[นิยาย] พักตร์อสูร : บทที่ 9

กระทู้สนทนา
อ่าน 'พักตร์อสูร' ตอนเดิมได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ

บทที่ 1 http://pantip.com/topic/30383088
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30393758
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30934208
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30938172
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/30943480
บทที่ 6-8 http://pantip.com/topic/30955238

ตอบเม้นท์คุณ สมาชิกหมายเลข 957799 = ขอบพระคุณที่มอบกำลังใจให้นะคะ คนเขียนยินดีแทนท่านโชติระเสและอุษามันตรามากๆ ค่ะ ^^


---------------------------------------------------------------

บทที่ 9


    เรือลำน้อยล่องไปในคลอง ผู้คนริมสองฝั่งทักทายท่านโชติระเสด้วยความเคารพ กิริยาอาการสุดพินอบพิเทา เหตุการณ์โจรปล้นหมู่บ้านที่เพิ่งผ่านพ้นไปทำให้มนสิการเลื่องชื่อด้านความแข็งแกร่งและเก่งกาจ ความนับถือกลับมาและเป็นยิ่งกว่าเมื่อครั้งท่านมหิทธิคุณายังอยู่ โดยเฉพาะท่านโชติระเสที่กลายเป็นวีรบุรุษไปโดยปริยาย

    ความเก่งกล้าสามารถเรื่องจับโจรจนได้ทรัพย์สินคืน อีกทั้งความเมตตาไม่ทำร้ายชีวิตผู้อื่นได้ถูกยกย่อง ลบภาพลักษณ์เสียหายก่อนนี้หมดสิ้น บ้างก็เล่าลือไปว่าท่านโชติระเสมีเวทมนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ที่เป่าเพียงครั้งเดียวก็ทำให้คนไร้เรี่ยวแรงนิ่งเป็นหุ่นปั้น บ้างก็ว่ามีคาถาสำแดงฤทธิ์เดชให้ไฟโหมกระพือน่ากลัวจนทำให้โจรไม่สามารถทำการอุกอาจได้สำเร็จ และอีกมากมายที่แตกต่างไปจากความเป็นจริง

    อุษามันตราอดขำไม่ได้เมื่อได้ยิน โดยเฉพาะเมื่อไหร่ที่ท่านโชติระเสออกนอกมนสิการ เวลากลับเรือนก็ต้องมีเรือแจวของชาวบ้านไม่คนใดก็คนหนึ่งพ่วงตามมา ข้าวของในเรือทั้งสองลำมีทั้งกล้วยน้ำว้า ผัก ผลไม้ท้องถิ่น รวมไปถึงข้าวสารอาหารแห้งต่างๆ อีกมากมาย ที่ชาวบ้านมอบไว้เป็นน้ำใจจากการช่วยปกป้องทรัพย์สิน แต่นัยมากกว่านั้นคือ...ไม่มีโจรหน้าไหนกล้ามาปล้นอีกนาน

    อุษามันตราก็ยินดี แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยสนุกนัก เช่นตอนนี้ เพราะความรักแทบล้นทะลักเรือแจว จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากมีคนใจดีให้ผลไม้มาเพิ่มอีกสักผลหนึ่ง อาจทำให้เรือล่มเพราะบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด

    ตอนนี้เธอกำลังจะไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ณ สำนักเรียนของท่านครูวัฑฒะโก เป็นท่านครูของท่านโชติระเสนั่นเอง

    สำนักนี้เลื่องชื่อด้านศาสตร์การปกครอง รวมถึงวิทยาการต่อสู้ต่างๆ อันเป็นที่นิยมแก่บุคคลชั้นสูงตั้งแต่กษัตริย์ผู้ครองแคว้นมาจนถึงบุตรหลานคหบดีใหญ่ที่ล้วนหมายมั่นว่าจะได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ผู้เก่งกาจ สำนักนี้ไม่รับศิษย์พร่ำเพรื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ผู้หญิง’ แม้แต่รพิ ลูกชายคนโตของคุณพ่อกับวาด ก็ยังพยายามครั้งแล้วครั้งเล่านานนับปีเพื่อฝากตัว แต่ก็ไม่สำเร็จกับข้ออ้างที่ว่ายังเด็กไป

    ส่วนเธอ...ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แม้คุณพ่อรับปากว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้เรียนที่นี่ ให้สมกับความสามารถที่มี แต่จากชื่อเสียงของท่านครูที่ได้ยิน ก็ไม่รู้ว่าคุณพ่อจะจัดการด้วยวิธีใดเช่นกัน

    “ไหว้ท่านโชติระเสเจ้าข้า”

    เด็กชายวัยประมาณสิบเอ็ดปียืนอยู่ตรงศาลาท่าน้ำกล่าวทักทาย เขายกมือไหว้ขณะเรือกำลังเทียบ มีบ่าวชายสองคนอยู่ตรงนี้ด้วย เด็กคนนี้นุ่งผ้าลอยชาย ไม่ใส่เสื้อ ผมมวยเก็บเรียบร้อย ส่วนท่านโชติระเส... วันนี้แต่งตัวเรียบร้อยเป็นทางการเช่นเวลาไปวัด คือสวมเสื้อแขนยาวผ่าหน้า ผ้านุ่งหรือแม้แต่ผมก็ถูกจัดแต่งอย่างดี ส่วนเธอก็แต่งตัวเรียบร้อยหมดจดเช่น ‘เด็กชาย’ ทั่วไปแต่ใส่เสื้อเอาไว้ สวมเครื่องประดับเพียงกำไลข้อมือข้อเท้าตามความนิยม

    ท่านโชติระเสยกมือรับไหว้เด็กคนดังกล่าวแล้วขึ้นท่าไปก่อนจึงค่อยหันมารับเธอ ซึ่งปกติผู้ต้อนรับจะเป็นฝ่ายอำนวยความสะดวกแก่ผู้มาเยือนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือที่มีเด็ก แต่ท่านโชติระเสกลับไม่ยอมให้ใครช่วย

    อุษามันตรามองไปโดยรอบนับตั้งแต่ศาลาท่าน้ำตลอดแนวตลิ่ง ต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่มตั้งตระหง่านเป็นแนว ขึ้นพ้นท่าก็เป็นเนินหญ้าราบไปจนถึงหน้าเรือนไทยหมู่ ทางด้านข้างซ้ายของเรือนเป็นลานกว้างแบบดินแดง ทางด้านขวาเป็นลานกว้างแบบพื้นหญ้า มีคนฝึกกระบี่กระบอง รำมวย และอื่นๆ ทั่วบริเวณ ดูขะมักเขม้นคึกคัก

    เด็กชายอายุตั้งแต่สิบขวบไปจนถึงวัยรุ่นหลายคนมองมาทางเธอซึ่งกำลังเดินตามท่านโชติระเสเป็นตาเดียว แต่อุษามันตราไม่สนใจ เธอมองเรือนเป้าหมาย หากเทียบด้วยสายตา เรือนหลังนี้เล็กกว่าเรือนใหญ่ของมนสิการประมาณกึ่งหนึ่งน่าจะได้

    เธอตักน้ำล้างเท้าให้คุณพ่อก่อน รอยยิ้มที่มุมปากของท่านแทนคำขอบคุณทำให้เธอชื่นใจ ท่านโชติระเสเดินนำขึ้นไป เธอเดินตาม หอนั่งของที่นี่อยู่เลยเรือนชานเข้าไป เปรียบเทียบได้กับเป็นลานหน้าเรือนนอนนั่นเอง

    ชายอาวุโสอายุประมาณห้าสิบนั่งเอกเขนกพิงหมอนสามเหลี่ยม ในมือถือสมุดขาวมีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าพับทบ และเมื่อเห็นเธอกับท่านโชติระเสขึ้นมา เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็รีบเข้ามาจัดการเก็บตำราทั้งหลายรอบตัวคนที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นท่านครู เขาขยับเปลี่ยนเป็นนั่งพับเพียบ หลังตรง ส่งยิ้มมาให้เล็กน้อยพองาม

    ท่านโชติระเสย่อกายลงก่อนจะถึงตัว ค่อยๆ ขัดเข่าเข้าไป “กราบท่านครูวัฑฒะโกเจ้าข้า” แล้วก้มกราบแทบพื้นใกล้ๆ

    เจ้าสำนักที่เป็นแหล่งความรู้ยกมือรับไหว้ เขามองมาที่เธอ อุษามันตราขัดเข่าเข้าไป แล้วก้มกราบแทบพื้นเช่นกัน ท่านครูมองไปโดยรอบ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร จึงเอ่ย...

    “นี่นะรึ แม่หญิงอุษามันตรา ไหนเงยหน้าให้ดูหน่อยเถิดเจ้า”

    เธอทำตามอย่างว่าง่าย สีหน้าของท่านวัฑฒะโกหนักใจ ผิดกับคำทักทายที่เธอได้ยินก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ

    “วิชาความรู้ใด ย่อมยังถึงบุรุษมากกว่าสตรี แม้นมีประดับ แต่จักสูญลับตามกาลเมื่อออกเรือน มิอาจสืบทอดได้”

    ท่านเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบาคล้ายครวญกับตนเอง แต่ก็มากพอที่อุษามันตราจะได้ยิน

    นี่หรือ... คือผู้ที่คนในสังคมให้ความเคารพ เหตุไฉนจึงตัดสินว่าใครควรเรียนหรือไม่ได้เรียนเพียงแค่มองหน้า รู้เพศว่าเป็นชายหรือหญิง อุษามันตราหันไปมองหน้าโชติระเส แววตาคุณพ่อบอกให้กำลังใจ ท่านไม่พูดอะไร เธอจึงเงียบไว้

    “ข้าลำบากใจนัก...โชติระเส” ท่านวัฑฒะโกกล่าวชัดเจน

    โชติระเสเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วกล่าว “ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ท่านครูตรวจสอบบุตรีของข้าพเจ้าก่อนเถิดเจ้าข้า ว่าควรแก่การสืบทอดวิชาความรู้ ดั่งที่ข้าพเจ้าได้เจรจาก่อนนี้หรือไม่ สิ่งที่ได้ตกลงไว้ ขอท่านครูใคร่ครวญเถิดเจ้าข้า”

    “หากเรื่องนี้แพร่งพราย ชื่อเสียงของข้าที่สั่งสม จักทลายในพริบตา โชติระเส”

    “วันนี้อุษามันตรามาอย่างเด็กชาย หาได้มีผู้ใดล่วงรู้ บุตรีของข้าพเจ้าประพฤติดี ปัญญาเฉลียวฉลาด ข้าพเจ้ามิอาจทำลายสิ่งมีค่าติดตัวของลูก อันเป็นพรสุดประเสริฐ แลหายากยิ่งนัก ขอท่านครูได้โปรดเมตตาส่งเสริมเถิดเจ้าข้า”

    “อันตัวบิดาย่อมรักลูก ตัวข้าผู้เป็นครูย่อมรักศิษย์ รักวิชาที่สืบทอดรุ่นสู่รุ่นยิ่งชีวิต แม้นเจ้าจักขู่บังคับแลข้าตอบรับ นั่นก็ฝืนใจข้าอย่างยิ่ง”

    “หากอุษามันตรามิคู่ควร ไยข้าพเจ้าจึงเดือดร้อนเป็นธุระ ด้วยเห็นสิ่งดีงามในตัวบุตรีดอกเจ้าข้าท่านครู ข้าพเจ้าก็ศิษย์สำนักนี้ ไฉนจึงจะนำความเสื่อมมาให้ ย่อมหามิได้เช่นกัน ”

    แล้วการเจรจาอีกหลายคำ หลายประโยคต่อมา มีความหมายเพียงว่าท่านครูปฏิเสธ อุษามันตราได้ฟังทุกคำอย่างเข้าใจและเริ่มไม่อยากจะง้อ ท่านครูพูดอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เธอเรียนที่นี่ บอกย้ำว่าต่อให้เธอได้เรียน ท่านก็ไม่ได้เต็มใจ ทั้งที่การพูดคุยก่อนหน้าจะมาถึง ได้มีการตกลงกันเสร็จสรรพ แต่กลับพูดเช่นนี้ ในตอนนี้เพื่อปฏิเสธก็ช่างดูแคลนกันมากเกิน เธอจึงเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งคู่ต่างเงียบ

    “ข้าพเจ้ากราบขอขมาท่านครู หากวาจาใดได้ล่วงเกิน ขอโปรดอย่าถือสาอุษามันตราผู้อ่อนวัยเจ้าข้า”

    เธอก้มกราบแทบพื้น หันไปมองท่านโชติระเสที่หันมา แววตานั้นบอกว่าเชื่อใจและยอมรับการตัดสินใจของเธอเช่นกัน เด็กน้อยนั่งหลังตรง หันไปมองผู้อาวุโสอย่างไม่หวั่น

    “หากท่านครูกล่าวเช่นนั้น ข้าพเจ้าแลบิดาก็เห็นน้ำใจ คงมิหักหาญให้เสียไมตรี แต่ข้าพเจ้านั้นสงสัยนัก ไฉนท่านครูจึงกล่าวเช่นนั้นเจ้าข้า ผู้รักษาวิชาย่อมเป็นหน้าที่บัณฑิตผู้มีปัญญา วิชาความรู้ย่อมควรถึงแก่ผู้ใฝ่รู้ แม้นวิชาเลอค่าสูงส่ง หากตกแก่ผู้โง่เขลาไร้ความเพียร ร้อยพันตำรามิใส่ใจไร้การต่อยอด ด้วยผู้รักษาไร้คุณสมบัติ แม้นเป็นชาย...ก็ย่อมสูญเปล่า มิสู้สั่งสอนให้ประจักษ์ลึกซึ้งแก่ผู้เป็นบัณฑิตควรแก่การงาน สั่งสอนตามแต่สมควร ใช่ดูเพียงเปลือกว่าชายหรือหญิง จักเป็นคุณอนันต์แก่วิชามากกว่า มิใช่หรือเจ้าข้า”

    “วาจาย้อนยอกนัก”

    อุษามันตราเม้มปาก น้ำเสียงของท่านวัฑฒะโกไม่บ่งบอกอะไร แต่แววตาที่เห็นนั้นวาวโรจน์ เธอก้มหน้าลงซึ่งไม่ใช่เพราะความกลัว แต่รู้ตัวว่าต้องมีการโต้ตอบทางสายตาแน่นอน

    “ขอท่านครูอย่าได้ถือสาอุษามันตราเลยเจ้าข้า บุตรีของข้าพเจ้ายังเล็กนัก วาจาล่วงเกิน หาตั้งใจดอกเจ้าข้า”

    ท่านโชติระเสแก้ตัวให้ แต่ในใจของอุษามันตราบอกเพียงว่าเธอตั้งใจอย่างที่สุด

    ท่านวัฑฒะโกหายใจเข้าลึก แล้วพูด “เจ้าล้วนทราบดีเรื่องกฎการรับศิษย์ของข้า...โชติระเส สำนักข้าสอนสั่งวิชาแก่ผู้สมควรมีวิชา แม้นเจ้าเป็นศิษย์ข้า ก็ใช่ว่าข้าจักต้องรับบุตรของเจ้าเป็นศิษย์เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...บุตรีของเจ้า”

    โชติระเสก้มหน้านิ่ง อุษามันตรารู้ดีว่าประเพณีศิษย์อาจารย์น่าอึดอัดเพียงใด เธอเข้าใจ แต่คำพูดประโยคนี้ยิ่งทำให้อารมณ์ขุ่นไม่ทันตกตะกอนยิ่งหนักกว่าเดิม

    ทำไมต้องแบ่งชายแบ่งหญิงจนไม่ให้โอกาสได้ร่ำเรียน คร่ำครึนัก แต่ก็ว่าไม่ได้ เมื่อสังคมนี้ผู้หญิงไร้ค่ายิ่งกว่าอะไร แม้จะรู้ว่าคุณพ่อได้พูดคุยตกลงกับท่านครูเป็นมั่นเหมาะว่าจะรับ แต่ให้แต่งกายเป็นชายมาที่สำนักเรียนก่อน ทว่าจากการพูดคุยและประเมินสถานการณ์ ก็แปลว่าไม่น่าจะได้

    ท่านวัฑฒะโกยังพูดอะไรอีกหลายคำ เธอก็ได้แต่เพียงเงียบเอาไว้ ปล่อยให้ท่านโชติระเสเป็นคนจัดการ

    กระทั่ง

    “ข้าไม่รับอุษามันตราเป็นศิษย์ สัตย์ใดก่อนนี้ ข้าขอให้เป็นโมฆะ”

    คำพูดประโยคนี้ทำให้อุษามันตราไม่สนแล้วว่าใครจะเคารพ ใครจะเกรงใจผู้อาวุโสตรงหน้า เธอรู้ว่าตัวเองควรเคารพผู้ที่สมควรเคารพ แต่การที่ท่านวัฑฒะโกดูถูกกันโดยไม่ได้ทดสอบอะไร มีเพียงคำปฏิเสธตลอดเวลา เธอก็คงไม่ขอฝากตัวเป็นศิษย์เช่นกัน

    ไม่ให้เรียน... เธอไม่เรียนก็ได้ แต่อย่ามาว่ากัน ความรู้ระดับปริญญาโทเกียรตินิยมอันดับสองจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลกที่จากมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักนี้หรอก อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ถึงไม่ใช่ศาสตร์ด้านการบริหารโดยตรง แต่ดีกรี นศ.ม.  กลุ่มวิชาการสื่อสารเชิงสังคมและวัฒนธรรมที่ติดตัวก็รับประกันว่าเธอไม่ได้โง่เง่า สิ่งที่เรียนยังเอามาปรับใช้ได้ การสอบเข้าเรียนในสถาบันอันดับหนึ่งของประเทศไทยยากกว่าที่นี่เยอะก็ยังทำสำเร็จ แต่เหตุผลของการมาก็เพราะต้องการความรู้และต้องการการยอมรับจากคนในสังคม อีกทั้งท่านโชติระเสสนับสนุนให้โอกาส เธอจึงรีบคว้าเอาไว้ หากจะถามว่าเสียใจหรือไม่ถ้าไม่ได้เรียน คำตอบเดียวคือ ‘ไม่’ เลย

    และเมื่อไม่ได้เรียน... เธอจะขอพูดบางอย่างก่อนกลับเรือนว่า

    “ท่านครูเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ เป็นหญิงแล้ววิชาจักเสียหายได้อย่างไรเจ้าข้า น่าฉงนนัก วิชาคือองค์ความรู้ที่มีคุณค่าในตัวของมันเองไม่ใช่หรือเจ้าข้า ไม่ได้เกี่ยวว่าชายหรือหญิงทำให้วิชานั้นเจริญหรือตกต่ำ ตัววิชาคงไม่ปฏิเสธในการถูกนำออกมาใช้ เพราะหากวิชาดีจริง มีประโยชน์จริง ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ล้วนนำมาเป็นประโยชน์ได้ทั้งสิ้น

    “จะมีก็แต่ผู้ดูแลรักษาหรือผู้ใช้วิชาต่างหาก เป็นผู้สร้างเงื่อนไขข้อจำกัดว่าต้องจำเพาะชาย วิชาความรู้การปกครองให้ชายเรียน การเรือนให้หญิงเรียน เป็นเพียงค่านิยมที่สืบสานมายาวนาน ยึดมั่นอยู่แต่อย่างนั้น หากจะมองให้ลึก คุณสมบัติของหญิงที่มักถูกมองข้ามคือความประณีต อ่อนโยน ละเอียดรอบคอบ รับผิดชอบต่อหน้าที่ ต่อคนในเรือน ซึ่งแท้จริงนั่นก็คือผู้ปกครองในรูปแบบหนึ่ง ข้าพเจ้ามิเห็นว่าจักแตกต่างกันอย่างใดเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่