http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000109924
1.
ผู้เขียนเคยได้ยินชื่อโรงพยาบาลบ้านแพ้วครั้งแรกในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ได้ยินว่าเป็นโรงพยาบาลของรัฐที่แปรรูปไปเป็นองค์การมหาชนเป็นแห่งแรก ตอนนั้นผู้เขียนก็ยังมีความประหลาดใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมโรงพยาบาลอำเภอเล็กๆ ถึงสามารถแปรไปเป็นองค์การมหาชนได้ จากนั้นเป็นต้นมานับเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ปรากฏว่าโรงพยาบาลที่สามารถกลายเป็นองค์การมหาชนก็ยังคงมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย จึงน่าสนใจว่ารูปแบบการบริหารจัดการบริการสาธารณสุขในรูปแบบนี้เป็นยังไง ส่งผลดีผลเสียต่อประชาชนอย่างไร และทำไมถึงไม่เกิดองค์การรูปแบบนี้ในประเทศไทยอีก?
นับเป็นโอกาสดีที่ได้พบกับบุคคลท่านหนึ่ง ซึ่งเรื่องราวของท่านสามารถใช้เป็นแรงบันดาลใจได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สังคมเรากำลังเสื่อมทรุด ผู้คนค้นหาความหวัง โหยหาอัศวินม้าขาวที่จะมากอบกู้วิกฤตศรัทธา จริยธรรม ตลอดจนการแสวงหาความเท่าเท่าเทียมในสังคม จึงถือเป็นโอกาสดีที่ผู้เขียนได้พบ
คุณหมอวิฑิต อรรถเวชกุล อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) และอดีตผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ท่านคือเจ้าของ “บ้านแพ้วโมเดล” เมื่อได้รับฟังเรื่องเล่าและแรงบันดาลใจของท่าน สามารถเป็นสิ่งจรรโลงใจของเราให้เชื่อมั่นในความดีงามและการมุ่งมั่นในการทำความดีได้อย่างวิเศษ
ระยะเวลากว่า 3 ชั่วโมงที่คุณหมอวิฑิตได้เล่าเรื่องราว ตั้งแต่ท่านจบการศึกษาเป็นนายแพทย์ หอบหิ้วอุดมการณ์เดินทางไปเป็นแพทย์ชนบทที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งการเป็นแพทย์ชนบทในทัศนะของท่านนั้นไม่ใช่เพียงเป็นหมอที่เดินทางไปรักษาคนป่วยในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น แต่คือการไปใช้ชีวิตในชนบทซึ่งมากไปกว่าการใช้วิชาชีพแพทย์ การอยู่กับชาวบ้าน เข้าใจบริบท วิถีชุมชน และที่สำคัญคือความจริงใจในการเป็นส่วยหนึ่งของชุมชนอาจเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าการใช้ความสามารถในการรักษาพยาบาลเสียอีก
คุณหมอวิฑิตได้เล่าถึงวิธีการของท่านในการเข้าถึงชาวบ้าน โดยอาศัยทักษะการเล่นดนตรี ซึ่งท่านได้เข้าไปชักชวนชาวบ้านตั้งวงดนตรีแล้วฝึกซ้อมกันในช่วงเย็นแทนการตั้งวงดื่มสุราหรือเล่นการพนัน เมื่อใช้วิธีการเล่นดนตรีจึงได้ดึงความสนใจของวัยรุ่น และข้าราชการส่วนหนึ่ง ที่นอกเหนือจะสร้างความบันเทิงของกลุ่มแล้ว ยังสร้างรายได้อีกด้วยโดยการออกตระเวนไปรับจ้างเล่นดนตรีในที่ต่างๆ ตามแต่จะมีโอกาส
(มีต่อ..)
"บ้านแพ้วโมเดล" โดย...พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
1.
ผู้เขียนเคยได้ยินชื่อโรงพยาบาลบ้านแพ้วครั้งแรกในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ได้ยินว่าเป็นโรงพยาบาลของรัฐที่แปรรูปไปเป็นองค์การมหาชนเป็นแห่งแรก ตอนนั้นผู้เขียนก็ยังมีความประหลาดใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมโรงพยาบาลอำเภอเล็กๆ ถึงสามารถแปรไปเป็นองค์การมหาชนได้ จากนั้นเป็นต้นมานับเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ปรากฏว่าโรงพยาบาลที่สามารถกลายเป็นองค์การมหาชนก็ยังคงมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย จึงน่าสนใจว่ารูปแบบการบริหารจัดการบริการสาธารณสุขในรูปแบบนี้เป็นยังไง ส่งผลดีผลเสียต่อประชาชนอย่างไร และทำไมถึงไม่เกิดองค์การรูปแบบนี้ในประเทศไทยอีก?
นับเป็นโอกาสดีที่ได้พบกับบุคคลท่านหนึ่ง ซึ่งเรื่องราวของท่านสามารถใช้เป็นแรงบันดาลใจได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สังคมเรากำลังเสื่อมทรุด ผู้คนค้นหาความหวัง โหยหาอัศวินม้าขาวที่จะมากอบกู้วิกฤตศรัทธา จริยธรรม ตลอดจนการแสวงหาความเท่าเท่าเทียมในสังคม จึงถือเป็นโอกาสดีที่ผู้เขียนได้พบคุณหมอวิฑิต อรรถเวชกุล อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) และอดีตผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ท่านคือเจ้าของ “บ้านแพ้วโมเดล” เมื่อได้รับฟังเรื่องเล่าและแรงบันดาลใจของท่าน สามารถเป็นสิ่งจรรโลงใจของเราให้เชื่อมั่นในความดีงามและการมุ่งมั่นในการทำความดีได้อย่างวิเศษ
ระยะเวลากว่า 3 ชั่วโมงที่คุณหมอวิฑิตได้เล่าเรื่องราว ตั้งแต่ท่านจบการศึกษาเป็นนายแพทย์ หอบหิ้วอุดมการณ์เดินทางไปเป็นแพทย์ชนบทที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งการเป็นแพทย์ชนบทในทัศนะของท่านนั้นไม่ใช่เพียงเป็นหมอที่เดินทางไปรักษาคนป่วยในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น แต่คือการไปใช้ชีวิตในชนบทซึ่งมากไปกว่าการใช้วิชาชีพแพทย์ การอยู่กับชาวบ้าน เข้าใจบริบท วิถีชุมชน และที่สำคัญคือความจริงใจในการเป็นส่วยหนึ่งของชุมชนอาจเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าการใช้ความสามารถในการรักษาพยาบาลเสียอีก
คุณหมอวิฑิตได้เล่าถึงวิธีการของท่านในการเข้าถึงชาวบ้าน โดยอาศัยทักษะการเล่นดนตรี ซึ่งท่านได้เข้าไปชักชวนชาวบ้านตั้งวงดนตรีแล้วฝึกซ้อมกันในช่วงเย็นแทนการตั้งวงดื่มสุราหรือเล่นการพนัน เมื่อใช้วิธีการเล่นดนตรีจึงได้ดึงความสนใจของวัยรุ่น และข้าราชการส่วนหนึ่ง ที่นอกเหนือจะสร้างความบันเทิงของกลุ่มแล้ว ยังสร้างรายได้อีกด้วยโดยการออกตระเวนไปรับจ้างเล่นดนตรีในที่ต่างๆ ตามแต่จะมีโอกาส
(มีต่อ..)