อดีตผู้จัดการส่วนตัวของ อดีตนางแบบชื่อดัง “ยุ้ย รจนา” ยืนยันไม่ได้เทกยาแล้วสติแตก เผยก่อนหน้านี้ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ แต่พอได้ไปอยู่กับ “ป้ามหาภัย” พาไปเดินแบบก็กินเหล้าสูบบุหรี่หนัก สุดท้ายเอาไปปล่อยทิ้งไว้บนสะพานลอย ก่อนจะกลายเป็นคนเร่ร่อน สุดสงสารไม่มีใครรับยุ้ยไปดูแล
"โจ สาโรจน์ ณ นคร" อดีตผู้จัดการส่วนตัวของ “ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา” เผยสมัยที่ดูแลยุ้ยไม่เคยกินเหล้าสูบบุหรี่ แต่ตอนหลังยุ้ยไปอยู่ในความดูแลของคนอื่น และ ย้ายไปอยู่กับคนโน้นคนนี้ที จนกระทั่งล่าสุดไปอยู่กับ “คุณป้ามหาภัย” คนหนึ่ง ที่พาไปเดินแบบทำให้กลับมากินเหล้าสูบบุหรี่อย่างหนัก และภายหลังยัยป้าคนดังกล่าวก็พาทิ้งไว้ที่บนสะพานลอยกลายเป็นคนเร่ร่อนมาครั้งหนึ่งแล้ว
“ผมรู้จักกับยุ้ยตั้งแต่ปี 2000 ที่งานแอลแฟชั่นวีค ก็มีการแลกเบอร์กันและยุ้ยก็ไปเดินแบบที่เมืองนอก มาเจอเขาอีกทีตอนที่ไปออกรายการหนึ่ง ก็ทราบว่าเขาป่วยเป็นไพโบล่าร์สารในสมองไม่เท่ากันลำบาก ก็เลยไปเยี่ยมเขาตั้องใจเอาเงินเอาเสื้อผ้าไปให้ ตอนนั้นยุ้ยยังรักษาตัวอยู่พอออกทีวีไปก็มีคนเข้ามาหาเขาเยอะ เขาก็จัดลำดับอะไรได้ไม่ดี พอเริ่มมีงานเขาเลยขอให้ช่วยเขาดูหน่อยได้ไหม เพราะเขาจัดลำดับอะไรไม่ได้ เราก็โอเคช่วยดูแลแต่เป็นช่วยดูในเรื่องของสัญญาการรับงาน แต่การจ่ายเงินก็ให้ลูกค้าจ่ายกับยุ้ยไปเลยเราไม่เกี่ยวข้อง”
“จากนั้นก็มีการตั้งแฟนเพจของยุ้ยขึ้นมาและมีการทำกิจกรรมมีทติ้งกับน้องๆ ช่วงนั้นพอเขาเริ่มกลับมามีชื่อเสียงคนก็เข้ามาหาเยอะ และเขาก็มาบอกว่ามีพี่คนหนึ่งเขาจะมาช่วยดูแลและจะหามีงานให้ทำตลอดมีพาวเวอร์ในวงการ เราก็โอเคยินดีที่เขาจะได้คนดุแลที่ดี เราก็โอเคให้เขาไปทำงานด้วยกัน แต่ถ้ามีอะไรก็โทรมาปรึกษากันได้”
“ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เจอเขาเลย 1 ปี และเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาก็มีโรงพยาบาลโทรศัพท์มาถามว่า เป็นญาติกับยุ้ยหรือเปล่า มีคนไปเจอยุ้ยเร่ร่อนอยู่ที่สะพานลอย เขาจำอะไรไม่ได้จำได้แต่เบอร์โทรของโจ เราก็รีบไปหาเขาที่โรงพยาบาลเขาก็จำเราได้และก็พูดคุยกัน เขาก็เล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมาเขาไปอยู่กับคนโน้นคนนี้ครั้งละ 2 - 3 เดือนและไม่ได้กินยาเพราะไม่มีเงิน ผมก็เชคกับทางคุณหมอว่าเขากลับไปเทกยาหรือไม่ ซึ่งคุณหมอก็ยืนยันว่าไม่ได้ใช้ยาแต่มีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดนิดหน่อย”
“ก่อนเดือนกรกฏาคมเขาไปอยู่กับป้าคนหนึ่ง ซึ่งป้าคนนี้เขาตามยุ้ยไปทำงานที่ร้านเพชรขอนแก่น ร้านเพชรรู้จักกับป้าคนนี้และก็เบิกเงินไป 50,000 บาท ระหว่างทำงาน ยุ้ยก็กินเหล้าและสูบบุหรี่ตลอดเวลา แต่สามารถทำงานได้ เราฟังแล้วก็แปลกใจทำยุ้ยไปทำแบบนั้น เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับเราเขาไม่เคยแตะต้องเรื่องพวกนี้เลย”
“และยุ้ยก็เล่าให้ฟังต่อว่า วันหนึ่งป้าคนนี้ก็พายุ้ยออกไปข้างนอกและพามาทิ้งไว้ที่สะพานลอยเขาไปไหนไม่ถูกก็เร่ร่อนไปเรื่อยจนกระทั่งมาอยู่โรงพยาบาล ผมก็เลยติดต่อให้พ่อของยุ้ยมาหาที่โรงพยาบาล ก็คุยกับพ่อว่าจะช่วยหาที่อยู่ให้ยุ้ยและจะเปิดครอสสอนเดินแบบให้ แต่ระหว่างที่เตรียมงานไม่รู้จะให้ยุ้ยไปอยู่ไหนให้พ่อรับยุ้ยไปดูแลก่อน พ่อก็บอกว่า พ่อทำงานที่กรุงเทพที่พักก็มีแต่ผู้ชายคงไม่สะดวก ก็เลยให้กลับไปอยู่กับแม่เลี้ยงที่ต่างจังหวัด”
“ช่วงปลายเดือนสิงหาคมเขาก็ยังอยู่ที่ต่างจังหวัด มีช่างภาพอังกฤษมาเยี่ยมยุ้ยเพื่อไปเก็บข้อมูลถ่ายทำสารคดีถ่ายประวัติเรื่องราวของเขา และจู่ๆ ก็มาเป็นข่าวว่ากลายเป็นคนเร่ร่อน เห็นข่าวแล้วตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นอย่างนี้ได้ไง”
“เท่าที่ได้คุยกับคุณหมอมาหลักๆ ของคนที่ไบโพล่าร์จะต้องรับยาตลอดชีวิตถ้าหยุดยาจะเกิดอาการ คนเป็นโรคนี้ไม่ใช่โรคจิตไม่ใช่คนบ้าแต่สารหลั่งไม่เท่ากัน ควรที่จะพบหมออย่างต่อเนื่องและที่สำคัญเลยเขาจะต้องอยู่กับคนที่เอาใจใส่ดูแลต้องเข้าใจเขา แต่ยุ้ยนี่ค่อนข้างลำบากนะ เพราะพ่อกับแม่เขาเลิกกัน พ่อเขาก็ทำงานที่กรุงเทพ เขามีพี่ชายด้วยนะแต่ก็ไม่มีใครรับเขาไปดูแล พ่อเขาก็รักยุ้ยมากแต่ก็คงไม่สามารถจะดูแลได้ ตอนนี้เลยไม่รู้จะยังไง หมอก็ยังไม่ให้ใครเขาเยี่ยม ก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะได้เยี่ยมอยากจะช่วยเหลือ”
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9560000111072
อดีตผู้จัดการส่วนตัวแฉ “ยุ้ย รจนา” ก่อนเร่ร่อน เจอ “ป้ามหาภัย” พาไปเดินแบบกินเหล้าสูบบุหรี่ เอาไปปล่อยทิ้งสะพานลอย
"โจ สาโรจน์ ณ นคร" อดีตผู้จัดการส่วนตัวของ “ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา” เผยสมัยที่ดูแลยุ้ยไม่เคยกินเหล้าสูบบุหรี่ แต่ตอนหลังยุ้ยไปอยู่ในความดูแลของคนอื่น และ ย้ายไปอยู่กับคนโน้นคนนี้ที จนกระทั่งล่าสุดไปอยู่กับ “คุณป้ามหาภัย” คนหนึ่ง ที่พาไปเดินแบบทำให้กลับมากินเหล้าสูบบุหรี่อย่างหนัก และภายหลังยัยป้าคนดังกล่าวก็พาทิ้งไว้ที่บนสะพานลอยกลายเป็นคนเร่ร่อนมาครั้งหนึ่งแล้ว
“ผมรู้จักกับยุ้ยตั้งแต่ปี 2000 ที่งานแอลแฟชั่นวีค ก็มีการแลกเบอร์กันและยุ้ยก็ไปเดินแบบที่เมืองนอก มาเจอเขาอีกทีตอนที่ไปออกรายการหนึ่ง ก็ทราบว่าเขาป่วยเป็นไพโบล่าร์สารในสมองไม่เท่ากันลำบาก ก็เลยไปเยี่ยมเขาตั้องใจเอาเงินเอาเสื้อผ้าไปให้ ตอนนั้นยุ้ยยังรักษาตัวอยู่พอออกทีวีไปก็มีคนเข้ามาหาเขาเยอะ เขาก็จัดลำดับอะไรได้ไม่ดี พอเริ่มมีงานเขาเลยขอให้ช่วยเขาดูหน่อยได้ไหม เพราะเขาจัดลำดับอะไรไม่ได้ เราก็โอเคช่วยดูแลแต่เป็นช่วยดูในเรื่องของสัญญาการรับงาน แต่การจ่ายเงินก็ให้ลูกค้าจ่ายกับยุ้ยไปเลยเราไม่เกี่ยวข้อง”
“จากนั้นก็มีการตั้งแฟนเพจของยุ้ยขึ้นมาและมีการทำกิจกรรมมีทติ้งกับน้องๆ ช่วงนั้นพอเขาเริ่มกลับมามีชื่อเสียงคนก็เข้ามาหาเยอะ และเขาก็มาบอกว่ามีพี่คนหนึ่งเขาจะมาช่วยดูแลและจะหามีงานให้ทำตลอดมีพาวเวอร์ในวงการ เราก็โอเคยินดีที่เขาจะได้คนดุแลที่ดี เราก็โอเคให้เขาไปทำงานด้วยกัน แต่ถ้ามีอะไรก็โทรมาปรึกษากันได้”
“ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เจอเขาเลย 1 ปี และเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาก็มีโรงพยาบาลโทรศัพท์มาถามว่า เป็นญาติกับยุ้ยหรือเปล่า มีคนไปเจอยุ้ยเร่ร่อนอยู่ที่สะพานลอย เขาจำอะไรไม่ได้จำได้แต่เบอร์โทรของโจ เราก็รีบไปหาเขาที่โรงพยาบาลเขาก็จำเราได้และก็พูดคุยกัน เขาก็เล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมาเขาไปอยู่กับคนโน้นคนนี้ครั้งละ 2 - 3 เดือนและไม่ได้กินยาเพราะไม่มีเงิน ผมก็เชคกับทางคุณหมอว่าเขากลับไปเทกยาหรือไม่ ซึ่งคุณหมอก็ยืนยันว่าไม่ได้ใช้ยาแต่มีแอลกอฮอล์อยู่ในเลือดนิดหน่อย”
“ก่อนเดือนกรกฏาคมเขาไปอยู่กับป้าคนหนึ่ง ซึ่งป้าคนนี้เขาตามยุ้ยไปทำงานที่ร้านเพชรขอนแก่น ร้านเพชรรู้จักกับป้าคนนี้และก็เบิกเงินไป 50,000 บาท ระหว่างทำงาน ยุ้ยก็กินเหล้าและสูบบุหรี่ตลอดเวลา แต่สามารถทำงานได้ เราฟังแล้วก็แปลกใจทำยุ้ยไปทำแบบนั้น เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับเราเขาไม่เคยแตะต้องเรื่องพวกนี้เลย”
“และยุ้ยก็เล่าให้ฟังต่อว่า วันหนึ่งป้าคนนี้ก็พายุ้ยออกไปข้างนอกและพามาทิ้งไว้ที่สะพานลอยเขาไปไหนไม่ถูกก็เร่ร่อนไปเรื่อยจนกระทั่งมาอยู่โรงพยาบาล ผมก็เลยติดต่อให้พ่อของยุ้ยมาหาที่โรงพยาบาล ก็คุยกับพ่อว่าจะช่วยหาที่อยู่ให้ยุ้ยและจะเปิดครอสสอนเดินแบบให้ แต่ระหว่างที่เตรียมงานไม่รู้จะให้ยุ้ยไปอยู่ไหนให้พ่อรับยุ้ยไปดูแลก่อน พ่อก็บอกว่า พ่อทำงานที่กรุงเทพที่พักก็มีแต่ผู้ชายคงไม่สะดวก ก็เลยให้กลับไปอยู่กับแม่เลี้ยงที่ต่างจังหวัด”
“ช่วงปลายเดือนสิงหาคมเขาก็ยังอยู่ที่ต่างจังหวัด มีช่างภาพอังกฤษมาเยี่ยมยุ้ยเพื่อไปเก็บข้อมูลถ่ายทำสารคดีถ่ายประวัติเรื่องราวของเขา และจู่ๆ ก็มาเป็นข่าวว่ากลายเป็นคนเร่ร่อน เห็นข่าวแล้วตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นอย่างนี้ได้ไง”
“เท่าที่ได้คุยกับคุณหมอมาหลักๆ ของคนที่ไบโพล่าร์จะต้องรับยาตลอดชีวิตถ้าหยุดยาจะเกิดอาการ คนเป็นโรคนี้ไม่ใช่โรคจิตไม่ใช่คนบ้าแต่สารหลั่งไม่เท่ากัน ควรที่จะพบหมออย่างต่อเนื่องและที่สำคัญเลยเขาจะต้องอยู่กับคนที่เอาใจใส่ดูแลต้องเข้าใจเขา แต่ยุ้ยนี่ค่อนข้างลำบากนะ เพราะพ่อกับแม่เขาเลิกกัน พ่อเขาก็ทำงานที่กรุงเทพ เขามีพี่ชายด้วยนะแต่ก็ไม่มีใครรับเขาไปดูแล พ่อเขาก็รักยุ้ยมากแต่ก็คงไม่สามารถจะดูแลได้ ตอนนี้เลยไม่รู้จะยังไง หมอก็ยังไม่ให้ใครเขาเยี่ยม ก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะได้เยี่ยมอยากจะช่วยเหลือ”
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9560000111072