เกร็ดสามก๊ก
ผู้เป็นใหญ่ฝ่ายเหนือ
ตอนที่ ๓ เสียเนื้อเพื่อแลกเสือ
เล่าเซี่ยงชุน
ในขณะที่ โจโฉ ยกทัพใหญ่จะไปตีเมืองชีจิ๋วนั้น ตัว เล่าปี่ อยู่ที่เมือง เสียวพ่ายกับ เตียวหุย ส่วน กวนอู อยู่รักษาครอบครัวของเล่าปี่ที่เมืองแห้ฝือ และเมือง ชีจิ๋วก็ให้นายทหารรองสองคนคุมทหารรักษาอยู่
โจโฉก็ยกทหารมุ่งไปทางเมืองเสียวพ่ายก่อน จัดการแบ่งทหารทั้งหมดออกเป็นสิบเอ็ดกอง กองหนึ่งให้อยู่รักษาค่าย อีกแปดกองให้นายทหารเอกคุมไปตั้งนอกค่ายทั้งแปดทิศ ถ้ามีกองทัพผู้ใดเข้าปล้นค่ายทางทิศใด ก็ให้ทหารทั้งแปดกองนั้นตีกระหน่ำล้อมเข้ามา ส่วนอีกสองกองให้ยกไปสกัดอยู่ปากทางเมืองชีจิ๋วกองหนึ่ง เมืองแห้ฝือกองหนึ่ง ไม่ให้ยกมาช่วยกันได้
เล่าปี่กับเตียวหุยปรึกษากันเป็นอันดีแล้ว ก็ยกกำลังเข้าตีค่ายโจโฉตอน ดึก ก็เลยถูกทหารทั้งแปดกองของโจโฉตีแตกกระจาย เตียวหุยซึ่งเป็นกองหน้านั้นเหลือ ทหารอยู่เพียงสี่สิบคน จะหนีไปเมืองไหนก็ไม่ได้ เลยพากันขึ้นไปอยู่บนเขาบองเอี๋ยง
ส่วนเล่าปี่กองหลังก็เหลือไพร่พลประมาณสามสิบเศษ แตกหนีไปคนละทางกับเตียวหุย ก็เจอกับทหารเอกของโจโฉคอยดักอยู่ระหว่างทางเข้าอีก เลยตกใจไม่คิดจะสู้รบ ทิ้งทหารขับม้าหนีเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียว ควบไปทั้งวันทั้งคืนเป็นระยะทางประมาณพันเส้นก็ถึงเมืองเซียงจิ๋วซึ่ง อ้วนถำ บุตรของ อ้วนเสี้ยว เป็นเจ้าเมืองอยู่ อ้วนถำก็ออกมาคำนับรับรองเป็นอันดี เล่าปี่บอกความทั้งหลายที่ผ่านมาให้ฟัง แล้วว่าจะไปอาศัยอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว อ้วนถำก็ให้แต่งโต๊ะมาเลี้ยงดูเต็มที่ และมีใบบอกไปถึงอ้วนเสี้ยวให้รู้ล่วงหน้าก่อน แล้วจึงจัดทหารนำเล่าปี่ไปส่งถึงเมืองกิจิ๋ว
อ้วนเสี้ยวก็ออกมารับถึงนอกเมือง ถ้อยทีถ้อยคำนับกันแล้ว อ้วนเสี้ยวก็พาเล่าปี่เข้าไปในเมือง พร้อมกับขออภัยว่าที่ท่านให้คนมาขอกองทัพไปช่วยนั้น บุตรเราป่วยหนักอยู่จึงไม่ได้ยกไปช่วย ทำให้ท่านต้องเสียเมืองแก่โจโฉ แต่เมื่อท่านยังได้มาเจอหน้ากันในบัดนี้ ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว
เล่าปี่จึงว่าบัดนี้ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนคนอนาถา แต่ท่านยังนับถือนี้เป็นคุณอย่างที่สุด เมื่อก่อนนี้ก็คิดจะมาพึ่งพาอาศัยรับใช้ท่านเพื่อช่วยกันกำจัดโจโฉ ครั้นเวลานี้เหลือแต่ตัวคนเดียว แม้แต่น้องทั้งสองและครอบครัว ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เป็นที่อัปยศแก่คนทั้งปวงเป็นอันมาก และย้ำว่า
"....จะขอกินน้ำสบถอยู่ทำการด้วยท่านกว่าจะสำเร็จ....."
อ้วนเสี้ยวก็จัดแจงเครื่องอุปโภคบริโภคทำนุบำรุงเล่าปี่ไว้ที่เมืองเกงจิ๋วอย่างมีความสุข
ส่วนกวนอูที่รักษาครอบครัวเล่าปี่อยู่ที่เมืองแหฝือนั้น โจโฉนับถือฝีมืออยู่เป็นอันมาก จึงใช้อุบายทั้งล่อทั้งชน จนสามารถเกลี้ยกล่อมให้ยินยอมอยู่ด้วยได้ โดยมีข้อสัญญาว่า
ประการที่หนึ่งจะขอเป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้เท่านั้น
ประการที่สองจะต้องดูแลพี่สะใภ้ทั้งสอง อย่าให้ผู้ใดเข้าออกกล้ำกลายเข้าถึงประตูที่อยู่ได้ กับจะขอเอาเบี้ยหวัดของเล่าปี่ที่เคยได้รับพระราชทานนั้นมาให้แก่พี่สะใภ้ทั้งสอง
ประการสุดท้ายถ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งหนตำบลใดก็จะไปหา แม้มิได้ลาก็ตาม หรือลาแล้วห้ามไว้ก็ไม่ฟัง
โจโฉนั้นทีแรกก็ขัดใจข้อสุดท้ายอยู่ แต่คิดว่าถ้านานไปกวนอูได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีก็อาจเปลี่ยนใจได้จึงยอมตกลง
กวนอูก็พาภรรยาเล่าปี่ติดตามไปในกองทัพของโจโฉจนถึงเมืองฮูโต๋ โจโฉก็เอาอกเอาใจกวนอูต่าง ๆ นา ๆ เช่นให้เครื่องเงินเครื่องทองและแพรพรรณอย่างดี กวนอูก็เอาไปให้พี่สะใภ้เสียอีก เห็นกวนอูใส่เสื้อขาดให้เสื้อใหม่ กวนอูก็เอาเสื้อใหม่ใส่ชั้นในแล้วเอาเสื้อเก่าใส่ชั้นนอก เพราะเสื้อเก่านั้นเล่าปี่ให้ เห็นม้ากวนอูผอมก็เอาม้าเซ็กเธาว์ที่ยึดมาได้จาก ลิโป้ ให้กวนอูขี่แทน กวนอูก็ยินดีมาก บอกว่าม้าตัวนี้เดินทางได้วันละหมื่นเส้น ถ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดก็จะได้ไปหาได้โดยเร็ว โจโฉก็น้อยใจว่า พยายามทำดีด้วยทุกอย่างแล้วยังไม่เห็นคุณ
ข้างเล่าปี่อาศัยอ้วนเสี้ยวอยู่ที่เมืองกิจิ๋ว ก็คิดถึงน้องร่วมสาบานทั้งสองอยากจะรู้ข่าวคราว อ้วนเสี้ยวก็ว่าเมื่อครั้งก่อนยกไปจะรบกับโจโฉ พอดีถึงฤดูหนาวจึงต้องยกกลับมาก่อน บัดนี้ถึงฤดูร้อนแล้วสมควรจะยกไปตีเมืองฮูโต๋ใหม่
เตียนห้อง ที่ปรึกษาคนสนิทก็ทัดทานว่า เมื่อครั้งโจโฉยกไปตีเมืองชีจิ๋วนั้น ตนบอกให้ไปตีเมืองฮูโต๋ก็ไม่เชื่อ บัดนี้โจโฉได้เมืองชีจิ๋วแล้ว กลับไปรักษาเมืองฮูโต๋อยู่อย่างเข้มแข็งเห็นท่าจะเอาชนะได้ยาก
อ้วนเสี้ยวก็หารือเล่าปี่ว่า เตียนห้องว่าอย่างนี้ จะเห็นเป็นประการใด เล่าปี่ก็ว่า
".....ทุกวันนี้บรรดาคนทั้งปวงก็แจ้งอยู่ว่า ท่านมีใจสัตย์ซื่อแผ่นดิน และท่านมานิ่งอยู่ ไม่คิดกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียนั้นไม่ควร ประการหนึ่งโจโฉจะมีความคิดแก่กล้าขึ้น พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็จะได้รับความทรมานพระทัยนัก ขอท่านดำริดูจงควร....."
อ้วนเสี้ยวก็สั่งเตรียมทหารไว้ให้พร้อม ได้ฤกษ์เมื่อไรก็จะยกไป ฝ่ายเตียนห้องก็ห้ามว่า คราวนี้อย่าเพิ่งไปเลยขอให้เชื่อคำพูดเถิด อ้วนเสี้ยวก็โกรธหาว่าที่ห้ามไว้ก็เพื่อจะให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นอันตรายเสียก่อนหรือ เตียนห้องก็คุกเข่าลงคำนับ
ว่า
"....ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้เป็นสุจริต ใช่จะคิดให้เป็นอันตรายถึงพระเจ้า เหี้ยนเต้ หามิได้ ถ้าท่านขืนยกไป เห็นจะเสียทีแก่โจโฉเป็นมั่นคง....."
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธเป็นทวีคูณ ชักกระบี่ออกจะฟันเตียนห้องเสีย เล่าปี่ก็ห้ามไว้ว่า ท่านจะยกกองทัพไปทำสงครามจะมาทำอันตรายชีวิตที่ปรึกษาเสียนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวจึงให้เอาเตียนห้องไปจำคุกไว้
จอสิว คู่หูของเตียนห้องเห็นดังนั้นก็หมดกำลังใจ กลับบ้านเอาทรัพย์สินส่วนตัวออกมา แจกจ่ายแก่บุตรภรรยาพี่น้องจนหมด แล้วว่าอ้วนเสี้ยวยกทัพไปคราวนี้ ถึงแม้ว่าจะมีชัยมา เราก็คงไม่ได้บำเหน็จรางวัลอะไร แต่ถ้าเพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่โจโฉเห็นทีชีวิตจะไม่รอด ขอให้ญาติพี่น้องจงอยู่เป็นสุขเถิด
อ้วนเสี้ยวจึงให้ส่งหนังสือถึง งันเหลียง ทหารเอกที่คุมพลอยู่ทางตำบลลิหยง ให้เป็นกองหน้ายกไปเมืองฮูโต๋ก่อน จอสิวก็ห้ามว่างันเหลียงเป็นคนดื้อดึงไม่รู้จักทีได้ทีเสีย ไม่ควรให้คุมทหารไปคนเดียว อ้วนเสี้ยวไม่ฟังบอกว่า งันเหลียงเป็นทหารเอกของเราอย่ามาตำหนิติเตียน จอสิวก็เงียบไป งันเหลียงจึงยกทหารคืบหน้าไปตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลแปะแบ๊ในแดนเมืองฮูโต๋
โจโฉยกทหารออกมาต้านทาน เป็นสามกองรวมห้าสิบหมื่น ให้สองกองแยกไปคอยดักกองทัพอ้วนเสี้ยว ตนเองยกเข้าไปโอบค่ายของงันเหลียงไว้ ห่างประมาณห้าสิบเส้น แล้วก็ให้ ซงเหียน คุมทหารออกไปรบกับงันเหลียงได้แค่สามเพลง ก็ถูกฟันตกม้าตายไปตามระเบียบ งุยซก ซึ่งเป็นเพื่อนจึงอาสาออกไปแก้แค้นแทน ปรากฏว่ารบกับงันเหลียงได้แค่เพลงเดียว ก็โดนง้าวฟันตัวขาดสองท่อน
โจโฉจึงสั่งให้ไปตามกวนอูมาช่วยรบ กวนอูก็อาสาว่า
"....ข้าพเจ้าก็มีฝีมืออยู่บ้าง ซึ่งว่าจะขออาสาไปตัดศรีษะงันเหลียงมาให้แก่ท่านเห็นจะไม่ยากนัก อุปมาเหมือนเอาตะเกียบหยิบของกินในโต๊ะ.."
ว่าแล้วก็ควบม้าเซ็กเธาว์ ลุยทหารของงันเหลียงเข้าไปกลางกองทัพอย่างรวดเร็ว พองันเหลียงเห็นหน้ากวนอูยังไม่ทันเอ่ยปากว่าอย่างไร กวนอูก็เอาง้าวฟันงันเหลียงคอขาดตาย ทหารของงันเหลียงก็แตกพ่ายไปอย่างยับเยิน
อ้วนเสี้ยวรู้ว่างันเหลียงถูกทหารหน้าแดงหนวดยาวฆ่าตาย ก็หันไปเล่นงานเล่าปี่ว่า น้องท่านไปเป็นทหารโจโฉแล้วมาฆ่าทหารเอกของเราแล้วตัวท่านก็มาเป็นไส้ศึกอยู่กับเราจะเลี้ยงไว้ไม่ได้ และให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย เล่าปี่ก็ตกใจหาทางออกว่า ทหารที่หน้าแดงและหนวดยาวนั้น ไม่ใช่จะมีแต่กวนอูคนเดียว ขอให้พิสูจน์ดูให้แน่ก่อน อ้วนเสี้ยวมีใจโลเลอยู่แล้ว ก็เลยยังไม่ฆ่า
ส่วนทหารเอกคู่หูของงันเหลียงคือ บุนทิว เป็นผู้มีกำลังมาก สูงหกศอก หน้าดำเหมือนหมี จึงขออาสาออกรบแทนเพื่อนด้วยกองทัพเรือ อ้วนเสี้ยวก็จัดทหารให้ถึงสิบหมื่น ลงเรือรบยกข้ามแม่น้ำฮองโหไปรบกับโจโฉ
จอสิวก็ค้านไว้ว่า โจโฉเป็นคนที่มีความคิด ซึ่งให้บุนทิวยกทัพเรือข้ามน้ำไปนั้น เผื่อโจโฉคอยดักโจมตีกลางทางก็จะเสียทีเปล่า อ้วนเสี้ยวก็โกรธด่าว่า อ้ายคนหาปัญญาไม่ มันคิดอ่านแต่จะให้เราเสียการ
จอสิวก็ถอนใจใหญ่ ออกมาบอกแก่ทหารว่า อ้วนเสี้ยวทำสงครามดูหมิ่นโจโฉเห็นท่าจะไปไม่ได้ตลอด เราช่วยว่ากล่าวตักเตือนแล้วก็ไม่ฟังท่านทั้งปวงคงจะต้องเอาศพมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นมั่นคง ตั้งแต่นั้นมาก็ลาป่วยตลอด ไม่ยอมให้คำปรึกษาหารืออีกเลย
พอบุนทิวยกทหารข้ามแม่น้ำขึ้นฝั่งได้แล้ว โจโฉก็ยกทหารเข้าตีโดยเอากองหลังซึ่งคุมเสบียงไปไว้ข้างหน้า บุนทิวก็ตีแตกได้เสบียงอาหารเป็นอันมาก แล้วก็เดินหน้าต่อไปด้วยใจลำพองจนถึงช่องเขา โจโฉก็ให้ทหารล้อมบุนทิวไว้ ต่างรบพุ่งกันอยู่เป็นสามารถ บุนทิวเห็นท่าคับขันก็ตีแหวกวงล้อมออกไปแต่ผู้เดียว เตียวเลี้ยว กับ ซิหลง ซึ่งเป็นทหารเอกของโจโฉก็ขับม้าไล่ตาม บุนทิวหันมายิงเกาทัณฑ์ถูกเตียวเลี้ยวที่หน้าผากล้มลง ซิหลงก็เข้าไปรบกันเอาไว้ รบกันถึงสามสิบเพลงซิหลงสู้ไม่ได้ ก็พาเตียวเลี้ยวถอยกลับไปหาโจโฉ
กวนอูก็ถือง้าวพาทหารสิบเอ็ดสิบสองคน เข้าขวางหน้าบุนทิวไว้เข้ารบกันได้แค่สามเพลงบุนทิวเห็นท่าจะแย่ก็ชักม้ากลับ กวนอูขับม้าเซ็กเธาว์ตามด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว ทันบุนทิวที่ริมฝั่งแม่น้ำ จึงเอาง้าวฟันบุนทิวตกม้าตายไปอีกคน
พอรู้ข่าวจาก สิมโพย และกัวเต๋า ว่ากวนอูฆ่าบุนทิวตายไปอีกคนหนึ่ง อ้วนเสี้ยวก็โกรธมากขึ้นไปอีก สั่งให้เอาตัวเล่าปี่ไปฆ่าเสียทันที เล่าปี่ถามว่าข้าพเจ้ามีโทษผิดอะไร อ้วนเสี้ยวก็ว่าคราวก่อนยกโทษให้ทีหนึ่งแล้ว คราวนี้น้องท่านมาฆ่าทหารเอกของเราตายอีกคน จะปล่อยไว้ได้ยังไง
เล่าปี่ทำใจเย็นบอกว่า ก่อนจะฆ่าขอให้ฟังสักนิดคือ
".....แต่ก่อนนั้นโจโฉมีใจรังเกียจข้าพเจ้าเป็นอันมาก คิดจะฆ่าข้าพเจ้าเสียบัดนี้รู้ว่าข้าพเจ้ามาพำนักอาศัยอยู่กับท่าน จะเป็นกำลังคิดการสืบไป จึงแกล้งใช้ให้กวนอูมาฆ่าทหารท่านเสีย ถ้าท่านแจ้งก็จะโกรธข้าพเจ้า อุปมาเหมือนโจโฉยืมมือท่านให้ฆ่าข้าพเจ้าเสีย กวนอูเห็นจะไม่รู้ว่าข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ถ้าข้าพเจ้ามีหนังสือไปถึง กวนอูรู้แล้วก็จะมาหาข้าพเจ้า จะได้เป็นกำลังท่านสืบไป ซึ่งท่านเสียทหารสองคนนั้น อุปมาเหมือนหนึ่งเสียเนื้อสองตัว ถ้าท่านได้กวนอูมาไว้เหมือนหนึ่งเสือ เห็นจะดีกว่าเนื้อสองตัวอีก....."
อ้วนเสี้ยวได้ฟังวาจาดังนั้นก็ยินดีอีก ไล่สิมโพยกับกัวเต๋าออกไป หาว่ามายุยงให้ฆ่าเล่าปี่ซึ่งมีสติปัญญา ซื่อต่อแผ่นดิน เล่าปี่ก็เขียนจดหมายถึงกวนอูให้อ้วนเสี้ยวรับไป แต่ยังไม่มีผู้อาสาจะนำไปส่งให้ คงจะกลัวโดนคมง้าวเสียก่อนที่จะได้ส่งหนังสือ
จากนั้นอ้วนเสี้ยวก็ถอยทัพ กลับมาตั้งค่ายที่ตำบลหูเอี๋ยง แล้วรักษาค่ายมั่นอยู่ ไม่ยกออกรบกับโจโฉอีกนาน จนโจโฉพากวนอูกลับไปเมืองฮูโต๋ตามเดิม
ต่อมากวนอูได้รับการติดต่อว่า เล่าปี่อาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยว ก็พาพี่สะใภ้สองคนออกจากเมืองฮูโต๋ แม้โจโฉจะพยายามขัดขวางประการใดก็ไม่สำเร็จ จนกวนอูมาถึงชานเมืองกิจิ๋ว เล่าปี่รู้ข่าวจึงออกอุบายขออาสาอ้วนเสี้ยว ว่าจะไปช่วยเกลี้ยกล่อม เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว อ้างว่าเป็นแซ่เดียวกัน และเมืองเกงจิ๋วนั้นมีเมืองขึ้นถึงเก้าเมือง ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ ถ้าได้เข้ามาเป็นพวกด้วยการที่จะคิดกำจัดโจโฉก็จะสำเร็จโดยง่าย อ้วนเสี้ยวก็ยินยอมให้ไป
เล่าปี่จึงได้พบกับ กวนอู จูล่ง และ เตียวหุย ที่เมืองเก๋าเซีย และพา
กันยกไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองยีหลำ สบายแฮ
อ้วนเสี้ยวจึงเสียทั้งเนื้อ และอดได้เสือมาแทน ตามคารมคมคายของเล่าปี่ เชื้อพระวงศ์ผู้พเนจรคนนี้ เช่นเดียวกับที่โจโฉเคยหลงกลมาแล้ว เหมือนกัน.
##########
วางเมื่อ ๔ ก.ย.๕๖ เวลา ๐๔.๕๐
เกร็ดสามก๊ก ๔ ก.ย.๕๖
ผู้เป็นใหญ่ฝ่ายเหนือ
ตอนที่ ๓ เสียเนื้อเพื่อแลกเสือ
เล่าเซี่ยงชุน
ในขณะที่ โจโฉ ยกทัพใหญ่จะไปตีเมืองชีจิ๋วนั้น ตัว เล่าปี่ อยู่ที่เมือง เสียวพ่ายกับ เตียวหุย ส่วน กวนอู อยู่รักษาครอบครัวของเล่าปี่ที่เมืองแห้ฝือ และเมือง ชีจิ๋วก็ให้นายทหารรองสองคนคุมทหารรักษาอยู่
โจโฉก็ยกทหารมุ่งไปทางเมืองเสียวพ่ายก่อน จัดการแบ่งทหารทั้งหมดออกเป็นสิบเอ็ดกอง กองหนึ่งให้อยู่รักษาค่าย อีกแปดกองให้นายทหารเอกคุมไปตั้งนอกค่ายทั้งแปดทิศ ถ้ามีกองทัพผู้ใดเข้าปล้นค่ายทางทิศใด ก็ให้ทหารทั้งแปดกองนั้นตีกระหน่ำล้อมเข้ามา ส่วนอีกสองกองให้ยกไปสกัดอยู่ปากทางเมืองชีจิ๋วกองหนึ่ง เมืองแห้ฝือกองหนึ่ง ไม่ให้ยกมาช่วยกันได้
เล่าปี่กับเตียวหุยปรึกษากันเป็นอันดีแล้ว ก็ยกกำลังเข้าตีค่ายโจโฉตอน ดึก ก็เลยถูกทหารทั้งแปดกองของโจโฉตีแตกกระจาย เตียวหุยซึ่งเป็นกองหน้านั้นเหลือ ทหารอยู่เพียงสี่สิบคน จะหนีไปเมืองไหนก็ไม่ได้ เลยพากันขึ้นไปอยู่บนเขาบองเอี๋ยง
ส่วนเล่าปี่กองหลังก็เหลือไพร่พลประมาณสามสิบเศษ แตกหนีไปคนละทางกับเตียวหุย ก็เจอกับทหารเอกของโจโฉคอยดักอยู่ระหว่างทางเข้าอีก เลยตกใจไม่คิดจะสู้รบ ทิ้งทหารขับม้าหนีเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียว ควบไปทั้งวันทั้งคืนเป็นระยะทางประมาณพันเส้นก็ถึงเมืองเซียงจิ๋วซึ่ง อ้วนถำ บุตรของ อ้วนเสี้ยว เป็นเจ้าเมืองอยู่ อ้วนถำก็ออกมาคำนับรับรองเป็นอันดี เล่าปี่บอกความทั้งหลายที่ผ่านมาให้ฟัง แล้วว่าจะไปอาศัยอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว อ้วนถำก็ให้แต่งโต๊ะมาเลี้ยงดูเต็มที่ และมีใบบอกไปถึงอ้วนเสี้ยวให้รู้ล่วงหน้าก่อน แล้วจึงจัดทหารนำเล่าปี่ไปส่งถึงเมืองกิจิ๋ว
อ้วนเสี้ยวก็ออกมารับถึงนอกเมือง ถ้อยทีถ้อยคำนับกันแล้ว อ้วนเสี้ยวก็พาเล่าปี่เข้าไปในเมือง พร้อมกับขออภัยว่าที่ท่านให้คนมาขอกองทัพไปช่วยนั้น บุตรเราป่วยหนักอยู่จึงไม่ได้ยกไปช่วย ทำให้ท่านต้องเสียเมืองแก่โจโฉ แต่เมื่อท่านยังได้มาเจอหน้ากันในบัดนี้ ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว
เล่าปี่จึงว่าบัดนี้ข้าพเจ้าเปรียบเหมือนคนอนาถา แต่ท่านยังนับถือนี้เป็นคุณอย่างที่สุด เมื่อก่อนนี้ก็คิดจะมาพึ่งพาอาศัยรับใช้ท่านเพื่อช่วยกันกำจัดโจโฉ ครั้นเวลานี้เหลือแต่ตัวคนเดียว แม้แต่น้องทั้งสองและครอบครัว ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เป็นที่อัปยศแก่คนทั้งปวงเป็นอันมาก และย้ำว่า
"....จะขอกินน้ำสบถอยู่ทำการด้วยท่านกว่าจะสำเร็จ....."
อ้วนเสี้ยวก็จัดแจงเครื่องอุปโภคบริโภคทำนุบำรุงเล่าปี่ไว้ที่เมืองเกงจิ๋วอย่างมีความสุข
ส่วนกวนอูที่รักษาครอบครัวเล่าปี่อยู่ที่เมืองแหฝือนั้น โจโฉนับถือฝีมืออยู่เป็นอันมาก จึงใช้อุบายทั้งล่อทั้งชน จนสามารถเกลี้ยกล่อมให้ยินยอมอยู่ด้วยได้ โดยมีข้อสัญญาว่า
ประการที่หนึ่งจะขอเป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้เท่านั้น
ประการที่สองจะต้องดูแลพี่สะใภ้ทั้งสอง อย่าให้ผู้ใดเข้าออกกล้ำกลายเข้าถึงประตูที่อยู่ได้ กับจะขอเอาเบี้ยหวัดของเล่าปี่ที่เคยได้รับพระราชทานนั้นมาให้แก่พี่สะใภ้ทั้งสอง
ประการสุดท้ายถ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งหนตำบลใดก็จะไปหา แม้มิได้ลาก็ตาม หรือลาแล้วห้ามไว้ก็ไม่ฟัง
โจโฉนั้นทีแรกก็ขัดใจข้อสุดท้ายอยู่ แต่คิดว่าถ้านานไปกวนอูได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีก็อาจเปลี่ยนใจได้จึงยอมตกลง
กวนอูก็พาภรรยาเล่าปี่ติดตามไปในกองทัพของโจโฉจนถึงเมืองฮูโต๋ โจโฉก็เอาอกเอาใจกวนอูต่าง ๆ นา ๆ เช่นให้เครื่องเงินเครื่องทองและแพรพรรณอย่างดี กวนอูก็เอาไปให้พี่สะใภ้เสียอีก เห็นกวนอูใส่เสื้อขาดให้เสื้อใหม่ กวนอูก็เอาเสื้อใหม่ใส่ชั้นในแล้วเอาเสื้อเก่าใส่ชั้นนอก เพราะเสื้อเก่านั้นเล่าปี่ให้ เห็นม้ากวนอูผอมก็เอาม้าเซ็กเธาว์ที่ยึดมาได้จาก ลิโป้ ให้กวนอูขี่แทน กวนอูก็ยินดีมาก บอกว่าม้าตัวนี้เดินทางได้วันละหมื่นเส้น ถ้ารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดก็จะได้ไปหาได้โดยเร็ว โจโฉก็น้อยใจว่า พยายามทำดีด้วยทุกอย่างแล้วยังไม่เห็นคุณ
ข้างเล่าปี่อาศัยอ้วนเสี้ยวอยู่ที่เมืองกิจิ๋ว ก็คิดถึงน้องร่วมสาบานทั้งสองอยากจะรู้ข่าวคราว อ้วนเสี้ยวก็ว่าเมื่อครั้งก่อนยกไปจะรบกับโจโฉ พอดีถึงฤดูหนาวจึงต้องยกกลับมาก่อน บัดนี้ถึงฤดูร้อนแล้วสมควรจะยกไปตีเมืองฮูโต๋ใหม่
เตียนห้อง ที่ปรึกษาคนสนิทก็ทัดทานว่า เมื่อครั้งโจโฉยกไปตีเมืองชีจิ๋วนั้น ตนบอกให้ไปตีเมืองฮูโต๋ก็ไม่เชื่อ บัดนี้โจโฉได้เมืองชีจิ๋วแล้ว กลับไปรักษาเมืองฮูโต๋อยู่อย่างเข้มแข็งเห็นท่าจะเอาชนะได้ยาก
อ้วนเสี้ยวก็หารือเล่าปี่ว่า เตียนห้องว่าอย่างนี้ จะเห็นเป็นประการใด เล่าปี่ก็ว่า
".....ทุกวันนี้บรรดาคนทั้งปวงก็แจ้งอยู่ว่า ท่านมีใจสัตย์ซื่อแผ่นดิน และท่านมานิ่งอยู่ ไม่คิดกำจัดศัตรูราชสมบัติเสียนั้นไม่ควร ประการหนึ่งโจโฉจะมีความคิดแก่กล้าขึ้น พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็จะได้รับความทรมานพระทัยนัก ขอท่านดำริดูจงควร....."
อ้วนเสี้ยวก็สั่งเตรียมทหารไว้ให้พร้อม ได้ฤกษ์เมื่อไรก็จะยกไป ฝ่ายเตียนห้องก็ห้ามว่า คราวนี้อย่าเพิ่งไปเลยขอให้เชื่อคำพูดเถิด อ้วนเสี้ยวก็โกรธหาว่าที่ห้ามไว้ก็เพื่อจะให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นอันตรายเสียก่อนหรือ เตียนห้องก็คุกเข่าลงคำนับ
ว่า
"....ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้เป็นสุจริต ใช่จะคิดให้เป็นอันตรายถึงพระเจ้า เหี้ยนเต้ หามิได้ ถ้าท่านขืนยกไป เห็นจะเสียทีแก่โจโฉเป็นมั่นคง....."
อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธเป็นทวีคูณ ชักกระบี่ออกจะฟันเตียนห้องเสีย เล่าปี่ก็ห้ามไว้ว่า ท่านจะยกกองทัพไปทำสงครามจะมาทำอันตรายชีวิตที่ปรึกษาเสียนั้นไม่ควร อ้วนเสี้ยวจึงให้เอาเตียนห้องไปจำคุกไว้
จอสิว คู่หูของเตียนห้องเห็นดังนั้นก็หมดกำลังใจ กลับบ้านเอาทรัพย์สินส่วนตัวออกมา แจกจ่ายแก่บุตรภรรยาพี่น้องจนหมด แล้วว่าอ้วนเสี้ยวยกทัพไปคราวนี้ ถึงแม้ว่าจะมีชัยมา เราก็คงไม่ได้บำเหน็จรางวัลอะไร แต่ถ้าเพลี่ยงพล้ำเสียทีแก่โจโฉเห็นทีชีวิตจะไม่รอด ขอให้ญาติพี่น้องจงอยู่เป็นสุขเถิด
อ้วนเสี้ยวจึงให้ส่งหนังสือถึง งันเหลียง ทหารเอกที่คุมพลอยู่ทางตำบลลิหยง ให้เป็นกองหน้ายกไปเมืองฮูโต๋ก่อน จอสิวก็ห้ามว่างันเหลียงเป็นคนดื้อดึงไม่รู้จักทีได้ทีเสีย ไม่ควรให้คุมทหารไปคนเดียว อ้วนเสี้ยวไม่ฟังบอกว่า งันเหลียงเป็นทหารเอกของเราอย่ามาตำหนิติเตียน จอสิวก็เงียบไป งันเหลียงจึงยกทหารคืบหน้าไปตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลแปะแบ๊ในแดนเมืองฮูโต๋
โจโฉยกทหารออกมาต้านทาน เป็นสามกองรวมห้าสิบหมื่น ให้สองกองแยกไปคอยดักกองทัพอ้วนเสี้ยว ตนเองยกเข้าไปโอบค่ายของงันเหลียงไว้ ห่างประมาณห้าสิบเส้น แล้วก็ให้ ซงเหียน คุมทหารออกไปรบกับงันเหลียงได้แค่สามเพลง ก็ถูกฟันตกม้าตายไปตามระเบียบ งุยซก ซึ่งเป็นเพื่อนจึงอาสาออกไปแก้แค้นแทน ปรากฏว่ารบกับงันเหลียงได้แค่เพลงเดียว ก็โดนง้าวฟันตัวขาดสองท่อน
โจโฉจึงสั่งให้ไปตามกวนอูมาช่วยรบ กวนอูก็อาสาว่า
"....ข้าพเจ้าก็มีฝีมืออยู่บ้าง ซึ่งว่าจะขออาสาไปตัดศรีษะงันเหลียงมาให้แก่ท่านเห็นจะไม่ยากนัก อุปมาเหมือนเอาตะเกียบหยิบของกินในโต๊ะ.."
ว่าแล้วก็ควบม้าเซ็กเธาว์ ลุยทหารของงันเหลียงเข้าไปกลางกองทัพอย่างรวดเร็ว พองันเหลียงเห็นหน้ากวนอูยังไม่ทันเอ่ยปากว่าอย่างไร กวนอูก็เอาง้าวฟันงันเหลียงคอขาดตาย ทหารของงันเหลียงก็แตกพ่ายไปอย่างยับเยิน
อ้วนเสี้ยวรู้ว่างันเหลียงถูกทหารหน้าแดงหนวดยาวฆ่าตาย ก็หันไปเล่นงานเล่าปี่ว่า น้องท่านไปเป็นทหารโจโฉแล้วมาฆ่าทหารเอกของเราแล้วตัวท่านก็มาเป็นไส้ศึกอยู่กับเราจะเลี้ยงไว้ไม่ได้ และให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย เล่าปี่ก็ตกใจหาทางออกว่า ทหารที่หน้าแดงและหนวดยาวนั้น ไม่ใช่จะมีแต่กวนอูคนเดียว ขอให้พิสูจน์ดูให้แน่ก่อน อ้วนเสี้ยวมีใจโลเลอยู่แล้ว ก็เลยยังไม่ฆ่า
ส่วนทหารเอกคู่หูของงันเหลียงคือ บุนทิว เป็นผู้มีกำลังมาก สูงหกศอก หน้าดำเหมือนหมี จึงขออาสาออกรบแทนเพื่อนด้วยกองทัพเรือ อ้วนเสี้ยวก็จัดทหารให้ถึงสิบหมื่น ลงเรือรบยกข้ามแม่น้ำฮองโหไปรบกับโจโฉ
จอสิวก็ค้านไว้ว่า โจโฉเป็นคนที่มีความคิด ซึ่งให้บุนทิวยกทัพเรือข้ามน้ำไปนั้น เผื่อโจโฉคอยดักโจมตีกลางทางก็จะเสียทีเปล่า อ้วนเสี้ยวก็โกรธด่าว่า อ้ายคนหาปัญญาไม่ มันคิดอ่านแต่จะให้เราเสียการ
จอสิวก็ถอนใจใหญ่ ออกมาบอกแก่ทหารว่า อ้วนเสี้ยวทำสงครามดูหมิ่นโจโฉเห็นท่าจะไปไม่ได้ตลอด เราช่วยว่ากล่าวตักเตือนแล้วก็ไม่ฟังท่านทั้งปวงคงจะต้องเอาศพมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นมั่นคง ตั้งแต่นั้นมาก็ลาป่วยตลอด ไม่ยอมให้คำปรึกษาหารืออีกเลย
พอบุนทิวยกทหารข้ามแม่น้ำขึ้นฝั่งได้แล้ว โจโฉก็ยกทหารเข้าตีโดยเอากองหลังซึ่งคุมเสบียงไปไว้ข้างหน้า บุนทิวก็ตีแตกได้เสบียงอาหารเป็นอันมาก แล้วก็เดินหน้าต่อไปด้วยใจลำพองจนถึงช่องเขา โจโฉก็ให้ทหารล้อมบุนทิวไว้ ต่างรบพุ่งกันอยู่เป็นสามารถ บุนทิวเห็นท่าคับขันก็ตีแหวกวงล้อมออกไปแต่ผู้เดียว เตียวเลี้ยว กับ ซิหลง ซึ่งเป็นทหารเอกของโจโฉก็ขับม้าไล่ตาม บุนทิวหันมายิงเกาทัณฑ์ถูกเตียวเลี้ยวที่หน้าผากล้มลง ซิหลงก็เข้าไปรบกันเอาไว้ รบกันถึงสามสิบเพลงซิหลงสู้ไม่ได้ ก็พาเตียวเลี้ยวถอยกลับไปหาโจโฉ
กวนอูก็ถือง้าวพาทหารสิบเอ็ดสิบสองคน เข้าขวางหน้าบุนทิวไว้เข้ารบกันได้แค่สามเพลงบุนทิวเห็นท่าจะแย่ก็ชักม้ากลับ กวนอูขับม้าเซ็กเธาว์ตามด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว ทันบุนทิวที่ริมฝั่งแม่น้ำ จึงเอาง้าวฟันบุนทิวตกม้าตายไปอีกคน
พอรู้ข่าวจาก สิมโพย และกัวเต๋า ว่ากวนอูฆ่าบุนทิวตายไปอีกคนหนึ่ง อ้วนเสี้ยวก็โกรธมากขึ้นไปอีก สั่งให้เอาตัวเล่าปี่ไปฆ่าเสียทันที เล่าปี่ถามว่าข้าพเจ้ามีโทษผิดอะไร อ้วนเสี้ยวก็ว่าคราวก่อนยกโทษให้ทีหนึ่งแล้ว คราวนี้น้องท่านมาฆ่าทหารเอกของเราตายอีกคน จะปล่อยไว้ได้ยังไง
เล่าปี่ทำใจเย็นบอกว่า ก่อนจะฆ่าขอให้ฟังสักนิดคือ
".....แต่ก่อนนั้นโจโฉมีใจรังเกียจข้าพเจ้าเป็นอันมาก คิดจะฆ่าข้าพเจ้าเสียบัดนี้รู้ว่าข้าพเจ้ามาพำนักอาศัยอยู่กับท่าน จะเป็นกำลังคิดการสืบไป จึงแกล้งใช้ให้กวนอูมาฆ่าทหารท่านเสีย ถ้าท่านแจ้งก็จะโกรธข้าพเจ้า อุปมาเหมือนโจโฉยืมมือท่านให้ฆ่าข้าพเจ้าเสีย กวนอูเห็นจะไม่รู้ว่าข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ถ้าข้าพเจ้ามีหนังสือไปถึง กวนอูรู้แล้วก็จะมาหาข้าพเจ้า จะได้เป็นกำลังท่านสืบไป ซึ่งท่านเสียทหารสองคนนั้น อุปมาเหมือนหนึ่งเสียเนื้อสองตัว ถ้าท่านได้กวนอูมาไว้เหมือนหนึ่งเสือ เห็นจะดีกว่าเนื้อสองตัวอีก....."
อ้วนเสี้ยวได้ฟังวาจาดังนั้นก็ยินดีอีก ไล่สิมโพยกับกัวเต๋าออกไป หาว่ามายุยงให้ฆ่าเล่าปี่ซึ่งมีสติปัญญา ซื่อต่อแผ่นดิน เล่าปี่ก็เขียนจดหมายถึงกวนอูให้อ้วนเสี้ยวรับไป แต่ยังไม่มีผู้อาสาจะนำไปส่งให้ คงจะกลัวโดนคมง้าวเสียก่อนที่จะได้ส่งหนังสือ
จากนั้นอ้วนเสี้ยวก็ถอยทัพ กลับมาตั้งค่ายที่ตำบลหูเอี๋ยง แล้วรักษาค่ายมั่นอยู่ ไม่ยกออกรบกับโจโฉอีกนาน จนโจโฉพากวนอูกลับไปเมืองฮูโต๋ตามเดิม
ต่อมากวนอูได้รับการติดต่อว่า เล่าปี่อาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยว ก็พาพี่สะใภ้สองคนออกจากเมืองฮูโต๋ แม้โจโฉจะพยายามขัดขวางประการใดก็ไม่สำเร็จ จนกวนอูมาถึงชานเมืองกิจิ๋ว เล่าปี่รู้ข่าวจึงออกอุบายขออาสาอ้วนเสี้ยว ว่าจะไปช่วยเกลี้ยกล่อม เล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว อ้างว่าเป็นแซ่เดียวกัน และเมืองเกงจิ๋วนั้นมีเมืองขึ้นถึงเก้าเมือง ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ ถ้าได้เข้ามาเป็นพวกด้วยการที่จะคิดกำจัดโจโฉก็จะสำเร็จโดยง่าย อ้วนเสี้ยวก็ยินยอมให้ไป
เล่าปี่จึงได้พบกับ กวนอู จูล่ง และ เตียวหุย ที่เมืองเก๋าเซีย และพา
กันยกไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองยีหลำ สบายแฮ
อ้วนเสี้ยวจึงเสียทั้งเนื้อ และอดได้เสือมาแทน ตามคารมคมคายของเล่าปี่ เชื้อพระวงศ์ผู้พเนจรคนนี้ เช่นเดียวกับที่โจโฉเคยหลงกลมาแล้ว เหมือนกัน.
##########
วางเมื่อ ๔ ก.ย.๕๖ เวลา ๐๔.๕๐