++ ลูกเราต้องเก่งขนาดไหน ถึงจะภูมิใจคะ ++

เดี๋ยวนี้เห็นใครๆก็เคร่งเครียดกับการเรียนของลูก

เรามีลูกชาย 1 คนคะ ตอนนี้ก็อายุ 3 ขวบครึ่งแล้ว
เขาเป็นเด็กร่าเริง สดใส เข้ากับคนง่ายและซนระยิบ (- -")

ตอนเขาเด็กๆ เราวาดฝันไว้มากมาย จะทำงานเก็บเงินให้มากๆ
ส่งเขาเรียนโรงเรียนดีๆ อยากให้เขาเก่งดนตรี กีฬา ภาษา ศิลปะ
คือ... มันคงเป็นความฝันของพ่อแม่ทุกคนละมั้ง ที่อยากมีลูกเก่งๆ

พอเวลาผ่านไป ฝันก็ค่อยๆมลายหาย ..
ก็แค่มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆคนนึง เป็น Single mom
ผ่านบ้าน ผ่านรถ ค่าบัตรเครดิต โอ้ยย จะหาเงินจากไหนมาส่งลูกเรียนเทอมละ 6-7 หมื่น

เราเป็นคนชอบเด็กคะ ชอบดูกระบวนการคิดของเขา
พอมีลูกเองก็เริ่มรู้สึกว่า เด็กเขามีพัฒนาการที่เป็นไปตามช่วยวัยของเขา
พอขวบนึงจะเริ่มปีนป่าย สองขวบจะต่อต้าน สามขวบจะบราๆๆๆ ไปเรื่อยๆ
พอนึกย้อนไปถึงสมัยเราเด็กๆ กว่าเราจะเรียน กา ตา อา ก็ป.1
เราคิดเสมอว่า เด็กเล็ก - 6 ขวบ ควรเป็นเวลาที่ได้เล่นสนุก

เราตะเวนดูโรงเรียนให้ลูกอยู่หลายที่คะ ทั้งแบบแพง แบบสองภาษา และแบบเตรียมความพร้อม

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

สุดท้ายเราเลือกโรงเรียนเอกชนธรรมดาๆ ที่ไม่เน้นอะไรสักอย่าง
แต่เราเลือกเพราะ พื้นที่โรงเรียนร่มรื่น มีที่ให้เด็กเล่น เรามั่นใจว่าลูกเราจะได้เล่นสนุก
ที่สำคัญ ค่าเทอมก็ไม่ถึงกับทำให้แม่เป็นลม

ผลก็คือ ....

เวลาเราพาลูกออกไปเล่นกับเพื่อนๆในหมู่บ้าน (หมู่บ้านมีเด็กรุ่นๆเดียวกันราว 10 คน)
โดยส่วนใหญ่ เรียนโรงเรียนแพงๆ และเรียนสองภาษา

บรรดาแม่ๆ ก็จะมานั่งจับกลุ่มกันเวลาเด็กๆเล่น และคุยกันไปมาถึงพัฒนาการของลูกๆ
เด็กๆส่วนใหญ่ เวลาจะเล่นจะกิน ก็จะพูด Thank you , Very good , Good bye เท่าที่เด็กอนุบาลจะทำได้
ลูกเราก็พอจะพูดบ้าง แต่ส่วนใหญ่เขาจะ "ขอบคุณครับ" "สวัสดีครับ" "กลับก่อนนะครับ"

พอถามถึงการเรียน ... ลูกคนนั้นก็อ่าน ก-ฮ , A-Z , 1-10 ได้แล้ว
แต่ลูกเรายังแค่ท่องได้อยู่เลย ยังอ่านไม่ได้ถ้าไม่มีรูป ไก่ ไข่ ให้เห็น ศัพท์ภาษาอังกฤษก็ต้องชี้ที่รูป ถึงจะรู้ว่าคำว่าอะไร
ถ้ามานั่งพูด จิงโจ้ กุญแจ ผ้าห่ม ระนาด เขาตอบไม่ได้ แต่ถ้าชี้ไปที่รูปนั้นๆ เขาถึงจะตอบได้ (เหมือนเราทำได้แค่จำจากภาพเอา)

ทำให้เราแอบนอยด์อยู่เหมือนกันว่า ถ้าเรามีเงินส่งลูกเรียนดีๆ ลูกเราก็คงจะเก่งแบบลูกคนอื่นๆบ้าง
(ถึงแม้จะคิดว่า วัยของลูกเรา ยังควรที่จะเล่นมากกว่าเรียนแต่พอเห็นคนอื่นเก่งก็แอบนอยด์)


Mr.H หาข้อมูล วันนึงเรานั่งทำงานอยู่บนบ้าน แต่ก็ได้ยินเสียงเด็กๆเล่นกันอยู่ 4-5 คน (เด็ก 3-5 ขวบ)
คำพูดที่ได้ยินก็จะประมาณ "เฮ้ย ของพี่" "อย่าแย่งสิ" "เอามานี่" "ให้เราก่อน" "หยุดเดียวนี้"
แล้วก็ได้ยินเสียงลูกเราที่แทรกเรื่อยๆประมาณว่า "ขอเล่นหน่อยคับ" "คุณย่าครับอย่าเพิ่งให้(เพื่อน)กลับได้ไหมครับ (คุยกับย่าเพื่อน)"
"เดี๋ยวเราเล่นให้ดูนะ" "พี่ครับ เล่นให้ดูหน่อยสิ"

เราได้ยิน ก็ชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างไปดู เด็กๆเล่นกัน
พอนึกย้อนกลับไป ถึงแม้เขาจะเป็นเด็กบ้าพลังที่ซนมาก
แต่เขาก็จะหยุด ถ้าเราบอกว่าหยุด ไปไหนมาไหนเขาก็จะไหว้ผู้ใหญ่แบบไม่เคอะเขิน
เขาจะพูดคำว่าขอบคุณครับ เวลาที่ได้รับของ เขาพูดเพราะแบบโดยอัตโนมัติ
เขาตื่นตีห้าครึ่งไปโรงเรียนแบบไม่เคยงองแง
เขาตั้งใจเรียน ตอบคำถามเก่งเมื่ออยู่กับครู (แต่ก็ตั้งใจเล่น ไม่สนเรื่องเรียนเมื่ออยู่ที่บ้าน)
ทำให้แอบภูมิใจว่าถึงเราจะไม่มีเงินให้ลูกเราเท่ากับลูกของคนอื่น
แต่เขาก็เป็นเด็กที่รู้หน้าที่และเป็นเด็กดี

แม้ว่าเด็กจะยังคงพัฒนาไปเรื่อยๆ วันนึงสิ่งนี่อาจจะหายไป
แต่เราก็หวังว่า การที่เราปลูกฝังสิ่งนี้ให้เขาตั้งแต่เล็กๆ
มันก็น่าจะทำให้พัฒนาเป็นนิสัยของเขาได้เมื่อเติบโต
ส่วนเรื่องเรียน ค่อยว่ากันเมื่ออยู่ประถม .. ถ้าเขาจะไม่ชอบเรียน
ก็จะสนับสนุนเขา ไม่ว่าจะดนตรี กีฬา ศิลปะ ขอให้เขามีความสนใจในอะไรก็ตาม
เราก็ยินดีที่จะให้ลูกเราได้เลือกเอง...
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ผมเป็นคนนึงที่อยู่ในสายงานทางด้านการศึกษา
และสัมผัสกับเด็กเก่งระดับประเทศมาพอสมควร
ตัวผมเองสมัยเรียนจบใหม่ก็วางแผนเตรียมหาความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกให้เก่งทำอย่างไร
ทั้งลงคอร์สเรียน เข้าอบรม ไปขอฝึกงาน ตามโรงเรียนดังๆ หลายแนวทาง
สุดท้าย...ผมได้คำตอบง่ายจากการไปเรียนปรัชญา
จากอาจารย์ชาวจีนว่าชีวิตคนเราค้นหาอะไร
ก็จงเตรียมตัวเพื่อสิ่งนั้น....
ผมตัดสินใจว่าเราทุกคนล้วนมีเป้าหมายคือการแสวงหาความสุขในชีวิต
หน้าที่การงานดี บ้าน รถ เงินเก็บ ล้วนเป็นสิ่งที่เราแสวงหาเพื่อ ไปสู่สิ่งที่เรียกว่าความสุข
ผมสนับสนุนสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ในส่วนของ เลือกสถานที่สงบร่มรื่น เหมาะสมวัย ให้กับลูก
โดยไม่มองไปที่การยัดเยียดวิชาการให้เด็กมากเกินไป
ส่วนเรื่องที่กังวลนั้น เพราะเราไปคิดเปรียบเทียบกับเด็กซึ่งผ่านสภาพการเลี้ยงดูมาต่างกัน
จึงทำให้รู้สึกว่าลูกเราด้อยกว่า...
แต่คุณต้องไม่ลืมว่า วิชาการสร้างเพิามภายหลังได้
แต่บุคลิก อุปนิสัย อารมณ์  ที่บ่มเพาะในเด็กนั้น มันมาเปลี่ยนแปลงภายหลัง
เมื่อเด็กโตแล้ว ทำได้ยากยิ่ง....
ผมตอนนี้มีลูกชายวัย สองขวบกว่า  เล่นซนมาก เอาแต่ใจตัวเอง เจ้าอารมณ์ และยังไม่พูด
แม้ว่าลูกเพื่อนๆ จะพูดรู้เรื่องแล้ว บางคนไปโรงเรียนแล้ว
ผมก็ไม่ได้คิดจะเอาลูกไปเปรียบเทียบกับลูกใคร
ยังคงให้เค้าได้เล่นดิน หิน ทราย น้ำ ต้นไม้ ใบหญ้า
ตามแต่ที่เค้าชอบ  คอยเติมเต็ม ให้เค้าได้พัฒนาทุกๆด้าน
ยกเว้นด้านเดียวที่ผมเฉยๆ คือการเรียนเชิงวิชาการ
นับเลข ท่องตัวอักษร
ในมุมมองผม การสร้างเด็กเรียนเก่งนั้นทำง่ายมาก
ถ้าเด็กคนนั้นมีพีฒนาการทางสมองปกติ ย้ำว่าแค่ปกตินะครับ    ไม่ต้องถึงขั้นดีเลิศ  
และเค้าพร้อมที่จะเรียนรู้....
ผมไม่เคยคิดที่จะให้ลูกเรียนในโรงเรียนดังเพียงเพราะเรื่องวิชาการ
เหตุผลหลัก ถ้าผมจะนำลูกเข้าเรียนโรงเรียนแบบนั้น ในระดับม.ปลาย ก็คือ  สังคมเพื่อนในโรงเรียนเท่านั้นเองครับ....
ผมเองตั้งแต่คลุกคลีกับวงการนี้มา
ก็ไม่เชื่อเลยว่าการยัดเยียดความรู้ครั้งละมากๆ
วิชาการเยอะๆ เรียนพิเศษ ทุกวัน
เป็นหนทางที่จะทำให้ลูกเก่ง...
ผมเคยให้ทุนการศึกษาน้องคนนึงที่สอบติดหมอ
แต่ไม่มีเงินเรียน....บ้านยากจนมาก
ต้องยืมหนังสือห้องสมุด มานั่งอ่านระเบียงนอกบ้าน
เพราะอ่านในบ้านจะทำให้ พ่อ แม่ นอนไม่ได้
บ้านเค้าเล็กมีห้องเดียว.....
นี่ก็เป็นตัวอย่างนึง...ที่น่าสนใจว่าเค้าเก่งได้อย่างไร
.....นอกเรื่องไปไกลเลย.....สุดท้ายถ้าเป็นผม คงเลือกให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อมดี อากาศดี เพื่อนดี
ลูกอารมณ์ดี  มากกว่าวิชาการเด่น ในตอนที่เค้ายังเด็กครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่