เรื่องของเรื่อง ก็คือ นายคันโตนาซี ได้กล่าวตู่บิดเบือนพุทธพจน์ว่า
พระพุทธเจ้าตรัสสอน ศีลเบื้องต้นแก่ฆราวาสเท่านั้น โดยไม่ตรัสสอนศีลเบื้องต้น แก่ภิกษุทั้งหลาย !
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ก็คือ พระพุทธเจ้าย่อมตรัสสอน ศีลเบื้องต้นนี้แก่ทั้ง ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา จนแม้แต่
ปริพาชก อัญเดียรถีย์ ทั้งหลาย พระพุทธเจ้า ก็ย่อมตรัสสอน ศีลเบื้องต้นนี้ แก่เขาเหล่านั้น เพราะศีล ย่อมเป็นบาทฐานอันสำคัญแก่ สมาธิและปัญญา !
แม้ได้แสดงหลักฐานจนชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว นายคันโตนาซี ก็ยังแสดงอาการ "หน้าด้าน" ทำเป็นมองไม่เห็นหลักฐาน เสียอย่างนั้น
ท่านทั้งหลายพึงทราบด้วยว่า กรณี ศีลเบื้องต้น นี้ได้แสดงหลักฐานมานานร่วม ๒ เดือนแล้ว แต่นายคันโตนาซีได้แสดงให้เห็นว่า
มีความพยายามอย่างยิ่ง ในการสร้างเงื่อนไขต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับหลักฐาน เพื่อหวังจะเอาตัวรอดจากข้อกล่าวหา
ว่ามันกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย แต่จนแล้วจนรอด มันก็หนีไม่พ้นอยู่นั่นเอง
ในครั้งสุดท้าย ไอ้หมอนี่ ตั้งเงื่อนไขว่า หลักฐานจะต้องเป็นพระสูตรที่ตรัสถึงเฉพาะ ศีลเบื้องต้น เท่านั้น โดยไม่ตรัสอย่างอื่นอีกเลย
ซึ่งผมก็ได้แสดงหลักฐานไว้แล้วในท้ายกระทู้ "พระพุทธเจ้า ตรัสสอน ศีลธรรมเบื้องต้น แก่ใคร ?" ........
http://pantip.com/topic/30892520
จะด้วยความ "หูอื้อ-ตาลาย" หรือด้วยเหตุใด ผมก็มิอาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ดูเหมือนว่า นายคนนี้
จะมิได้ "ใส่ใจ" อ่านกระทู้(ของผม)อย่างละเอียดรอบคอบ จึงทำให้มันไม่ทราบว่า
ถึงแม้มันจะคิด(เอาเอง)ว่าได้ตั้งเงื่อนไขที่ยากแสนยากอย่างไร มันก็ไม่ทำให้ มัน สามารถเอาตัวรอดไปได้อยู่ดี
จนเมื่อผมได้ตั้งกระทู้ทวงถามอีกครั้งว่า "สาวกเม็ดมะขาม ตาบอด หรือเปล่าครับ ?" ........
http://pantip.com/topic/30906650
คราวนี้ นายคันโตนาซี ถึงได้ "จนมุม" ตกอยู่ในสภาพ "จนด้วยหลักฐาน" ต้องยอมรับผิด อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง !
ถ้ามองแบบผิวเผิน ก็อาจดูเหมือนว่า คันโตนาซี เป็นคนประเภท เมื่อทำผิด ก็กล้ารับผิด แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด กลับไม่ใช่
ทั้งนี้ก็เพราะ ถ้ามันเป็นคน "ดี" อย่างนั้นจริง มันก็คงยอมรับผิดเสียแต่แรก เมื่อผมเสนอหลักฐานจาก มหาปรินิพพานสูตร และ จุลศีล นั่นแล้ว
แต่ไอ้หมอนี่ ก็มิได้ทำอย่างนั้น เพราะมันได้แสดงให้เห็นว่า มีความพยายามจะดิ้นรนแถกแถ ตั้งเงื่อนไขต่างๆ นาๆ เพื่อหวังว่า จะไม่มีใคร
สามารถนำหลักฐานภายใต้เงื่อนไข "รุงรัง" ที่มันพยายามสร้างขึ้นเพื่อปกป้อง "หน้าหนาๆ" ของมัน มาแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ได้
และเมื่อถึงตอนนั้น มันก็จะสามารถ แถกแถ ไปได้อย่างหน้าด้านๆ ว่า มันไม่ผิด มันมิได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า !
พฤติการณ์อย่างนี้ สามารถสรุปความได้เพียงกรณีเดียว ก็คือ คันโตนาซี สารภาพ(ผิด) เพราะจนด้วยหลักฐาน
ถามว่า หากไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด เอาจริงเอาจังกับ "ความกะล่อน" และ ความหน้าด้าน ของไอ้หมอนี่
จะมีทางเป็นไปได้หรือ ที่มันจะยอมรับว่า มันได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า และ บิดเบือนพระธรรมวินัย ?
เนื่องจาก ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ก็คือ มันก็จะยังคง กล่าวปรามาสพระ และติเตียนคน(อื่น) ต่อไป
ด้วยเหตุผล และหลักฐานอันเป็นเท็จ ที่ได้จากการ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า และ บิดเบือนพระธรรมวินัย
อย่างไม่มีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป อยู่นั่นเอง !
หรือมิใช่ ?
ทั้งนี้ หากท่านทั้งหลาย พิจารณาข้อความ "ยอมรับผิด" ของคันโตนาซี อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะพบสิ่งที่น่าสนใจ ดังนี้ว่า
********************************************************************************************
********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๑
การที่ คันโตนาซี ถูกจับได้ว่า กล่าวตู่พระพุทธเจ้า นั้น แท้ที่จริงมันมิใช่เรื่อง "ส่วนตัว"
ระหว่างผม(จ้าวนครเมฆขาว) กับมัน(คันโตนาซี) เสียเมื่อไร
มันกล่าวตู่พระพุทธเจ้าในที่สาธารณะ มันก็ต้องไปกล่าวขอขมาพระพุทธเจ้า
ในที่สาธารณะ มิใช่มาบอกกับผมแค่เพียงว่า ...... แกถูกฉันผิด !
อย่าบอกนะว่า คันโตนาซี เห็นว่าการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า เป็นเรื่องเล็กน้อย
ที่สามารถ "เกี่ยเซี้ย" กับคู่กรณีที่ "วิวาทะ" กันแล้วก็สามารถจบเรื่องได้ ?
เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง แก และพวก จะมาต้องป้อม ด่าพระด่าคน
ด้วยข้อหา กล่าวตู่พระพุทธเจ้า(ด้วยอัตโนมัติของพวกแกเอง)หาพระแสงของ้าว อะไรล่ะ ?
หรือมิใช่ ?
ดังนั้น สิ่งที่ผมต้องการทวงถาม "ความสม่ำเสมอ" ในธรรม ของพวกเม็ดมะขามทั้งหลาย ก็คือ
เมื่อปรากฏหลักฐานอย่างแจ่มชัดแล้วว่า คันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า
อีกทั้ง จำเลย ก็ได้รับสารภาพไปแล้ว เนื่องจากจนด้วยหลักฐาน
เหตุใด บรรดาผู้ที่อ้างตัวอ้างตนว่า จะปกป้องรักษาพระธรรมวินัย
จึงไม่ออกมาตำหนิติเตียน "คนชั่ว" ที่กล้าทำผิดบาปอย่างหน้าด้านๆ ในที่สาธารณะเยี่ยงนี้ ?
แก๊งส์เม็ดมะขาม หายหัวไปไหนกันหมดแล้ว กรุณา ทำหน้าที่ ด้วยการ ออกมาประณาม คนชั่วช้า ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ด้วย
มิเช่นนั้น ผู้คนเขาอาจสงสัยขึ้นมาได้ว่า ที่ "แกล้งตาย" หายหน้า ไม่ยอมทำหน้าที่ ก็เพราะ ไอ้คนชั่วนั่น มันเป็นพวกเดียวกัน นะครับ
ทั้งนี้ หากทำใจไม่ได้ ที่จะต้องออกมาด่าประณาม "พวกเดียวกัน" ผมก็ขอแนะนำว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ก็จงออกมาให้กำลังใจ
ในฐานะที่เป็นพวกเดียวกันไปเลย เพราะ สัตว์โลก มันย่อมคบกันตามธาตุ มิใช่หรือ ?
ดังนั้น แก๊งส์เม็ดมะขาม ก็จงออกมาแสดงตัวไปเลยว่า จวบจนถึงขณะนี้ ก็ยังคบหากับ คันโตนาซี อยู่
ผู้คนทั้งหลายจะได้ทราบอย่างแน่ชัดว่า แก๊งส์เม็ดมะขาม ก็เป็นพวกที่ชอบ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ดุจกัน
เพื่อที่คนทั้งหลาย จะได้เกิดความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ในการพิจารณาข้อความใดๆ ของกลุ่มคนพวกนี้
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แก๊งส์เม็ดมะขาม คงจะไม่ปล่อยให้ คันโตนาซี ต้องตายคากระทู้ อยู่อย่างเดียวดาย
ในวันที่ ทีมปีศาจแดง แพ้ พญาหงส์ ด้วยสกอร์ ๑-๐ ณ สนามแอนฟิลด์ นะจ๊ะ (โห่ฮิ้วววววววว)
********************************************************************************************
********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๒
ข้อความในวงเล็บ ที่คันโตนาซี กล่าวว่า ............... "สบายใจแล้วนะครับ"
ข้อความนี้ ฟังดูแล้ว ตลกดี แต่กระนั้น มันก็แฝงนัยยะบางประการ ที่ท่านทั้งหลายพึงทราบ เอาไว้ด้วย เช่นกัน กล่าวคือ
การที่ คันโตนาซี เขียนข้อความนี้เอาไว้ ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไอ้หมอนี่ เข้าใจ(ผิด)ไปว่า
ที่ผมตามล้างตามเช็ด การกล่าวตู่บิดเบือนพระพุทธเจ้าของมัน เป็นเรื่องส่วนตัว (ซึ่งไม่จริง !)
สิ่งที่ คันโตนาซี พึงทำความเข้าใจให้ดีๆ ก็คือ คนที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ก็คือมัน
และคนที่ต้องรับผลแห่งการกระทำชั่วอันนั้น ก็คือตัวมันนั่นเอง
ซึ่งผม(จ้าวนครเมฆขาว) ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ย่อมมิได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับเรื่องเหล่านี้เลยนี่ครับ
มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า คันโตนาซี อาจ "สำคัญผิด" ไปว่า ผมเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของมัน กระมัง
จึงจะต้องมีความรู้สึก (๑) สบายใจ หรือ (๒) ไม่สบายใจ อันเนื่องมาจากการทำผิดคิดชั่วของมัน(ผู้เป็นลูกหลาน?)
ทั้งนี้ ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้เป็นญาติผู้ใหญ่ของไอ้คนชั่วผู้นี้แน่ๆ ดังนั้น ต่อคำกล่าวที่ว่า ............... สบายใจแล้วนะครับ
จึงสมควรเป็น "ถ้อยคำ" ที่คันโตนาซี จะต้องเก็บเอาไว้กล่าวกับ "บุพการี" ของตนเอง เท่านั้นนะครับ
เพราะจะมีก็แต่ บุพการี ของมันเองนั่นแหละ ที่จะเป็นผู้ โล่งอก&โล่งใจ ที่ลูกหลานของตน ได้หยุดการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า
ซึ่งจะเป็นบาปกรรมมิใช่น้อยนั้นได้เสียที หาใช่ ผม ซึ่งเป็นเพียงแค่ ผู้สังเกตการณ์ แต่อย่างใดไม่
ดังนั้น คันโตนาซี ก็จงนำข้อความดังกล่าวนี้ ไปบอกกล่าวแก่บุพการีของตนเสียนะครับ
อย่าได้คิดเอามาพูดกับผมในที่สาธารณะ ให้ผมต้องอับอายผู้คน ที่อาจเข้าใจผิดไปว่า
ผมมีลูกหลานชั่วๆ ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า อย่างปราศจากความละอาย จนต้องออกมา "กำราบ" ในที่สาธารณะเลย !
ชัดเจนแล้วนะครับ
********************************************************************************************
********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๓
คราวนี้ ท่านทั้งหลาย ลองพิจารณาคำโอ้อวด ของไอ้หมอนี่ดูสักหน่อยนะครับ
แรกเริ่มเดิมที ไอ้หมอนี่ ถูกตำหนิติเตียนว่า ด้วยความที่มันเป็นแค่เพียง ปุถุชนผู้บริโภคกาม เป็นพวกมิจฉาทิฐิ
แล้วมันมีสิทธิอะไร มากล่าวปรามาส ท่านพุทธทาส ผู้ซึ่งพระเถรานุเถระทั้งหลายให้ความเคารพนับถือ
แต่มีอยู่คราวหนึ่ง ไอ้หมอนี่ ได้คุยเขื่อง "แก้ตัว" ในทำนองว่า แม้เขาจะเป็นแค่ชาวพุทธปุถุชนกิเลสหนา
แต่เขาก็ ไม่เคย กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ไม่เคย บิดเบือนพระธรรม ฯลฯ แถมยังกล่าววาจา "ยโสโอหัง"
ออกมาอีกด้วยว่า มันจะไม่ปล่อยให้ใคร กล่าวตู่พระพุทธเจ้า หรือ บิดเบือนพระธรรม โดยไม่ยอมทำอะไร !
ไอ้เรื่องที่ว่า คันโตนาซี เป็นเพียงแค่ ปุถุชนกิเลสหนา นั้นเป็นความจริงแน่ๆ แต่ที่มันอวดอ้างว่า
ไม่เคย กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ไม่เคย บิดเบือนพระธรรม อันนี้ผมได้ทำการพิสูจน์แล้วนะครับว่า ไม่เป็นความจริง !
เพราะจากหลักฐานเท่าที่ปรากฏอยู่จริง พบว่า คันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า และยังมีความพยายาม
ในการดิ้นรนแถกแถ เพื่อจะให้การทำชั่วของมันนั้นไม่เป็นความผิด อย่างปราศจากความละอาย
เมื่อสรุปรวมความแล้ว คันโตนาซี ชั่วช้าเลวทราม จนแทบจะไม่มีชิ้นดีเอาเลยนะครับ
คำถาม ที่ยังคงต้องถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็คือ คันโตนาซี คิดว่า คนที่มีคุณสมบัติชั่วๆ แบบนี้
ยังสมควรเสนอหน้า มากล่าวปรามาสพระ ชี้ถูกชี้ผิดพระ ด้วยอัตโนมัติโง่ๆ ของตนอยู่อีกหรือไม่ ?
คันโตนาซีอ้างว่า เมื่อก่อน มิได้ศึกษาพระพุทธศาสนาจริงจัง ก็ยังนับถือท่านพุทธทาส
แต่ต่อมาเมื่อศึกษาพระพุทธศาสนาจริงจัง จึงไม่นับถือ แล้วยังอุตส่าห์มาด่าท่านพุทธทาส ให้เป็นบาปเป็นกรรมติดตัวไปเสียอีก
ประเด็นปัญหาที่ผมสงสัย ก็คือ คันโตนาซี ศึกษาพระพุทธศาสนามาอย่างไร จึงได้มากล่าวตู่พระพุทธเจ้า ล่ะครับ
คันโตนาซี ศึกษาพระพุทธศาสนา จากใครกันหรือครับ จึงได้เกิดความคิดโง่ๆ ว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนศีลเบื้องต้นแก่ภิกษุ
ทั้งๆ ที่เรื่องศีลนี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญมาก ในฐานะที่เป็นบาทฐานของสมาธิและปัญญา !
ทีนี้ เมื่อปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า เป็นตัวของ คันโตนาซี นั่นเอง ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรม
คำถามข้อต่อมา ก็คือ การที่คันโตนาซีกล่าวว่า จะไม่ปล่อยให้ใครทำแบบนั้น หน้าตาเฉยโดยที่ "แก" ไม่ยอมทำอะไรนั้น
แก นายคันโตนาซี จะทำอย่างไรกับ พฤติกรรมชั่วๆ ของตัวแกเองเล่าครับ กรุณา ชี้แจงให้ชาวพุทธทั้งหลายได้รับทราบด้วย
แล้วผมจะรอดู ..........
(คำถาม)ชัดไหมครับ ?
กาลครั้งหนึ่ง เมื่อเขาอวดโอ้คุยเขื่องว่า ผมไม่เคยตู่พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสสอน ศีลเบื้องต้นแก่ฆราวาสเท่านั้น โดยไม่ตรัสสอนศีลเบื้องต้น แก่ภิกษุทั้งหลาย !
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ก็คือ พระพุทธเจ้าย่อมตรัสสอน ศีลเบื้องต้นนี้แก่ทั้ง ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา จนแม้แต่
ปริพาชก อัญเดียรถีย์ ทั้งหลาย พระพุทธเจ้า ก็ย่อมตรัสสอน ศีลเบื้องต้นนี้ แก่เขาเหล่านั้น เพราะศีล ย่อมเป็นบาทฐานอันสำคัญแก่ สมาธิและปัญญา !
แม้ได้แสดงหลักฐานจนชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว นายคันโตนาซี ก็ยังแสดงอาการ "หน้าด้าน" ทำเป็นมองไม่เห็นหลักฐาน เสียอย่างนั้น
ท่านทั้งหลายพึงทราบด้วยว่า กรณี ศีลเบื้องต้น นี้ได้แสดงหลักฐานมานานร่วม ๒ เดือนแล้ว แต่นายคันโตนาซีได้แสดงให้เห็นว่า
มีความพยายามอย่างยิ่ง ในการสร้างเงื่อนไขต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับหลักฐาน เพื่อหวังจะเอาตัวรอดจากข้อกล่าวหา
ว่ามันกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย แต่จนแล้วจนรอด มันก็หนีไม่พ้นอยู่นั่นเอง
ในครั้งสุดท้าย ไอ้หมอนี่ ตั้งเงื่อนไขว่า หลักฐานจะต้องเป็นพระสูตรที่ตรัสถึงเฉพาะ ศีลเบื้องต้น เท่านั้น โดยไม่ตรัสอย่างอื่นอีกเลย
ซึ่งผมก็ได้แสดงหลักฐานไว้แล้วในท้ายกระทู้ "พระพุทธเจ้า ตรัสสอน ศีลธรรมเบื้องต้น แก่ใคร ?" ........ http://pantip.com/topic/30892520
จะด้วยความ "หูอื้อ-ตาลาย" หรือด้วยเหตุใด ผมก็มิอาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ดูเหมือนว่า นายคนนี้
จะมิได้ "ใส่ใจ" อ่านกระทู้(ของผม)อย่างละเอียดรอบคอบ จึงทำให้มันไม่ทราบว่า
ถึงแม้มันจะคิด(เอาเอง)ว่าได้ตั้งเงื่อนไขที่ยากแสนยากอย่างไร มันก็ไม่ทำให้ มัน สามารถเอาตัวรอดไปได้อยู่ดี
จนเมื่อผมได้ตั้งกระทู้ทวงถามอีกครั้งว่า "สาวกเม็ดมะขาม ตาบอด หรือเปล่าครับ ?" ........ http://pantip.com/topic/30906650
คราวนี้ นายคันโตนาซี ถึงได้ "จนมุม" ตกอยู่ในสภาพ "จนด้วยหลักฐาน" ต้องยอมรับผิด อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง !
ถ้ามองแบบผิวเผิน ก็อาจดูเหมือนว่า คันโตนาซี เป็นคนประเภท เมื่อทำผิด ก็กล้ารับผิด แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด กลับไม่ใช่
ทั้งนี้ก็เพราะ ถ้ามันเป็นคน "ดี" อย่างนั้นจริง มันก็คงยอมรับผิดเสียแต่แรก เมื่อผมเสนอหลักฐานจาก มหาปรินิพพานสูตร และ จุลศีล นั่นแล้ว
แต่ไอ้หมอนี่ ก็มิได้ทำอย่างนั้น เพราะมันได้แสดงให้เห็นว่า มีความพยายามจะดิ้นรนแถกแถ ตั้งเงื่อนไขต่างๆ นาๆ เพื่อหวังว่า จะไม่มีใคร
สามารถนำหลักฐานภายใต้เงื่อนไข "รุงรัง" ที่มันพยายามสร้างขึ้นเพื่อปกป้อง "หน้าหนาๆ" ของมัน มาแสดงให้เป็นที่ประจักษ์ได้
และเมื่อถึงตอนนั้น มันก็จะสามารถ แถกแถ ไปได้อย่างหน้าด้านๆ ว่า มันไม่ผิด มันมิได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า !
พฤติการณ์อย่างนี้ สามารถสรุปความได้เพียงกรณีเดียว ก็คือ คันโตนาซี สารภาพ(ผิด) เพราะจนด้วยหลักฐาน
ถามว่า หากไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด เอาจริงเอาจังกับ "ความกะล่อน" และ ความหน้าด้าน ของไอ้หมอนี่
จะมีทางเป็นไปได้หรือ ที่มันจะยอมรับว่า มันได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า และ บิดเบือนพระธรรมวินัย ?
เนื่องจาก ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ก็คือ มันก็จะยังคง กล่าวปรามาสพระ และติเตียนคน(อื่น) ต่อไป
ด้วยเหตุผล และหลักฐานอันเป็นเท็จ ที่ได้จากการ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า และ บิดเบือนพระธรรมวินัย
อย่างไม่มีความละอาย และเกรงกลัวต่อบาป อยู่นั่นเอง !
หรือมิใช่ ?
ทั้งนี้ หากท่านทั้งหลาย พิจารณาข้อความ "ยอมรับผิด" ของคันโตนาซี อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะพบสิ่งที่น่าสนใจ ดังนี้ว่า
********************************************************************************************
********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๑
การที่ คันโตนาซี ถูกจับได้ว่า กล่าวตู่พระพุทธเจ้า นั้น แท้ที่จริงมันมิใช่เรื่อง "ส่วนตัว"
ระหว่างผม(จ้าวนครเมฆขาว) กับมัน(คันโตนาซี) เสียเมื่อไร
มันกล่าวตู่พระพุทธเจ้าในที่สาธารณะ มันก็ต้องไปกล่าวขอขมาพระพุทธเจ้า
ในที่สาธารณะ มิใช่มาบอกกับผมแค่เพียงว่า ...... แกถูกฉันผิด !
อย่าบอกนะว่า คันโตนาซี เห็นว่าการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า เป็นเรื่องเล็กน้อย
ที่สามารถ "เกี่ยเซี้ย" กับคู่กรณีที่ "วิวาทะ" กันแล้วก็สามารถจบเรื่องได้ ?
เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง แก และพวก จะมาต้องป้อม ด่าพระด่าคน
ด้วยข้อหา กล่าวตู่พระพุทธเจ้า(ด้วยอัตโนมัติของพวกแกเอง)หาพระแสงของ้าว อะไรล่ะ ?
หรือมิใช่ ?
ดังนั้น สิ่งที่ผมต้องการทวงถาม "ความสม่ำเสมอ" ในธรรม ของพวกเม็ดมะขามทั้งหลาย ก็คือ
เมื่อปรากฏหลักฐานอย่างแจ่มชัดแล้วว่า คันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า
อีกทั้ง จำเลย ก็ได้รับสารภาพไปแล้ว เนื่องจากจนด้วยหลักฐาน
เหตุใด บรรดาผู้ที่อ้างตัวอ้างตนว่า จะปกป้องรักษาพระธรรมวินัย
จึงไม่ออกมาตำหนิติเตียน "คนชั่ว" ที่กล้าทำผิดบาปอย่างหน้าด้านๆ ในที่สาธารณะเยี่ยงนี้ ?
แก๊งส์เม็ดมะขาม หายหัวไปไหนกันหมดแล้ว กรุณา ทำหน้าที่ ด้วยการ ออกมาประณาม คนชั่วช้า ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ด้วย
มิเช่นนั้น ผู้คนเขาอาจสงสัยขึ้นมาได้ว่า ที่ "แกล้งตาย" หายหน้า ไม่ยอมทำหน้าที่ ก็เพราะ ไอ้คนชั่วนั่น มันเป็นพวกเดียวกัน นะครับ
ทั้งนี้ หากทำใจไม่ได้ ที่จะต้องออกมาด่าประณาม "พวกเดียวกัน" ผมก็ขอแนะนำว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ก็จงออกมาให้กำลังใจ
ในฐานะที่เป็นพวกเดียวกันไปเลย เพราะ สัตว์โลก มันย่อมคบกันตามธาตุ มิใช่หรือ ?
ดังนั้น แก๊งส์เม็ดมะขาม ก็จงออกมาแสดงตัวไปเลยว่า จวบจนถึงขณะนี้ ก็ยังคบหากับ คันโตนาซี อยู่
ผู้คนทั้งหลายจะได้ทราบอย่างแน่ชัดว่า แก๊งส์เม็ดมะขาม ก็เป็นพวกที่ชอบ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ดุจกัน
เพื่อที่คนทั้งหลาย จะได้เกิดความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ในการพิจารณาข้อความใดๆ ของกลุ่มคนพวกนี้
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แก๊งส์เม็ดมะขาม คงจะไม่ปล่อยให้ คันโตนาซี ต้องตายคากระทู้ อยู่อย่างเดียวดาย
ในวันที่ ทีมปีศาจแดง แพ้ พญาหงส์ ด้วยสกอร์ ๑-๐ ณ สนามแอนฟิลด์ นะจ๊ะ (โห่ฮิ้วววววววว)
********************************************************************************************
********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๒
ข้อความในวงเล็บ ที่คันโตนาซี กล่าวว่า ............... "สบายใจแล้วนะครับ"
ข้อความนี้ ฟังดูแล้ว ตลกดี แต่กระนั้น มันก็แฝงนัยยะบางประการ ที่ท่านทั้งหลายพึงทราบ เอาไว้ด้วย เช่นกัน กล่าวคือ
การที่ คันโตนาซี เขียนข้อความนี้เอาไว้ ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไอ้หมอนี่ เข้าใจ(ผิด)ไปว่า
ที่ผมตามล้างตามเช็ด การกล่าวตู่บิดเบือนพระพุทธเจ้าของมัน เป็นเรื่องส่วนตัว (ซึ่งไม่จริง !)
สิ่งที่ คันโตนาซี พึงทำความเข้าใจให้ดีๆ ก็คือ คนที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ก็คือมัน
และคนที่ต้องรับผลแห่งการกระทำชั่วอันนั้น ก็คือตัวมันนั่นเอง
ซึ่งผม(จ้าวนครเมฆขาว) ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ย่อมมิได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับเรื่องเหล่านี้เลยนี่ครับ
มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า คันโตนาซี อาจ "สำคัญผิด" ไปว่า ผมเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของมัน กระมัง
จึงจะต้องมีความรู้สึก (๑) สบายใจ หรือ (๒) ไม่สบายใจ อันเนื่องมาจากการทำผิดคิดชั่วของมัน(ผู้เป็นลูกหลาน?)
ทั้งนี้ ผมขอยืนยันว่า ผมมิได้เป็นญาติผู้ใหญ่ของไอ้คนชั่วผู้นี้แน่ๆ ดังนั้น ต่อคำกล่าวที่ว่า ............... สบายใจแล้วนะครับ
จึงสมควรเป็น "ถ้อยคำ" ที่คันโตนาซี จะต้องเก็บเอาไว้กล่าวกับ "บุพการี" ของตนเอง เท่านั้นนะครับ
เพราะจะมีก็แต่ บุพการี ของมันเองนั่นแหละ ที่จะเป็นผู้ โล่งอก&โล่งใจ ที่ลูกหลานของตน ได้หยุดการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า
ซึ่งจะเป็นบาปกรรมมิใช่น้อยนั้นได้เสียที หาใช่ ผม ซึ่งเป็นเพียงแค่ ผู้สังเกตการณ์ แต่อย่างใดไม่
ดังนั้น คันโตนาซี ก็จงนำข้อความดังกล่าวนี้ ไปบอกกล่าวแก่บุพการีของตนเสียนะครับ
อย่าได้คิดเอามาพูดกับผมในที่สาธารณะ ให้ผมต้องอับอายผู้คน ที่อาจเข้าใจผิดไปว่า
ผมมีลูกหลานชั่วๆ ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า อย่างปราศจากความละอาย จนต้องออกมา "กำราบ" ในที่สาธารณะเลย !
ชัดเจนแล้วนะครับ
********************************************************************************************
********************************************************************************************
ประเด็นที่ ๓
คราวนี้ ท่านทั้งหลาย ลองพิจารณาคำโอ้อวด ของไอ้หมอนี่ดูสักหน่อยนะครับ
แรกเริ่มเดิมที ไอ้หมอนี่ ถูกตำหนิติเตียนว่า ด้วยความที่มันเป็นแค่เพียง ปุถุชนผู้บริโภคกาม เป็นพวกมิจฉาทิฐิ
แล้วมันมีสิทธิอะไร มากล่าวปรามาส ท่านพุทธทาส ผู้ซึ่งพระเถรานุเถระทั้งหลายให้ความเคารพนับถือ
แต่มีอยู่คราวหนึ่ง ไอ้หมอนี่ ได้คุยเขื่อง "แก้ตัว" ในทำนองว่า แม้เขาจะเป็นแค่ชาวพุทธปุถุชนกิเลสหนา
แต่เขาก็ ไม่เคย กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ไม่เคย บิดเบือนพระธรรม ฯลฯ แถมยังกล่าววาจา "ยโสโอหัง"
ออกมาอีกด้วยว่า มันจะไม่ปล่อยให้ใคร กล่าวตู่พระพุทธเจ้า หรือ บิดเบือนพระธรรม โดยไม่ยอมทำอะไร !
ไอ้เรื่องที่ว่า คันโตนาซี เป็นเพียงแค่ ปุถุชนกิเลสหนา นั้นเป็นความจริงแน่ๆ แต่ที่มันอวดอ้างว่า
ไม่เคย กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ไม่เคย บิดเบือนพระธรรม อันนี้ผมได้ทำการพิสูจน์แล้วนะครับว่า ไม่เป็นความจริง !
เพราะจากหลักฐานเท่าที่ปรากฏอยู่จริง พบว่า คันโตนาซี ได้กล่าวตู่พระพุทธเจ้า และยังมีความพยายาม
ในการดิ้นรนแถกแถ เพื่อจะให้การทำชั่วของมันนั้นไม่เป็นความผิด อย่างปราศจากความละอาย
เมื่อสรุปรวมความแล้ว คันโตนาซี ชั่วช้าเลวทราม จนแทบจะไม่มีชิ้นดีเอาเลยนะครับ
คำถาม ที่ยังคงต้องถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็คือ คันโตนาซี คิดว่า คนที่มีคุณสมบัติชั่วๆ แบบนี้
ยังสมควรเสนอหน้า มากล่าวปรามาสพระ ชี้ถูกชี้ผิดพระ ด้วยอัตโนมัติโง่ๆ ของตนอยู่อีกหรือไม่ ?
คันโตนาซีอ้างว่า เมื่อก่อน มิได้ศึกษาพระพุทธศาสนาจริงจัง ก็ยังนับถือท่านพุทธทาส
แต่ต่อมาเมื่อศึกษาพระพุทธศาสนาจริงจัง จึงไม่นับถือ แล้วยังอุตส่าห์มาด่าท่านพุทธทาส ให้เป็นบาปเป็นกรรมติดตัวไปเสียอีก
ประเด็นปัญหาที่ผมสงสัย ก็คือ คันโตนาซี ศึกษาพระพุทธศาสนามาอย่างไร จึงได้มากล่าวตู่พระพุทธเจ้า ล่ะครับ
คันโตนาซี ศึกษาพระพุทธศาสนา จากใครกันหรือครับ จึงได้เกิดความคิดโง่ๆ ว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนศีลเบื้องต้นแก่ภิกษุ
ทั้งๆ ที่เรื่องศีลนี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญมาก ในฐานะที่เป็นบาทฐานของสมาธิและปัญญา !
ทีนี้ เมื่อปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า เป็นตัวของ คันโตนาซี นั่นเอง ที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรม
คำถามข้อต่อมา ก็คือ การที่คันโตนาซีกล่าวว่า จะไม่ปล่อยให้ใครทำแบบนั้น หน้าตาเฉยโดยที่ "แก" ไม่ยอมทำอะไรนั้น
แก นายคันโตนาซี จะทำอย่างไรกับ พฤติกรรมชั่วๆ ของตัวแกเองเล่าครับ กรุณา ชี้แจงให้ชาวพุทธทั้งหลายได้รับทราบด้วย
แล้วผมจะรอดู ..........
(คำถาม)ชัดไหมครับ ?