รัก...ระหว่างทาง

พักนี้เห็นกระทู้หวานๆแบบนี้มาแรง วันๆไม่เป็นอันทำงาน นั่งอ่าน นั่งเขิน นั่งยิ้มแก้มจะแตกกับความหวาน ความน่ารักของหลายๆคู่ แล้วก็คันไม้ คันมือ อยากจะเล่าบ้างจัง

เคยได้ยินวลีลอยลมวลีนึงค่ะว่า "ความสำคัญของการเดินทางนั้น ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางหรอก แต่เรื่องราวระหว่างทางนั้นสำคัญยิ่งกว่า" ไม่เห็นด้วยทั้งหมดหรอกนะคะ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า เรื่องราวระหว่างทางนั้น มันทำให้อุ่นหัวใจได้จริงๆค่ะ

ฤดูหนาว สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตก็คงหนีไม่พ้นภาคเหนือ ก็แหม บรรยากาศเอย ทิวทัศน์เอย ทั้งอากาศเย็นๆที่คนไทยเราไม่ค่อยจะได้สัมผัสซักเท่าไหร่ เทือกเขาสลับซับซ้อน ดอกไม้สีสวย บรรยากาศมันช่างน่าตกหลุมรักจริงๆนี่นา ใช่ไหมคะ

เอาล่ะเข้าเรื่องดีกว่า เดี๋ยวจะหนีกันไปซะก่อน เรื่องราวของเราเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปเที่ยวจังหวัดที่เรียกได้ว่า เป็นเมืองแห่งความรักของประเทศไทย จังหวัดน่าน นั่นเองค่ะ ที่เรียกว่าเป็นเมือแห่งความรัก มาจากภาพเขียนฝาผนัง ปู่ม่าน ย่าม่าน ค่ะ เราว่าน่ารัก แล้วก็โรแมนติกดี

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่ "อิน" เพื่อนสนิทเราคนนึงโทรมาชวนไปเที่ยว "ดอยเสมอดาว" และบังเอิญตอนนั้นเรากำลังนั่งดูรูปของพี่ตากล้องคนนึงที่ถ่ายจากดอยเสมอดาว เรียกว่าเห็นแล้วตกหลุมรัก และคิดว่า ฉันจะต้องไปดอยเสมอดาวบ้างแล้วล่ะ และภาพนั้นก็ทำให้ฉันตอบตกลงคำชวนของเพื่อนโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยแม้แต่วินาทีเดียว และมาถามเพื่อนตอนหลังว่า เราจะไปกันยังไง ไปกับใครบ้าง ได้คำตอบมาว่า ไปกับเพื่อนๆในคณะของอิน อีก 2 คน เพื่อนพยาบาล 1 คน และผู้นำทัพ เอ๊ย นำทริปของเราในครั้งนี้เป็นเจ้าของร้านอาหารหลังมหาวิทยาลัย ที่อินและเพื่อนๆชอบไปสิงสถิตอยู่นั่นเอง พี่ผู้ชายเรียนคณะเดียวกับอิน หรือเปล่าเราจำไม่ได้แล้ว เพื่อนๆเรียกพี่คนนี้ว่า "ป๋า" และพี่ผู้หญิง เรียนคณะเดียวกับเรา แต่คนละเอก และรุ่นก็ห่างกันพอสมควร เลยไม่รู้จักกันมาก่อน แต่เราก็ไม่ได้แคร์การไปโดยไม่รู้จักใคร เพราะปกติเป็นคนชอบสร้างปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ๆเสมอ (แต่เพื่อนในทริปแคร์รึเปล่า เราก็ลืมถามค่ะ แหะๆ)

อิน : ต้องไปให้ได้นะ เราบอกพี่ๆเค้าไปแล้วนะว่าเธอไปแน่นอน
มิ้ว : อื้อไปสิ ลางานแล้วเนี่ย
อิน : เออนี่ ไอ้บี๋มันถามเราด้วยว่าเธอสวยป่าว
มิ้ว : แล้วอินว่าไง
อิน : เราบอกว่า "สำหรับกูไม่รู้ แต่สำหรับกูเค้าน่ารักมาก"
มิ้ว : นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ปี 1 เราจะคิดว่าอินจีบเรา 555
อิน : ก็จีบไม่ติดมาตั้งแต่ปี 1แล้วไง 555


หลังจากตอบตกลงกับเพื่อนไปแล้วก็มานั่งกุมขมับค่ะ เพราะเราต้องลางานยาว 5 วัน แล้วงานเราค่อนข้างลายาก เพราะเราเป็นผู้ประกาศข่าวช่องเคเบิ้ลท้องถิ่น ก็ต้องสลับคิวกับพี่ผู้ประกาศอีกคน วุ่นวายกันไปหมดทั้งสตู จนตอนแรกถอดใจจะไม่ไปแล้ว แต่ก็ลงคิวจนเรียบร้อย และเจ้านายเซ็นใบลาให้นาทีสุดท้าย ได้ลายเซ็นเจ้านายก็สบายใจไปได้เรื่องนึง แต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นยังมี คือ เราเพิ่งย้ายมาอยู่จังหวัดที่ทำงานได้ไม่นาน เสื้อผ้าก็เอามาแค่ที่ใช้ ที่เหลือก็อยู่บ้านบ้าง กทม.บ้าง ซึ่งไม่มีเสื้อผ้าที่พอจะใส่ในที่ที่อากาศหนาวได้เลย และเราต้องอ่านข่าวตอน 6 โมงเย็น ซึ่งจะเสร็จตอน 6 โมงครึ่ง และเรายังไม่ได้เตรียมข้าวของอะไรสักอย่าง ก็เริ่มนอย อ่านข่าวผิดๆถูกๆอยู่หลายรอบ เพราะไม่มีสมาธิ และลุ้นว่าจะได้ไปมั้ย จวนเจียนเวลาเต็มทีแล้วเรายังไม่รู้ชะตาตัวเองเลยว่าจะไปได้มั้ย พออ่านข่าวเสร็จก็พุ่งออกจากสตู ไปตลาดนัดที่อยู่ใกล้หอเลยค่ะ หาซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ด้วยความเร็วแสง และเก็บสมบัติทุกสิ่งยัดใส่กระเป๋า ย้ำว่ายัดจริงๆค่ะ เพราะไม่มีเวลาพับอะไรแล้ว เราต้องไปขึ้นรถตู้ที่วินซึ่งไม่ไกลจากหอนัก เพื่อเข้า กทม และไปรวมตัวกับเพื่อนๆที่องครักษ์

รถออกจากจังหวัดที่เราอยู่ประมาณ 19.30 ไปถึงจุดหมายราว 22.00 ซึ่งเรารู้สึกว่ามันนานมาก รถติดชนิดที่ว่าถ้าอยากจะลงเดินไปซื้อกล้วยแขกซักถุงก็คงจะทำได้ แต่บังเอิญแถวนั้นไม่มีร้านกล้วยแขกน่ะสิคะ ถึง กทม.แล้ว สิ่งที่เราต้องทำต่อคือหารถไปองครักษ์ คลอง 16 จ.นครนายก เพราะตอนนั้นรถตู้ที่จะไปองครักษ์ ไม่มีแล้ว เราโทรหาอิน

มิ้ว : อิน เราถึงรังสิตแล้วนะ แต่ไม่มีรถแล้วอะ เดี๋ยวเรานั่งแทกซี่ไปนะ
อิน : ไม่ต้องๆ เพื่อนเราก็ยังอยู่ กทม.อยู่เลย เดี๋ยวรอมาพร้อมเพื่อนเรานะ เดี๋ยวเราเอาเบอร์มิ้วให้มันแล้วกัน
มิ้ว : โอเค งั้นเราไปรอที่โรงหนังนะ จะได้หาอะไรกินด้วย

หลังจากวางสายอินไปซักพักก็มีโทรศัพท์เข้า เป็นเสียงผู้หญิงซึ่งก็คือเพื่อนพยาบาลของอินนั่นเอง เรารออยู่ที่โรงหนังชื่อดังย่านรังสิตราว 3 ชั่วโมง นั่งอ่านหนังสือ กินขนม ช็อปปิ้ง จนไม่รู้จะทำอะไร ก็นั่งรอ จนในที่สุดทุกคนก็มารับเรา ดีใจที่สุด เอาน่ะถึงจะรอนานหน่อย แต่ก็ไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่อีกตั้งหลายร้อยละนะ แอบงกเบาๆนะเรา แถมที่นั่งรอก็ผู้คนพลุกพล่าน มีขนมกิน รอเพลินๆก็อิ่มพุงกางไปเหมือนกัน

เพื่อนอินโทรเรียกเราให้ออกมารอริมถนน ไม่กี่อึดใจรถเก๋งซิวิครุ่นตาโต สีบรอนก็ตวัดล้อทั้ง 4 มาจอดเทียบข้างเรา ชนิดที่ว่าถ้าเหยียบเท้าได้คงเหยียบไปแล้ว รถคันนี้คือรถของนาย "บี๋" ด้านข้างคนขับคือ "หมอ" ฉายาหมอนะคะ ไม่ได้เป็นหมอ และไม่ได้ชื่อหมอ (ส่วนที่นั่งของหมอ ต่อมากลายเป็นที่ประจำของเราล่ะ) และเบาะหลังคือพยาบาลสาวที่โทรหาเรานั่นเอง เราเปิดประตูหลัง โยนสัมภาระมากมายเข้าไปในรถ พร้อมทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง ส่งเสียงทักทายเพื่อนใหม่ 2-3 ประโยค เพราะยังติดสายกับเพื่อนสาวที่โทรมาปรับทุหข์เรื่องแฟน เลยไม่ได้คุยกับใครเลย พอมานึกถึงตอนนี้รู้สึกตัวเองมารยาทแย่จัง แต่จะให้ทิ้งเพื่อนในสายที่กำลังร้องไห้ราวกับโลกจะแตกก็ไม่ได้ ขับรถไปได้ซักพักชาวคณะก็เริ่มหิว นายบี๋เลี้ยวรถขวับ!!! จอดร้านชายสี่หมี่เกี๊ยวริมทาง ไม่ถงไม่ถามซ้ากคำ ว่าใครจะกินอะไร แต่ชาวคณะก็น่ารัก กินง่าย ทุกคนสั่งอาหารเรียบร้อย เรายังคงนั่งคุยกับยัยเพื่อนรักบ่อน้ำตาแตก พออาหารมาเสิร์ฟ ปรากกว่าเกินมา 1 ที่ เพราะเราไม่ได้สั่ง เนื่องจากกินอิ่มแล้ว นายบี๋เลยอาสาได้จังหวะน่ารักพอดี "เดี๋ยวผมจัดการเอง" แล้วก็คว้าชามบะหมี่ไปกินอย่างเอร็ดอร่อย ดูท่าทางหิวโหยอย่างกับไม่ได้กินข้าวมาซักอาทิตย์นึงแน่ะ เราแอบคิดในใจว่า ผู้ชายคนนี้กินเก่งชะมัด นั่นมันบะหมี่พิเศษ 2 ชามนะ!!!

ปลอบใจเพื่อนรักเสร็จ ก็ถึงเวลาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่อย่างเป็นทางการซะที พยาบาลสาวชื่อไหม ผู้ชายตัวเล็กหนวดเคราเฟิ้ม ตาหวาน ชื่อหมอ และผู้ชายร่างใหญ่ สูงโปร่ง ปากบาง กินบะหมี่พิเศษ 2 ชามชื่อบี๋ และผู้หญิงร่างบาง สูงโปร่งชื่อมิ้ว เอ๊ะ! นั่นเราเองนี่นา...

หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จ ก็พูดคุยกันระหว่างนั่งรอแม่ค้าคิดเงิน แล้วนายบี๋ก็พูดขึ้นมาว่า

"เพื่อนผมมันพูดถึงคุณซะจนผมจินตนาการว่าคุณต้องสวยมากแน่ๆ ... ผมคิดว่าคุณจะสวยกว่านี้ซะอีก"

หืม!!! อะไรนะ นายบี๋!!!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่