียว จึงพิพากษาดังกล่าว
ญาติจำเลยที่ 3, 5, 7, 9, 11 13-15, 17, 18 ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินและเงิน คนละ 1 ล้านบาทขอประกันตัว ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยตีราคาประกันคนละ 1 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนอ่านคำพิพากษาจำเลยทุกคนเดินทางมา ยกเว้นเพียงนายวัฒนาซึ่งศาลมีคำสั่งให้ออกหมายจับปรับนายประกันไปก่อนหน้า นี้ ในคดีที่นายวัฒนาหลบหนีการรับโทษจำคุก 10 ปี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่บังคับข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการโดยมิ ชอบ คดีทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ
ล่าสุดวันที่ 6 ธันวาคม 2554 นายอภินันท์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า การประชุมป.ป.ช.วันนี้ (6 ธ.ค.) เป็นการชี้มูลคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินคลองด่าน หลังเลื่อนจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากกรรมการป.ป.ช.ติดใจบางประเด็น และให้เจ้าหน้าที่ไปพิจารณาเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม
คดีนี้ อนุกรรมการไต่สวนการทุจริตที่ดินในโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ของป.ป.ช. ชี้มูลความผิดมีชื่อนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะเป็นผู้อนุมัติ 3 คน ได้แก่ นายยิ่งพันธ์ มานะสิการ อดีตรมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เสียชีวิตแล้ว นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมช.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ถูกกล่าวหาว่าซื้อที่ดินแล้วนำมาขายต่อให้โครงการสมัยที่ดำรงตำแหน่ง