ความล้มเหลวของนโยบายจำนำข้าว ที่เป็นนโยบายประชานิยมโหดร้ายฉาบคำสวยหรูไว้หลอกชาวนาให้ได้รู้สึกไปเองว่า ได้เงินเยอะแล้ว พอแล้ว รัฐบาลดีแล้ว แต่ความจริง หากชาวนาถอย 1 ก้าวมามองทั้งระบบจะเห็นภัยของตัวเองว่า ปีถัดๆไปตัวเองจะไม่ได้ขายข้าวในราคานี้อีกแล้ว แย่ไปกว่านั้น อาจไม่มีที่ให้ขายข้าวเลยก็อาจเป็นได้
ผลจากการจำนำข้าว 2 ปีทำให้ ราคาข้าวดิ่งฮวบ แต่รัฐรับภาระในการรับซื้อหรือที่เรียกไปเองว่าจำนำที่ราคาประกันสูงกว่าราคาตลาด 15,000 บาทต่อไป ดังนั้น จำนำข้าว คือ การซื้อที่ราคาสูงกว่าตลาดในตรรกะประกันราคา (ส่วนนโยบายประชาธิปัตย์คือ ประกันรายได้ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับราคา ไม่ได้แทรกแซงกลไกตลาด แต่ไปเพิ่มส่วนต่างเข้าบัญชีชาวนาโดยตรง)
ณ ตอนนี้ จากตัวเลขที่ 2 ปี คนไทยสูญสิ้นเม็ดเงินภาษีไปทั้งสิ้น 670,000 ล้านบาท จากการจำนำข้าว และในรอบนี้ รัฐบาลเคยบอกว่าไว้ว่าจะใช้แค่ 500,000 ล้านบาท เท่านั้น แปลว่าบริหารจัดการล้มเหลวจนเกินวงเงินมา 170,000 ล้านบาท ถามว่าทั้งหมดมาจากไหน มาจากสองส่วนคือ 1.ให้กระทรวงการคลังกู้ 2.ควักเนื้อ ธกส.มาก่อน ทั้งที่ ธกส.ไม่ได้มีไว้ทำจำนำข้าวอย่างเดียว
ปีที่ 3 รัฐบาลโดยมติครม.จะให้ใช้เงินกู้อีก 270,000 ล้านบาท คราวนี้ ธกส.กรีดร้องผ่านสื่อทวงเงินจากกระทรวงพาณิชย์ให้ได้ยินกันทั้งแผ่นดินว่า ที่ให้ควักเนื้อออกไปก่อนนั้น ยังไม่ได้คืนมาครบเลย จึงมีการเรียกร้องให้คนที่ทำหน้าที่ขายข้าว รีบๆ ขายแล้วเอาเงินมาคืน ไม่เช่นนั้น ข้าวทั้งหมดเกือบ 20 ล้านตันในโกดัง จะกลายเป็นข้าวเน่าที่ต้องตีมูลค่าเป็นหนี้สูญทั้งหมด เพราะข้าว ไม่ใช่เหล็ก ที่จะเก็บได้ยาวนาน
ตัวเลขจำนำข้าว 670,000 ล้านกับ 270,000 ล้าน รวมกันได้ 9.4 แสนล้านบาท มูลเค่าเท่ากับวงเงินโครงการ “รถไฟความเร็วสูง” ในพรบ.กู้ 2 ล้านล้าน สั้นๆคือ หากไม่จำนำข้าว 2 ปี เราจะได้รถไฟความเร็วสูง 3 สาย !!
กระทรวงการคลัง ในฐานะคนทำบัญชีการขายข้าว เพราะอย่างที่บอกคือ เป็นคนให้กู้ทั้งหมดให้รัฐบาลเอาไปใช้ก่อน ก็ต้องมีหน้าที่ปิดบัญชี ปรากฎว่า ต้นปี 2556 ก็ยังปิดไม่ได้ ไม่ใช่คลังปิดไม่ลงเองนะครับ ย้ำว่า ปิดไม่ได้ เพราะ ข้อมูลสต็อกที่คลังต้องตีมูลค่านั้น หน่วยงานที่เกี่ยวโยงกับการขายข้าว ที่ดูแลสต็อกให้พาณิชย์ คือ อตก. กับ อคส.นั้น เล่นใหญ่ เฉไฉไม่ส่งข้อมูลสต็อกให้ และช่วงต้นปีใครจำได้ ไฟไหม้โกดังข้าวบ่อยมาก เสมือนแอบทำอะไรกับตัวเลขคงเหลือในสต็อก
เลวร้ายที่สุดในทั้งระบบคือ การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า "ข้าวหาย 1 ล้านตัน" หายไปไหน คือคำถามที่คลังโยนถาม อตก.อคส. แต่ปรากฎว่า เมื่อข้าว 1 ล้านตันที่หายนั้นไม่สามารถตอบได้ เลยทำให้ปิดบัญชีไม่ได้ยากเข้าไปอีก
ทั้งหมดนี้กลับมาคิดแบบ ร้านขายของทั่วไปครับ แม่ค้าไปยืมเงินญาติมาเปิดร้าน 6 แสนกว่า ถึงเวลาคืน ผ่านมาเป็นปีๆแล้ว ญาติที่ให้ยืมอยากรู้ว่า ไหนขายอะไรบ้าง ของเหลือเท่าไหร่ ขายไปเท่าไหร่ ลูกค้าคนไหน ขายดีมั้ย แต่ปรากฎว่า แม่ค้า ตอบไม่ได้เลย ว่า 6 แสนกว่า ลงทุนไปอย่างไรบ้าง
คำถามคือ หากญาติคนนั้นสติดีพอ เขาควรจะให้เงินแม่ค้าเพิ่มอีก 2.7 แสนมั้ยครับ
ถ้าเป็นในชีวิตจริง ที่ชาวบ้านอย่างเราๆ จะเห็นค่าของเงินมากกว่า ที่รัฐบาลไม่เห็นค่าของการใช้เงินภาษี เราจะหวงแหนเม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์มากจนกระทั่ง กรณีนี้คนให้ยืมเงินจะต้องแจ้งความให้ตำรวจ หรือฝ่ายตรวจสอบมาเร่งรัดดูข้อมูลเชิงลึกแล้วว่า 6.7 แสนล้าน ที่ลงทุนไปนั้น วุ่นวายหมกเม็ดขนาดนี้ เป็นเพราะอะไร ใครผิด เพราะนี่คือ นโยบายประชานิยมที่มีไว้ฟอกเงินดีๆ นี่เอง
แจ้งคนไทยทราบนะครับ กรณีแบบนี้ในประเทศไทยจะมีให้เห็นไม่บ่อยครั้งนัก ที่หน่วยงานรัฐจำต้องกล้ำกลืนฝืนทน ทวงเงินกันผ่านสื่อแบบไร้ยางอายกันขนาดนี้ สาเหตุหลักคงต้องดูลงไปทางการเมืองคือ จำนำข้าว ถูกคนของพี่สาวนายกฯ คุมทั้งกระบวนการเอาไว้ ยึดโยงเป็นระบบ ตั้งแต่ ตัวรมว.พาณิชย์คนก่อน จนถึงคนใหม่ที่เข้ามา ก็ไม่ได้ทำอะไร จากนั้นก็ส่งเด็กตัวเองอีกคนไปนั่งที่ คลัง ให้คุมรัฐวิสาหกิจ ธกส.ที่ดูแลบริหารจัดการโครงการ แยบยลสุดคือ ส่งคนไปเป็น "เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์" โดยตำแหน่งในการจัดการสต็อกและเส้นทางการเงินของการค้าข้าวในไทยตลอดเกือบสามปีที่ผ่านมา ส่วนคนที่เป็นเจ้ากระทรวงที่ต้องปล่อยเงินให้กู้นั้น อยู่สายน้องสาว ที่จะไปแตะอะไรก็ไม่ได้ เจ้ากระทรวงเลยปลีกวิเวกตัวเองไปคุมแค่หน่วยงานซึมๆ อย่าง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และไปรับจ๊อบดูแล กรมธนารักษ์ ที่เกี่ยวโยงกับ ที่ดินราชพัสดุ ของทั้งประเทศ ซึ่งประเด็นนี้คงได้แตกประเด็นกันในบทความหน้า เพราะเกี่ยวโยงกับระบบการยึดประเทศฮุบที่ดินของคนตระกูลทรราชนี้ สุดท้ายแล้ว หน่วยงานราชการที่ว่าก็ต้องมาประกาศโอดครวญลงหนังสือพิมพ์ว่า ธกส.ไม่มีเงินจะมาทำอะไรแล้วนะ หากกระทรวงพาณิชย์ขายข้าวไม่ได้เสียที
อนาถใจที่สุดกับชาวนากว่า 10 ล้านครัวเรือน ที่กลายเป็นเหมือนเหยื่อแห่งความชั่วร้ายของนโยบายปีศาจนี้เหลือเกินครับ ผ่านมาสองปี ผลวิจัย TDRI ตอกย้ำเข้าไปอีกว่า เม็ดเงิน 6.7 แสนล้านดังกล่าว ตกถึงมือชาวนาเพียง 30% แปลง่ายๆคือ 10 ล้านครัวเรือน ชาวนาได้ 3 ล้านครัวเรือน และเหล่านี้เป็นชาวนาที่ร่ำรวยอยู่แล้วเท่านั้น หนำซ้ำบางรายเป็นเจ้าของที่เป็นเจ้าของโรงสีที่ใกล้ชิดรัฐบาลเองที่จะมีสิทธิ์ขายข้าวที่ราคา 15,000 บาท แล้วอีก 70% อยู่กันยังไงครับ คำตอบคือ รายย่อยพวกนี้ก็ขายตามโรงสีชุมชนเล็กๆ ในราคาตลาด นั่นคือ 8,000-10,000 บาทเท่านั้น
โดยสรุปก็เห็นชัดตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ของการจำนำข้าวครับว่า เงินหายไปไหน เงินจมไปกับอะไร ชาวนาได้เงินจริงไหม ถ้าให้เช็คว่าเ ขารวยขึ้นไหมเช็คง่ายมากครับ ยอดบัญชีเงินฝากในธกส.ของชาวนาทั้งระบบไม่เคยสูงกว่าปี 2553 ที่มีการประกันรายได้เกษตรกรเลย ดังนั้น นี่คืออะไร
ที่ชัดเจนแล้วครับว่า คนกลุ่มนี้จะยังคงถูกกระทำให้มีความยากจนต่อไป ถูกฉกฉวยโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลูกหลานก็ยังคงต้องเป็นแรงงานภาคการเกษตร หรือแรงงานในเมืองใหญ่แล้วส่งเงินกลับไปให้บุพการีที่ยังคงถูกพรรคเพื่อไทย เอาเปรียบด้วยนโยบายจำนำข้าว ที่ฉาบคำหวานเอาไว้ต่อไปอีกหลายรุ่นต่อหลายรุ่น
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/8621
ปล.อย่ามาประท้วงนะครับ ชาวนา ถ้าปีนี้ไม่มีเงินให้..เอิ๊ก ๆ ๆ
จำนำข้าว ศึกทวงหนี้ : กระทรวงการคลัง VS กระทรวงพาณิชย์
ผลจากการจำนำข้าว 2 ปีทำให้ ราคาข้าวดิ่งฮวบ แต่รัฐรับภาระในการรับซื้อหรือที่เรียกไปเองว่าจำนำที่ราคาประกันสูงกว่าราคาตลาด 15,000 บาทต่อไป ดังนั้น จำนำข้าว คือ การซื้อที่ราคาสูงกว่าตลาดในตรรกะประกันราคา (ส่วนนโยบายประชาธิปัตย์คือ ประกันรายได้ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับราคา ไม่ได้แทรกแซงกลไกตลาด แต่ไปเพิ่มส่วนต่างเข้าบัญชีชาวนาโดยตรง)
ณ ตอนนี้ จากตัวเลขที่ 2 ปี คนไทยสูญสิ้นเม็ดเงินภาษีไปทั้งสิ้น 670,000 ล้านบาท จากการจำนำข้าว และในรอบนี้ รัฐบาลเคยบอกว่าไว้ว่าจะใช้แค่ 500,000 ล้านบาท เท่านั้น แปลว่าบริหารจัดการล้มเหลวจนเกินวงเงินมา 170,000 ล้านบาท ถามว่าทั้งหมดมาจากไหน มาจากสองส่วนคือ 1.ให้กระทรวงการคลังกู้ 2.ควักเนื้อ ธกส.มาก่อน ทั้งที่ ธกส.ไม่ได้มีไว้ทำจำนำข้าวอย่างเดียว
ปีที่ 3 รัฐบาลโดยมติครม.จะให้ใช้เงินกู้อีก 270,000 ล้านบาท คราวนี้ ธกส.กรีดร้องผ่านสื่อทวงเงินจากกระทรวงพาณิชย์ให้ได้ยินกันทั้งแผ่นดินว่า ที่ให้ควักเนื้อออกไปก่อนนั้น ยังไม่ได้คืนมาครบเลย จึงมีการเรียกร้องให้คนที่ทำหน้าที่ขายข้าว รีบๆ ขายแล้วเอาเงินมาคืน ไม่เช่นนั้น ข้าวทั้งหมดเกือบ 20 ล้านตันในโกดัง จะกลายเป็นข้าวเน่าที่ต้องตีมูลค่าเป็นหนี้สูญทั้งหมด เพราะข้าว ไม่ใช่เหล็ก ที่จะเก็บได้ยาวนาน
ตัวเลขจำนำข้าว 670,000 ล้านกับ 270,000 ล้าน รวมกันได้ 9.4 แสนล้านบาท มูลเค่าเท่ากับวงเงินโครงการ “รถไฟความเร็วสูง” ในพรบ.กู้ 2 ล้านล้าน สั้นๆคือ หากไม่จำนำข้าว 2 ปี เราจะได้รถไฟความเร็วสูง 3 สาย !!
กระทรวงการคลัง ในฐานะคนทำบัญชีการขายข้าว เพราะอย่างที่บอกคือ เป็นคนให้กู้ทั้งหมดให้รัฐบาลเอาไปใช้ก่อน ก็ต้องมีหน้าที่ปิดบัญชี ปรากฎว่า ต้นปี 2556 ก็ยังปิดไม่ได้ ไม่ใช่คลังปิดไม่ลงเองนะครับ ย้ำว่า ปิดไม่ได้ เพราะ ข้อมูลสต็อกที่คลังต้องตีมูลค่านั้น หน่วยงานที่เกี่ยวโยงกับการขายข้าว ที่ดูแลสต็อกให้พาณิชย์ คือ อตก. กับ อคส.นั้น เล่นใหญ่ เฉไฉไม่ส่งข้อมูลสต็อกให้ และช่วงต้นปีใครจำได้ ไฟไหม้โกดังข้าวบ่อยมาก เสมือนแอบทำอะไรกับตัวเลขคงเหลือในสต็อก
เลวร้ายที่สุดในทั้งระบบคือ การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า "ข้าวหาย 1 ล้านตัน" หายไปไหน คือคำถามที่คลังโยนถาม อตก.อคส. แต่ปรากฎว่า เมื่อข้าว 1 ล้านตันที่หายนั้นไม่สามารถตอบได้ เลยทำให้ปิดบัญชีไม่ได้ยากเข้าไปอีก
ทั้งหมดนี้กลับมาคิดแบบ ร้านขายของทั่วไปครับ แม่ค้าไปยืมเงินญาติมาเปิดร้าน 6 แสนกว่า ถึงเวลาคืน ผ่านมาเป็นปีๆแล้ว ญาติที่ให้ยืมอยากรู้ว่า ไหนขายอะไรบ้าง ของเหลือเท่าไหร่ ขายไปเท่าไหร่ ลูกค้าคนไหน ขายดีมั้ย แต่ปรากฎว่า แม่ค้า ตอบไม่ได้เลย ว่า 6 แสนกว่า ลงทุนไปอย่างไรบ้าง
คำถามคือ หากญาติคนนั้นสติดีพอ เขาควรจะให้เงินแม่ค้าเพิ่มอีก 2.7 แสนมั้ยครับ
ถ้าเป็นในชีวิตจริง ที่ชาวบ้านอย่างเราๆ จะเห็นค่าของเงินมากกว่า ที่รัฐบาลไม่เห็นค่าของการใช้เงินภาษี เราจะหวงแหนเม็ดเงินทุกบาททุกสตางค์มากจนกระทั่ง กรณีนี้คนให้ยืมเงินจะต้องแจ้งความให้ตำรวจ หรือฝ่ายตรวจสอบมาเร่งรัดดูข้อมูลเชิงลึกแล้วว่า 6.7 แสนล้าน ที่ลงทุนไปนั้น วุ่นวายหมกเม็ดขนาดนี้ เป็นเพราะอะไร ใครผิด เพราะนี่คือ นโยบายประชานิยมที่มีไว้ฟอกเงินดีๆ นี่เอง
แจ้งคนไทยทราบนะครับ กรณีแบบนี้ในประเทศไทยจะมีให้เห็นไม่บ่อยครั้งนัก ที่หน่วยงานรัฐจำต้องกล้ำกลืนฝืนทน ทวงเงินกันผ่านสื่อแบบไร้ยางอายกันขนาดนี้ สาเหตุหลักคงต้องดูลงไปทางการเมืองคือ จำนำข้าว ถูกคนของพี่สาวนายกฯ คุมทั้งกระบวนการเอาไว้ ยึดโยงเป็นระบบ ตั้งแต่ ตัวรมว.พาณิชย์คนก่อน จนถึงคนใหม่ที่เข้ามา ก็ไม่ได้ทำอะไร จากนั้นก็ส่งเด็กตัวเองอีกคนไปนั่งที่ คลัง ให้คุมรัฐวิสาหกิจ ธกส.ที่ดูแลบริหารจัดการโครงการ แยบยลสุดคือ ส่งคนไปเป็น "เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์" โดยตำแหน่งในการจัดการสต็อกและเส้นทางการเงินของการค้าข้าวในไทยตลอดเกือบสามปีที่ผ่านมา ส่วนคนที่เป็นเจ้ากระทรวงที่ต้องปล่อยเงินให้กู้นั้น อยู่สายน้องสาว ที่จะไปแตะอะไรก็ไม่ได้ เจ้ากระทรวงเลยปลีกวิเวกตัวเองไปคุมแค่หน่วยงานซึมๆ อย่าง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และไปรับจ๊อบดูแล กรมธนารักษ์ ที่เกี่ยวโยงกับ ที่ดินราชพัสดุ ของทั้งประเทศ ซึ่งประเด็นนี้คงได้แตกประเด็นกันในบทความหน้า เพราะเกี่ยวโยงกับระบบการยึดประเทศฮุบที่ดินของคนตระกูลทรราชนี้ สุดท้ายแล้ว หน่วยงานราชการที่ว่าก็ต้องมาประกาศโอดครวญลงหนังสือพิมพ์ว่า ธกส.ไม่มีเงินจะมาทำอะไรแล้วนะ หากกระทรวงพาณิชย์ขายข้าวไม่ได้เสียที
อนาถใจที่สุดกับชาวนากว่า 10 ล้านครัวเรือน ที่กลายเป็นเหมือนเหยื่อแห่งความชั่วร้ายของนโยบายปีศาจนี้เหลือเกินครับ ผ่านมาสองปี ผลวิจัย TDRI ตอกย้ำเข้าไปอีกว่า เม็ดเงิน 6.7 แสนล้านดังกล่าว ตกถึงมือชาวนาเพียง 30% แปลง่ายๆคือ 10 ล้านครัวเรือน ชาวนาได้ 3 ล้านครัวเรือน และเหล่านี้เป็นชาวนาที่ร่ำรวยอยู่แล้วเท่านั้น หนำซ้ำบางรายเป็นเจ้าของที่เป็นเจ้าของโรงสีที่ใกล้ชิดรัฐบาลเองที่จะมีสิทธิ์ขายข้าวที่ราคา 15,000 บาท แล้วอีก 70% อยู่กันยังไงครับ คำตอบคือ รายย่อยพวกนี้ก็ขายตามโรงสีชุมชนเล็กๆ ในราคาตลาด นั่นคือ 8,000-10,000 บาทเท่านั้น
โดยสรุปก็เห็นชัดตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ของการจำนำข้าวครับว่า เงินหายไปไหน เงินจมไปกับอะไร ชาวนาได้เงินจริงไหม ถ้าให้เช็คว่าเ ขารวยขึ้นไหมเช็คง่ายมากครับ ยอดบัญชีเงินฝากในธกส.ของชาวนาทั้งระบบไม่เคยสูงกว่าปี 2553 ที่มีการประกันรายได้เกษตรกรเลย ดังนั้น นี่คืออะไร
ที่ชัดเจนแล้วครับว่า คนกลุ่มนี้จะยังคงถูกกระทำให้มีความยากจนต่อไป ถูกฉกฉวยโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลูกหลานก็ยังคงต้องเป็นแรงงานภาคการเกษตร หรือแรงงานในเมืองใหญ่แล้วส่งเงินกลับไปให้บุพการีที่ยังคงถูกพรรคเพื่อไทย เอาเปรียบด้วยนโยบายจำนำข้าว ที่ฉาบคำหวานเอาไว้ต่อไปอีกหลายรุ่นต่อหลายรุ่น
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/8621
ปล.อย่ามาประท้วงนะครับ ชาวนา ถ้าปีนี้ไม่มีเงินให้..เอิ๊ก ๆ ๆ