นิทานชาวสวน
ทุรทัสนาจรน้ำตกแม่กลาง
"เทพารักษ์"
ตอนที่ ๓
ต่อมาอีกสักครู่ เราเห็นบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวข้างทางลึกเข้าไปโขอยู่ ผมจึงชวนให้หยุดแล้วส่งนายออดเข้าไปหาน้ำ นายออดขี่รถกระโผลกกะเผลกเข้าไปเกือบ ๑๕ นาที ออกมารายงานว่าไม่มีคนอยู่ที่บ้านนั้นเลย พยายามหาน้ำโดยพลการก็หาไม่ได้ บ่อแห้งผาก เป็นอันว่าจบเห่กันเลย เราจะต้องไปให้ถึงแม่กลางซึ่งพอจะหวังได้ว่ายังคงจะมีน้ำไหลอยู่บ้าง จึงจะได้น้ำกิน ถ้าขืนหมดแรงพับลงไปเสียก่อนจะถึง ก็น่ากลัวว่าจะไม่มีใครมีแรงพอที่จะหามใครไปไหวหรอก
เราออกเดินกันต่อไปด้วยความทรหดอดทน ที่กำลังร่อยหรอลงไปทุกที ทุก ๆ เมตร และทุก ๆ นาทีที่ผ่านไป ทวีความยากลำบากขึ้นทุกที เรี่ยวแรงร่อยหรอลงไปจนเกือบจะหมด แต่ละคนแทบจะทรงกายไว้ไม่อยู่ หลักซีเมนต์สีขาวสำหรับบอกระยะทาง ดูเหมือนจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งเดียว ที่พวกเรายึดถือเป็นเครื่องให้กำลังใจอย่างดียิ่ง แม้ว่าจะเหนื่อยยากแสนสาหัสเพียงใด พอแลเห็นหลักขาว ๆ โผล่ขึ้นเบื้องหน้า เราจะพากันไชโยโห่ร้อง และตะเกียกตะกายไปให้ถึงได้รวดเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด
เราพากันลากสังขารอันบอบแบบของเราต่อไปอีก ๒ ก.ม.กว่า ๆ ก็พบเพิงสูง ๆ โรงหนึ่งอยู่ข้างทาง เป็นที่พักของชาวไร่ สารถีทั้งสองนายปล่อยรถจักรยานลงนอนบนถนน แล้วตัวเองก็นั่งเหยียดเท้าอย่างหมดอาลัยในชีวิตเสียเฉย ๆ ไม่ยอมพูดยอมจา จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเดินเข้าไปหาน้ำมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ผมหิ้วกระป๋องคู่ชีพเข้าไปเจรจาพาทีกับเจ้าของเพิง ซึ่งก็ใจดีตามเคย อนุญาตให้ตักตวงเอาไปให้พอ ผมแทบจะนั่งลงกราบขอบคุณเสียเลย ตัวเองดื่มเสียให้สมอยาก แล้วก็จ้วงใส่กระป๋องเต็มปรี่ ค่อย ๆ ประคองเอามาให้เพื่อนฝูงดื่มกันให้เต็มอุรา รู้สึกว่ากำลังวังชาค่อยคืนมา พอจะมีเรี่ยวแรงบุกบั่นกันต่อไปได้อีกนานทีเดียว
เราโดดขึ้นยานคู่ยาก ห้อกระโดกกระเดกด้วยวิธีเดิม แต่ท่าทางแข็งขันกว่าเก่ามาก ทุก ๆ เมตร และทุก ๆ กิโลเมตรที่ผ่านไป แสดงถึงชัยชนะของเราที่มีต่อธรรมชาติ ซึ่งแสนจะโหดร้ายทารุณต่อเราเพิ่มขึ้นทุกที เมื่อผ่าน ก.ม.ที่ ๘ ฝนก็โปรยเม็ดลงมาอีกเราเข็นรถเข้าไปพักใต้ประตูวัดข้างทางป้ายบอกชื่อวัดน้ำตกแม่กลาง ซึ่งตัววัดตั้งอยู่บนเนินสูงค่อนข้างชัน เรารอดูท่าทีอยู่ครู่หนึ่งพลางถกเถียงกันเรื่องระยะทาง ผมจำได้ว่าเมื่อถามคนที่เชียงใหม่บางคนบอกว่า ๙ ก.ม. บางคนก็บอกว่า ๘ ก.ม. แต่คนรถที่ทะเลาะกับเราบอกว่า ๑๑ ก.ม. เลยไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี นายผียืนยันนั่งยันว่า ป้ายชื่อวัดบอกอยู่ทนโท่ว่าถึงแล้ว เลยไปอีกก็คงไม่ไกลนัก ผมเองไม่แน่ใจแต่เพื่อความไม่ประมาทต่อสถานการณ์ เราก็ต้องคิดว่าไกลไว้ก่อน
ขณะนั้นก็มีจักรยาน ๔ คันไต่เนินขึ้นมาใกล้ประตูวัดที่เราพักอยู่ คงเป็นขบวนเที่ยวน้ำตกด้วยจักรยานเช่นเดียวกับเราเหมือนกัน กลุ่มนั้นมีเด็กสาวรุ่นทีนเอจ ๔ คน และเด็กชายอีก ๑ คน ทั้งหมดจูงจักรยานฝ่าเม็ดฝนขึ้นมา และผ่านเราไปโดยไม่แยแสกับสายฝน และเสียงเชื้อเชิญให้พักของพวกเราเลย เราต้องหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันอีกครั้งหนึ่ง ผมกับนายผีมีความเห็นขัดแย้งกันอย่างตรงกันข้าม ต่างคนต่างไม่ยอมแพ้ แม้ผมจะอ้างเอาตำแหน่งหัวหน้าคณะขึ้นมาข่มขู่ หมอก็ยังไม่ยอมจะดันทุรังไปท่าเดียว พอดีนายออดสรุปว่า
“ นี่นายสองคนจะมัวนั่งเถียงกันหาพระแสงสาสตรวุธไปทำไมกัน ฝนตกหนาเม็ดแล้วเห็นไหม จะอยู่ที่นี่หรือไปต่อ มันก็ต้องเปียกแน่ ๆ ข้อสำคัญฟิล์มกับกล้องจะเจ๊งเสียหมดน่ะซี อย่ากระนั้นเลย เราชวนกันไปขออาศัยพระท่านหลบฝน และกินข้าวกันเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ เพราะอย่างไรมันก็เกือบจะถึงเข้าไปตั้ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว “
พอพูดถึงเรื่องกิน นายผีกับผม ต่างก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ ชวนกันวิ่งอ้าวขึ้นไปทันที พอขึ้นไปถึงสันเนินและเข้าไปในวัด ซึ่งที่จริงเป็นศาลากว้างใหญ่หลังเดียวโดด ฝนก็ซัดจั้กลงมาพอดี เราลูบหน้าลูบตาพลางถอดรองเท้าถุงเท้า ยื่นออกไปแช่น้ำฝนเย็นฉ่ำ ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างมากมาย บนศาลาใหญ่นั้นมีผ้าเหลืองกั้นเป็นห้อง ๆ แบ่งให้พระและเณรอยู่รูปละห้อง ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ด้วยกันเพียงสี่รูปเท่านั้นเอง สมภารอายุมากแล้วท่าทางใจดี ไต่ถามทุกข์สุขพวกเราตามสมควร พร้อมกับอนุญาตให้พักอาศัยได้ตามสบาย
เรากราบพระพุทธรูปแล้วก็เลี่ยงออกมามุมหนึ่ง ให้ห่างไกลจากพระสงฆ์องค์เจ้า งัดห่อข้าวเหนียวและเครื่องประกอบทั้งหลายออกมาโจ้กันอย่างเต็มที่ เพราะเหนื่อยกันมามากแล้ว ช้างเชียงใหม่ตบด้วยน้ำฝนเย็นเจี๊ยบ ช่วยข้าวเหนียวเดินคล่องดีพิลึก ใครคนหนึ่งรำพึงออกมาดัง ๆ ภายหลังที่ได้เรอออกมาเสียงสนั่นแล้วว่า
“ ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอับโชคที่สุด ทั้งมนุษย์และเทวดาฟ้าดิน จะพากันขัดขวางเราสักเพียงใดก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้เราก็พร้อมแล้วที่จะสู้ต่อไป “
ฟังดูโก้หร่านเสียจนเพื่อนแทบจะสำลักช้างไปตาม ๆ กัน เราเหลืออาหารเก็บไว้อีกส่วนหนึ่ง ด้วยอดที่จะห่วงมื้อหน้าไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะกลับไปได้ถึงแค่ไหน และเมื่อพวกเราล้างไม้ล้างมือ ลงนั่งสูบบุหรี่ด้วยอารมณ์ที่ปลอดโปร่งที่สุดในวันนั้น ฝนก็ขาดเม็ดลง ท้องฟ้าใสสะอาดอีกวาระหนึ่ง และเวลาก็ล่วงเข้าบ่ายสามโมงครึ่ง
ขณะนั้นเราก็แว่วเสียงซู่ซ่าดังมาแต่ไกล ผมคิดว่าฝนจะตกลงมาอีก แต่มองดูรอบ ๆ ตัวก็ไม่เห็นมีเม็ดฝน แดดออกแจ่มจ้าแล้ว นายผีรีบยืนยันทันทีว่าเป็นเสียงน้ำตก ทีแรกไม่อยากเชื่อ แต่ฟัง ๆ ดูแล้วก็ยอมเชื่อ เป็นอันว่าเราใกล้จุดหมายเข้ามาเต็มทีแล้ว พวกเราชวนกันล่ำลาท่านสมภรออกเดินทางต่อไปอย่างกระฉับกระเฉง
พอรถแล่นลงจากเนินหน้าวัดเลี้ยวซ้ายไปอีกนิดเดียวเท่านั้น เราก็เห็นสายน้ำตกชะเงื้อมอยู่เบื้องหน้า อย่างแทบไม่ทันจะรู้เนื้อรู้ตัวเอาทีเดียว
เราฝากจักรยานสองคัน กับรองเท้าสามคู่ ไว้ที่ร้านขายเครื่องดื่มซึ่งอยู่ใกล้น้ำตกร้านหนึ่ง ในจำนวนที่มีอยู่ด้วยกันเพียงสองร้าน ทั้งนี้ด้วยเหตุผลของนายออดั่ว่า แม่ค้าร้านนี้สวยกล่า ซึ่งเราอีกสองคนก็เห็นด้วย แล้วก็ฉวยกล้องกับผ้าขาวม้าเตรียมลงเล่นน้ำให้คุ้มสักที ก็เจอเด็กสาว ๓-๔ คนที่ล่วงหน้ามาก่อน กำลังเล่นน้ำกันทั้งเครื่องทรงอย่างสนุกสนาน เข้าใจว่าคงจะเปียกฝนจนโชกก่อนแล้วเป็นแน่ พอพวกเราไปถึงพวกเขาก็กำลังจะกลับพอดี เราชวนให้ถ่ายรูปด้สยกันก็ไม่ยอมจะกลับท่าเดียว แต่พอเดินออกไปจนห่างแล้ว กลับหันมากวักมือเรียก ทำให้นายผีร่ำ ๆ จะปล่อยแก่วิ่งตามขึ้นไปเสียให้ได้ ต้องฉุดรั้งกันแทบตาย แต่ยังงั้นก็ยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำ คงจะเสียดายโอกาสอยู่ครามครัน
น้ำตกแม่กลางที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้น แม้จะเป็นหน้าแล้ง ก็ดูสูงใหญ่และไหลซู่ซ่าเอาการ สายน้ำจากยอดผาพุ่งลงมาเป็นสองทาง กระทบแง่หินชั้นที่สอง แล้วก็ตกมารวมกันที่ชั้นที่สาม เสียงสนั่นครั่นครื้น สายน้ำแตกกระจายเป็นฟองฝอยน่าดู ยิ่งได้กระทบแสงแดดจาง ๆ ในยามนั้นด้วยแล้ว ยิ่งงามจับตาอย่างไม่มีอะไรเปรียบ ไม่เสียแรงที่หอบหิ้วสังขารฝ่าความลำบากทุรกันดารมากันจนถึงนี่ จากชั้นนี้สายน้ำก็แผ่กระจายไหลเรื่องลงมาตามผาหิน ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นเชิงเหมือนขั้นบันได จนถึงลำห้วยที่พวกเราทั้งหมดได้ลงไปแช่อยู่อย่างแสนสำราญบานใจ สายน้ำเน็นยะเยือกช่วยชำระล้างความชมุกชมอม และความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้หายไปได้หมดสิ้น อยากจะแช่อยู่อย่างนั้นจนค่ำ แต่ก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ฉะนั้นภายหลังจากที่ได้ชักรูปท่าทางและแง่มุมต่าง ๆ ไว้เป็นที่ระลึกจนฟิล์มหมด และได้ดำผุดดำว่ายกันจนปากเขียวไปตาม ๆ กันแล้ว เราจึงพากันขึ้นมาพักผ่อน อุดหนุนน้ำส้มแช่เย็นที่ร้านซึ่งเราฝากสัมภาระไว้ คนละขวดสองขวด ที่ว่าน้ำส้มแช่เย็นนั้นเป็นความจริง แต่ไม่ได้แช่ตู้เย็นเหมือนในกรุงเทพเท่านั้น เขาใช้วิธีทดน้ำขึ้นมา จากห้วยเบื้องล่างด้วยกลไกอย่างง่าย ๆ น้ำซึ่งเย็นเฉียบนั้นจะไหลราดรดขวดน้ำอัดลมอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย จึงทำให้เย็นพอใช้ได้ทีเดียว
เราได้ความรู้จากเจ้าของร้านฝ่ายชาย ซึ่งจะเกี่ยวดองเป็นญาติทางฝ่ายไหน ของแม่ค้าตาหวานผู้นั้นก็ไม่ทราบ ได้ความว่าน้ำตกที่เราเห็นอยู่นี้ เป็นชั้นสุดท้ายของทั้งหมดที่มีอยู่ด้วยกัน ๑๒ ชั้น ผู้เล่าได้ขึ้นไปเที่ยวมาแล้วทุกชั้น ผมดูแต่รูปที่เขาถ่ายมาประดับไว้ข้างฝา ลงความเห็นว่าชั้นที่ ๑๐ ดูเหมือนจะสวยที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ไปเห็นด้วยตาเป็นแน่ เพราะต้องปีนป่ายขึ้นไปด้วยลำแข้งเท่านั้น และกลับลงมาไม่ได้ในวันเดียว ต้องนอนค้างบนภูเขา ซึ่งเขายืนยันว่ามีเสือที่เท้าอาศัยอยู่ด้วยอย่างแน่นอน แต่จะดุร้ายหรือใจดีสักเพียงไหนยังสงสัยอยู่
เราคุยอะไรต่อมิอะไรพอได้ความรู้มาประดับสติปัญญา พอที่จะโม้ทับคนที่ไม่เคยไปได้โดยไม่ถูกขัดคอแล้ว ก็พากันอำลาออกเดินทางกลับเมื่อเวลาห้าโมงเย็น โดยไม่อาจลืมรอยยิ้มของแม่ค้าสาวตาคมคนนั้นได้เลย
เราทั้งหมดได้ความสดชื่นและความเข้มแข็ง คืนมาจากสายน้ำที่เย็นเยือกของน้ำตกแม่กลางแล้ว ฉะนั้นจึงไม่เป็นการแปลกประหลาดอะไรเลย ที่เราจะเดินทางกลับได้อย่างสบายอกสบ่ายใจ และรวดเร็วต่างกับเมื่อขาไปอย่างตรงกันข้ามทีเดียว เราผ่านเนินต่าง ๆ มาได้โยไม่ต้องเดินมากนัก เพราะเนินถัดไปจะต่ำกว่าที่ผ่านไปแล้วเสมอ แดดก็อ่อนลงรำไรใกล้จะลับยอดไม้ ไม่ทำให้ร้อนหรือเหน็ดเหนื่อยเลย เพียงชั่วโมงกว่า ๆ เราก็มาถึงแยกที่จะเข้าอำเภอจอมทอง
แทนที่จะเลี้ยวเข้าอำเภอ นายออดซึ่งเป็นโชเฟอร์ของผมในเที่ยวกลับนี้ กลับขี่รถโด่งออกทางหลวง ราวกับว่าจะกลับเชียงใหม่ด้วยขาทั้งสองข้างของเขายังงั้นแหละ ต้องห้ามปรามกันเสียงหลงจึงได้ยอมหยุดรถรออยู่ที่ปั๊มน้ำมันริมถนน เราจอดรถพิงต้นไม้ไว้ แล้วก็นั่งล้อมวงปรึกษาหารือกัน ว่าจะทำอย่างไรดีถ้าไม่มีรถกลับเชียงใหม่ เพราะเวลาก็ใกล้ค่ำลงไปทุกทีแล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ใดให้ความเห็นที่พอจะอุ่นใจได้เลย ผมเห็นว่าพวกเราออกจะวิตกทุกข์ร้อนกัน จนดูเคร่งเครียดเกินความจำเป็นไปสักหน่อยแล้ว จึงงัดเอาช้างที่เหลือออกมาปลอบจิตกันเสียคนละกรุ๊บ พอจะถึงรอบของผมก็พอดีเห็นฝุ่นฟุ้งมาแต่ไกล ปรากฏว่าเป็นรถเมล์สายฝางเชียงใหม่ เราแทบจะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น หรือทำอะไรที่บ้าบอยิ่งกว่านั้นด้วยความดีใจ ช่วยกันออกไปโบกไม้โบกมือ จนแทบว่ารถจะทับตายเสียก่อน
อีกครู่หนึ่งต่อมา เราก็ห้อตะบึงกลับเชียงใหม่ด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจเป็นที่สุด แม้ว่าจะมีสายฝนรออยู่ข้างหน้าก็ตาม ผมจึงเรียกหนี้สินที่ค้างชำระเมื่อกี้มาจัดการเสียโดยไว แล้วก็เวียนต่อไป รอบแล้วรอบเล่า โดยไม่กังวลเลยว่าจะไปถึงเชียงใหม่เอาสักกี่ทุ่มกี่ยาม ก็ชั่งหัวมันปะไร
และแล้วเรื่องที่ไม่ค่อยจะเป็นเรื่อง อันสืบเนื่องมาแต่การทุรทัศนาจรน้ำตกแม่กลาง ของเราก็เห็นจะต้องยุติลงเสียที เพราะถ้าไม่ยอมจบตรงนี้ก็ยังไม่ทราบว่าจะไปจบลงที่ตรงไหนดี เพราะเรายังวนเวียนอยู่ในเชียงใหม่อีกหลายวัน ถ้าจะเขียนต่อไปก็คงจะไม่เกี่ยวกับแม่กลางเสียเป็นแน่แท้
แต่จะไปเกี่ยวกับแม่อะไรต่อแม่อะไรเข้าบ้าง ก็เห็นจะต้องขอสงวนเอาไว้เป็นความลับก่อนครับ.
#############
วางเมื่อ ๗ ก.ย.๕๖ เวลา ๑๔.๕๗
นิทานชาวสวน ๗ ก.ย.๕๖
ทุรทัสนาจรน้ำตกแม่กลาง
"เทพารักษ์"
ตอนที่ ๓
ต่อมาอีกสักครู่ เราเห็นบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวข้างทางลึกเข้าไปโขอยู่ ผมจึงชวนให้หยุดแล้วส่งนายออดเข้าไปหาน้ำ นายออดขี่รถกระโผลกกะเผลกเข้าไปเกือบ ๑๕ นาที ออกมารายงานว่าไม่มีคนอยู่ที่บ้านนั้นเลย พยายามหาน้ำโดยพลการก็หาไม่ได้ บ่อแห้งผาก เป็นอันว่าจบเห่กันเลย เราจะต้องไปให้ถึงแม่กลางซึ่งพอจะหวังได้ว่ายังคงจะมีน้ำไหลอยู่บ้าง จึงจะได้น้ำกิน ถ้าขืนหมดแรงพับลงไปเสียก่อนจะถึง ก็น่ากลัวว่าจะไม่มีใครมีแรงพอที่จะหามใครไปไหวหรอก
เราออกเดินกันต่อไปด้วยความทรหดอดทน ที่กำลังร่อยหรอลงไปทุกที ทุก ๆ เมตร และทุก ๆ นาทีที่ผ่านไป ทวีความยากลำบากขึ้นทุกที เรี่ยวแรงร่อยหรอลงไปจนเกือบจะหมด แต่ละคนแทบจะทรงกายไว้ไม่อยู่ หลักซีเมนต์สีขาวสำหรับบอกระยะทาง ดูเหมือนจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งเดียว ที่พวกเรายึดถือเป็นเครื่องให้กำลังใจอย่างดียิ่ง แม้ว่าจะเหนื่อยยากแสนสาหัสเพียงใด พอแลเห็นหลักขาว ๆ โผล่ขึ้นเบื้องหน้า เราจะพากันไชโยโห่ร้อง และตะเกียกตะกายไปให้ถึงได้รวดเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด
เราพากันลากสังขารอันบอบแบบของเราต่อไปอีก ๒ ก.ม.กว่า ๆ ก็พบเพิงสูง ๆ โรงหนึ่งอยู่ข้างทาง เป็นที่พักของชาวไร่ สารถีทั้งสองนายปล่อยรถจักรยานลงนอนบนถนน แล้วตัวเองก็นั่งเหยียดเท้าอย่างหมดอาลัยในชีวิตเสียเฉย ๆ ไม่ยอมพูดยอมจา จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเดินเข้าไปหาน้ำมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ผมหิ้วกระป๋องคู่ชีพเข้าไปเจรจาพาทีกับเจ้าของเพิง ซึ่งก็ใจดีตามเคย อนุญาตให้ตักตวงเอาไปให้พอ ผมแทบจะนั่งลงกราบขอบคุณเสียเลย ตัวเองดื่มเสียให้สมอยาก แล้วก็จ้วงใส่กระป๋องเต็มปรี่ ค่อย ๆ ประคองเอามาให้เพื่อนฝูงดื่มกันให้เต็มอุรา รู้สึกว่ากำลังวังชาค่อยคืนมา พอจะมีเรี่ยวแรงบุกบั่นกันต่อไปได้อีกนานทีเดียว
เราโดดขึ้นยานคู่ยาก ห้อกระโดกกระเดกด้วยวิธีเดิม แต่ท่าทางแข็งขันกว่าเก่ามาก ทุก ๆ เมตร และทุก ๆ กิโลเมตรที่ผ่านไป แสดงถึงชัยชนะของเราที่มีต่อธรรมชาติ ซึ่งแสนจะโหดร้ายทารุณต่อเราเพิ่มขึ้นทุกที เมื่อผ่าน ก.ม.ที่ ๘ ฝนก็โปรยเม็ดลงมาอีกเราเข็นรถเข้าไปพักใต้ประตูวัดข้างทางป้ายบอกชื่อวัดน้ำตกแม่กลาง ซึ่งตัววัดตั้งอยู่บนเนินสูงค่อนข้างชัน เรารอดูท่าทีอยู่ครู่หนึ่งพลางถกเถียงกันเรื่องระยะทาง ผมจำได้ว่าเมื่อถามคนที่เชียงใหม่บางคนบอกว่า ๙ ก.ม. บางคนก็บอกว่า ๘ ก.ม. แต่คนรถที่ทะเลาะกับเราบอกว่า ๑๑ ก.ม. เลยไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี นายผียืนยันนั่งยันว่า ป้ายชื่อวัดบอกอยู่ทนโท่ว่าถึงแล้ว เลยไปอีกก็คงไม่ไกลนัก ผมเองไม่แน่ใจแต่เพื่อความไม่ประมาทต่อสถานการณ์ เราก็ต้องคิดว่าไกลไว้ก่อน
ขณะนั้นก็มีจักรยาน ๔ คันไต่เนินขึ้นมาใกล้ประตูวัดที่เราพักอยู่ คงเป็นขบวนเที่ยวน้ำตกด้วยจักรยานเช่นเดียวกับเราเหมือนกัน กลุ่มนั้นมีเด็กสาวรุ่นทีนเอจ ๔ คน และเด็กชายอีก ๑ คน ทั้งหมดจูงจักรยานฝ่าเม็ดฝนขึ้นมา และผ่านเราไปโดยไม่แยแสกับสายฝน และเสียงเชื้อเชิญให้พักของพวกเราเลย เราต้องหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันอีกครั้งหนึ่ง ผมกับนายผีมีความเห็นขัดแย้งกันอย่างตรงกันข้าม ต่างคนต่างไม่ยอมแพ้ แม้ผมจะอ้างเอาตำแหน่งหัวหน้าคณะขึ้นมาข่มขู่ หมอก็ยังไม่ยอมจะดันทุรังไปท่าเดียว พอดีนายออดสรุปว่า
“ นี่นายสองคนจะมัวนั่งเถียงกันหาพระแสงสาสตรวุธไปทำไมกัน ฝนตกหนาเม็ดแล้วเห็นไหม จะอยู่ที่นี่หรือไปต่อ มันก็ต้องเปียกแน่ ๆ ข้อสำคัญฟิล์มกับกล้องจะเจ๊งเสียหมดน่ะซี อย่ากระนั้นเลย เราชวนกันไปขออาศัยพระท่านหลบฝน และกินข้าวกันเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ เพราะอย่างไรมันก็เกือบจะถึงเข้าไปตั้ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว “
พอพูดถึงเรื่องกิน นายผีกับผม ต่างก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ ชวนกันวิ่งอ้าวขึ้นไปทันที พอขึ้นไปถึงสันเนินและเข้าไปในวัด ซึ่งที่จริงเป็นศาลากว้างใหญ่หลังเดียวโดด ฝนก็ซัดจั้กลงมาพอดี เราลูบหน้าลูบตาพลางถอดรองเท้าถุงเท้า ยื่นออกไปแช่น้ำฝนเย็นฉ่ำ ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างมากมาย บนศาลาใหญ่นั้นมีผ้าเหลืองกั้นเป็นห้อง ๆ แบ่งให้พระและเณรอยู่รูปละห้อง ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ด้วยกันเพียงสี่รูปเท่านั้นเอง สมภารอายุมากแล้วท่าทางใจดี ไต่ถามทุกข์สุขพวกเราตามสมควร พร้อมกับอนุญาตให้พักอาศัยได้ตามสบาย
เรากราบพระพุทธรูปแล้วก็เลี่ยงออกมามุมหนึ่ง ให้ห่างไกลจากพระสงฆ์องค์เจ้า งัดห่อข้าวเหนียวและเครื่องประกอบทั้งหลายออกมาโจ้กันอย่างเต็มที่ เพราะเหนื่อยกันมามากแล้ว ช้างเชียงใหม่ตบด้วยน้ำฝนเย็นเจี๊ยบ ช่วยข้าวเหนียวเดินคล่องดีพิลึก ใครคนหนึ่งรำพึงออกมาดัง ๆ ภายหลังที่ได้เรอออกมาเสียงสนั่นแล้วว่า
“ ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอับโชคที่สุด ทั้งมนุษย์และเทวดาฟ้าดิน จะพากันขัดขวางเราสักเพียงใดก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้เราก็พร้อมแล้วที่จะสู้ต่อไป “
ฟังดูโก้หร่านเสียจนเพื่อนแทบจะสำลักช้างไปตาม ๆ กัน เราเหลืออาหารเก็บไว้อีกส่วนหนึ่ง ด้วยอดที่จะห่วงมื้อหน้าไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะกลับไปได้ถึงแค่ไหน และเมื่อพวกเราล้างไม้ล้างมือ ลงนั่งสูบบุหรี่ด้วยอารมณ์ที่ปลอดโปร่งที่สุดในวันนั้น ฝนก็ขาดเม็ดลง ท้องฟ้าใสสะอาดอีกวาระหนึ่ง และเวลาก็ล่วงเข้าบ่ายสามโมงครึ่ง
ขณะนั้นเราก็แว่วเสียงซู่ซ่าดังมาแต่ไกล ผมคิดว่าฝนจะตกลงมาอีก แต่มองดูรอบ ๆ ตัวก็ไม่เห็นมีเม็ดฝน แดดออกแจ่มจ้าแล้ว นายผีรีบยืนยันทันทีว่าเป็นเสียงน้ำตก ทีแรกไม่อยากเชื่อ แต่ฟัง ๆ ดูแล้วก็ยอมเชื่อ เป็นอันว่าเราใกล้จุดหมายเข้ามาเต็มทีแล้ว พวกเราชวนกันล่ำลาท่านสมภรออกเดินทางต่อไปอย่างกระฉับกระเฉง
พอรถแล่นลงจากเนินหน้าวัดเลี้ยวซ้ายไปอีกนิดเดียวเท่านั้น เราก็เห็นสายน้ำตกชะเงื้อมอยู่เบื้องหน้า อย่างแทบไม่ทันจะรู้เนื้อรู้ตัวเอาทีเดียว
เราฝากจักรยานสองคัน กับรองเท้าสามคู่ ไว้ที่ร้านขายเครื่องดื่มซึ่งอยู่ใกล้น้ำตกร้านหนึ่ง ในจำนวนที่มีอยู่ด้วยกันเพียงสองร้าน ทั้งนี้ด้วยเหตุผลของนายออดั่ว่า แม่ค้าร้านนี้สวยกล่า ซึ่งเราอีกสองคนก็เห็นด้วย แล้วก็ฉวยกล้องกับผ้าขาวม้าเตรียมลงเล่นน้ำให้คุ้มสักที ก็เจอเด็กสาว ๓-๔ คนที่ล่วงหน้ามาก่อน กำลังเล่นน้ำกันทั้งเครื่องทรงอย่างสนุกสนาน เข้าใจว่าคงจะเปียกฝนจนโชกก่อนแล้วเป็นแน่ พอพวกเราไปถึงพวกเขาก็กำลังจะกลับพอดี เราชวนให้ถ่ายรูปด้สยกันก็ไม่ยอมจะกลับท่าเดียว แต่พอเดินออกไปจนห่างแล้ว กลับหันมากวักมือเรียก ทำให้นายผีร่ำ ๆ จะปล่อยแก่วิ่งตามขึ้นไปเสียให้ได้ ต้องฉุดรั้งกันแทบตาย แต่ยังงั้นก็ยังได้ยินเสียงบ่นพึมพำ คงจะเสียดายโอกาสอยู่ครามครัน
น้ำตกแม่กลางที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้น แม้จะเป็นหน้าแล้ง ก็ดูสูงใหญ่และไหลซู่ซ่าเอาการ สายน้ำจากยอดผาพุ่งลงมาเป็นสองทาง กระทบแง่หินชั้นที่สอง แล้วก็ตกมารวมกันที่ชั้นที่สาม เสียงสนั่นครั่นครื้น สายน้ำแตกกระจายเป็นฟองฝอยน่าดู ยิ่งได้กระทบแสงแดดจาง ๆ ในยามนั้นด้วยแล้ว ยิ่งงามจับตาอย่างไม่มีอะไรเปรียบ ไม่เสียแรงที่หอบหิ้วสังขารฝ่าความลำบากทุรกันดารมากันจนถึงนี่ จากชั้นนี้สายน้ำก็แผ่กระจายไหลเรื่องลงมาตามผาหิน ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นเชิงเหมือนขั้นบันได จนถึงลำห้วยที่พวกเราทั้งหมดได้ลงไปแช่อยู่อย่างแสนสำราญบานใจ สายน้ำเน็นยะเยือกช่วยชำระล้างความชมุกชมอม และความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้หายไปได้หมดสิ้น อยากจะแช่อยู่อย่างนั้นจนค่ำ แต่ก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ฉะนั้นภายหลังจากที่ได้ชักรูปท่าทางและแง่มุมต่าง ๆ ไว้เป็นที่ระลึกจนฟิล์มหมด และได้ดำผุดดำว่ายกันจนปากเขียวไปตาม ๆ กันแล้ว เราจึงพากันขึ้นมาพักผ่อน อุดหนุนน้ำส้มแช่เย็นที่ร้านซึ่งเราฝากสัมภาระไว้ คนละขวดสองขวด ที่ว่าน้ำส้มแช่เย็นนั้นเป็นความจริง แต่ไม่ได้แช่ตู้เย็นเหมือนในกรุงเทพเท่านั้น เขาใช้วิธีทดน้ำขึ้นมา จากห้วยเบื้องล่างด้วยกลไกอย่างง่าย ๆ น้ำซึ่งเย็นเฉียบนั้นจะไหลราดรดขวดน้ำอัดลมอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย จึงทำให้เย็นพอใช้ได้ทีเดียว
เราได้ความรู้จากเจ้าของร้านฝ่ายชาย ซึ่งจะเกี่ยวดองเป็นญาติทางฝ่ายไหน ของแม่ค้าตาหวานผู้นั้นก็ไม่ทราบ ได้ความว่าน้ำตกที่เราเห็นอยู่นี้ เป็นชั้นสุดท้ายของทั้งหมดที่มีอยู่ด้วยกัน ๑๒ ชั้น ผู้เล่าได้ขึ้นไปเที่ยวมาแล้วทุกชั้น ผมดูแต่รูปที่เขาถ่ายมาประดับไว้ข้างฝา ลงความเห็นว่าชั้นที่ ๑๐ ดูเหมือนจะสวยที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่มีโอกาสที่จะได้ไปเห็นด้วยตาเป็นแน่ เพราะต้องปีนป่ายขึ้นไปด้วยลำแข้งเท่านั้น และกลับลงมาไม่ได้ในวันเดียว ต้องนอนค้างบนภูเขา ซึ่งเขายืนยันว่ามีเสือที่เท้าอาศัยอยู่ด้วยอย่างแน่นอน แต่จะดุร้ายหรือใจดีสักเพียงไหนยังสงสัยอยู่
เราคุยอะไรต่อมิอะไรพอได้ความรู้มาประดับสติปัญญา พอที่จะโม้ทับคนที่ไม่เคยไปได้โดยไม่ถูกขัดคอแล้ว ก็พากันอำลาออกเดินทางกลับเมื่อเวลาห้าโมงเย็น โดยไม่อาจลืมรอยยิ้มของแม่ค้าสาวตาคมคนนั้นได้เลย
เราทั้งหมดได้ความสดชื่นและความเข้มแข็ง คืนมาจากสายน้ำที่เย็นเยือกของน้ำตกแม่กลางแล้ว ฉะนั้นจึงไม่เป็นการแปลกประหลาดอะไรเลย ที่เราจะเดินทางกลับได้อย่างสบายอกสบ่ายใจ และรวดเร็วต่างกับเมื่อขาไปอย่างตรงกันข้ามทีเดียว เราผ่านเนินต่าง ๆ มาได้โยไม่ต้องเดินมากนัก เพราะเนินถัดไปจะต่ำกว่าที่ผ่านไปแล้วเสมอ แดดก็อ่อนลงรำไรใกล้จะลับยอดไม้ ไม่ทำให้ร้อนหรือเหน็ดเหนื่อยเลย เพียงชั่วโมงกว่า ๆ เราก็มาถึงแยกที่จะเข้าอำเภอจอมทอง
แทนที่จะเลี้ยวเข้าอำเภอ นายออดซึ่งเป็นโชเฟอร์ของผมในเที่ยวกลับนี้ กลับขี่รถโด่งออกทางหลวง ราวกับว่าจะกลับเชียงใหม่ด้วยขาทั้งสองข้างของเขายังงั้นแหละ ต้องห้ามปรามกันเสียงหลงจึงได้ยอมหยุดรถรออยู่ที่ปั๊มน้ำมันริมถนน เราจอดรถพิงต้นไม้ไว้ แล้วก็นั่งล้อมวงปรึกษาหารือกัน ว่าจะทำอย่างไรดีถ้าไม่มีรถกลับเชียงใหม่ เพราะเวลาก็ใกล้ค่ำลงไปทุกทีแล้ว แต่ก็ไม่มีผู้ใดให้ความเห็นที่พอจะอุ่นใจได้เลย ผมเห็นว่าพวกเราออกจะวิตกทุกข์ร้อนกัน จนดูเคร่งเครียดเกินความจำเป็นไปสักหน่อยแล้ว จึงงัดเอาช้างที่เหลือออกมาปลอบจิตกันเสียคนละกรุ๊บ พอจะถึงรอบของผมก็พอดีเห็นฝุ่นฟุ้งมาแต่ไกล ปรากฏว่าเป็นรถเมล์สายฝางเชียงใหม่ เราแทบจะลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น หรือทำอะไรที่บ้าบอยิ่งกว่านั้นด้วยความดีใจ ช่วยกันออกไปโบกไม้โบกมือ จนแทบว่ารถจะทับตายเสียก่อน
อีกครู่หนึ่งต่อมา เราก็ห้อตะบึงกลับเชียงใหม่ด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจเป็นที่สุด แม้ว่าจะมีสายฝนรออยู่ข้างหน้าก็ตาม ผมจึงเรียกหนี้สินที่ค้างชำระเมื่อกี้มาจัดการเสียโดยไว แล้วก็เวียนต่อไป รอบแล้วรอบเล่า โดยไม่กังวลเลยว่าจะไปถึงเชียงใหม่เอาสักกี่ทุ่มกี่ยาม ก็ชั่งหัวมันปะไร
และแล้วเรื่องที่ไม่ค่อยจะเป็นเรื่อง อันสืบเนื่องมาแต่การทุรทัศนาจรน้ำตกแม่กลาง ของเราก็เห็นจะต้องยุติลงเสียที เพราะถ้าไม่ยอมจบตรงนี้ก็ยังไม่ทราบว่าจะไปจบลงที่ตรงไหนดี เพราะเรายังวนเวียนอยู่ในเชียงใหม่อีกหลายวัน ถ้าจะเขียนต่อไปก็คงจะไม่เกี่ยวกับแม่กลางเสียเป็นแน่แท้
แต่จะไปเกี่ยวกับแม่อะไรต่อแม่อะไรเข้าบ้าง ก็เห็นจะต้องขอสงวนเอาไว้เป็นความลับก่อนครับ.
#############
วางเมื่อ ๗ ก.ย.๕๖ เวลา ๑๔.๕๗