กลยุทธ์ของซุนวู 36 กลยุทธ์
แบ่งเป็น เป็น 6 ส่วน ส่วนละ 6 กลยุทธ์
สถานการณ์ในประเทศไทยในตอนนี้ ถ้ารัฐบาลลองมองกลยุทธต่างๆ ของซุนวู
กลยุทธ์ที่น่าจะนำมาใช้ หรือ ตอนนี้อาจจะกำลังใช้อยู่คือ
กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย อยู่ในส่วนของ
กลชนะศึก
กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย
คำอธิบายจาก
http://7meditation.blogspot.com/2011/03/4_3181.html
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า
เมื่อประสงค์จักทำให้ข้าศึกตกอยู่ในภาวะลำบาก ไม่แน่ว่าจะต้องใช้วิธีรบแต่ฝ่ายเดียว อาจจะใช้วิธี
"แกร่งเสียอ่อนได้” ตามที่กล่าวไว้ใน
“คัมภีร์อี้จิง สูญเสีย เมื่อให้ได้รับชัยชนะก็ได้”
ความหมายของ “แกร่งเสีย” ก็คือ เมื่อการรุกของข้าศึกดุเดือดยิ่งนัก ดูภายนอกแล้วเสมือนหนึ่งเข้มแข็งใหญ่โตเหลือประมาณแต่ไม่อาจรบต่อเนื่องได้ยาวนาน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้ง่าย
“อ่อนได้” ก็คือ ฝ่ายรับที่ทำการป้องกัน ถูกตีกระหน่ำดูแล้วเหมือนหนึ่งอ่อนปวกเปียก แต่สามารถจะใช้ความสงบรอความเปลี้ย บั่นทอนกำลังข้าศึกไม่ขาดระยะ ทำให้ตนแปรเปลี่ยนจากฝ่ายเสียเปรียบเป็นฝ่ายได้เปรียบ
นี้คือกลอุบายในการยึดกุมเป็นฝ่ายริเริ่มในสงคราม รอโอกาสทำลายข้าศึกแปรการรับให้เป็นการรุกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีปรากฏอยู่ในตำราพิชัยสงครามหลายเล่ม เช่น “ซุนจือ ว่าด้วยการศึก” "ยุทธวิธีร้อยแปด ว่าด้วยสงคราม” “ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” “บันทึกจ่อจ้วน” “บันทึกประวัติศาสตร์” “จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่น” ซึ่งใน
“ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” กล่าวไว้ว่า
“ทราบจากตำราพิชัยสงครามว่าผู้รับมักสบาย แต่ผู้รุกมักเหนื่อยยาก รอซ้ำยามเปลี้ย” ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่นหลัง ประวัติฝงอี้” กล่าวว่า
"ผู้บุกกำลังไม่พอ แต่ผู้รับมีกำลังเหลือเฟือ บัดนี้รักษาเมืองไว้ก่อน ใช้ความสงบรอความเปลี้ย มิจำต้องไปรบด้วยเลย”
กลยุทธ์นี้มาจาก "ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ ว่าด้วยการทำศึก" ความเดิมมีว่า "ใช้ใกล้รอไกล ใช้สบายรอเหนื่อย ใช้อิ่มรอหิว นี้คือการสยบผู้แกร่งกว่านั้นแล"
กลยุทธ์นี้สรุปว่า
“เมื่อศัตรูมีทีท่าแจ่มชัด แต่กำลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำลังของพันธมิตรไปโจมตีศัตรู หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีทั้งปวง”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากกลยุทธ์นี้ จะเห็นได้ว่า
ฝ่ายต่อต้าน ระดมพลเสียใหญ่โต ดูน่าเกรงขาม แต่จริงๆแล้วคนที่มาเป็นเพียงป
ระชาชนที่ถูกจ้างหรือถูกยุ ถูกปลุกปั่นให้มา ไม่ใช่มืออาชีพที่จะประท้วงแบบยืดยาวและอดทน แถมยังเป็น
การประท้วงที่เริ่มออกนอกพื้นที่ตัวเอง ทั้งเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ตากแดด ตากฝน นอนไม่เต็มอิ่ม มีห่วงทั้งบ้าน ทั้งลูก ทั้งที่ทำกิน แม้จะมีการส่งเสบียงกัน แต่มันคงไม่สบายเหมือนที่บ้าน และเหตุผลที่มาชุมนุมก็ไม่เพียงพอที่จะยืดเยื้อได้ขนาดนั้น เพราะถือว่ารัฐบาลก็ช่วยเหลือหลายอย่างแล้วถ่าเอาจริงๆ ยางราคานี้อยู่ได้สบายแต่อาจจะไม่รวย
ถ้าดูต่อไป รัฐบาลเหมือนจะ
" อ่อนได้ " คือ ไม่ได้ทำตั้งรับให้แข็งกร่าวเสียทีเดียว แต่อ่อนได้ ไม่ว่าการเจรจายอมเท่าที่ยอมได้ ไม่ใช่ไม่ยอมช่วยอะไรเลย และเรื่องอ่อนได้นี่เองทำให้ จากที่จะโดนกระหน่ำ จาก ทุกภาค รัฐบาลยอมอ่อน ใจได้ใจ ชาวสวนยาง เหนือ อีสาน และตะวันออกบางพื้นที่ ไม่เอาด้วย กับ ม็อบสวนยางภาคใต้ ทำให้รัฐบาลไม่ต้องรับศึกทุกด้านรับเพียงแค่ภาคใต้ถือว่างานเบาลงไปเยอะ
" ตำราพิชัยสงครามว่าผู้รับมักสบาย แต่ผู้รุกมักเหนื่อยยาก รอซ้ำยามเปลี้ย " แน่นอนครับ ฝ่ายรุกต้องวางแผนต้องเตรียมเสบียง ตากแดด ตากลม ส่วนฝ่ายรับนั้งดูในห้องแอร์ กินอิ่มนอนหลับ สุดท้ายแล้วถ้ายังอยู่แบบนี้ ฝ่ายรุกย่อมจะเหนื่อยไปเอง ความคึกคักก็จะยิ่งหายไป สุดท้ายแล้วง่ายที่จะจัดการ หรือชักชวนให้เลิกม็อบ
“จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่นหลัง ประวัติฝงอี้” กล่าวว่า
"ผู้บุกกำลังไม่พอ แต่ผู้รับมีกำลังเหลือเฟือ บัดนี้รักษาเมืองไว้ก่อน ใช้ความสงบรอความเปลี้ย มิจำต้องไปรบด้วยเลย” ตรงนี้แหละจะเป็นหนึ่งจุดสำคัญในการรับม็อบนี้ ฝ่ายม็อบหรือฝ่ายบุก มีกำลังแต่เป็นเพียงเสียงส่วนน้อย แถมในกลุ่มน้อยก็ยังมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย กำลังไม่พอที่จะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน แต่รัฐบาลเป็นเสียงส่วนใหญ่ในประเทศ และมีผุ้ให้การสนับสนุนมากมาย เพียงแค่รักษาฐานที่มั่น ฐานอำนาจของตัวเองไว้ ไม่ต้องทำอะไรมากให้เวลาเป็น
ยาฆ่าตัวตายของฝ่ายม็อบเอง
"ใช้ใกล้รอไกล ใช้สบายรอเหนื่อย ใช้อิ่มรอหิว นี้คือการสยบผู้แกร่งกว่านั้นแล" ถือว่าเป็นกลยุทธ์ตั้งรับที่สมบูรณ์แบบนอกจากตั้งรับ รัฐบาลต้องบำรุงขวัญและกำลังของฝ่ายตัวเอง ให้พร้อมอยู่เสมอ ทั้งการประชาสัมพันธ์ ทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาล ตำรวจ อาสาที่ดูแลม็อบ ต้องดูแลเขาอย่างดีให้เขามีความสุขและให้ฝ่ายรุกเห็นว่าเรามีความสุข เราอยู่บ้าน อยู่ห้องแอร์ กินอิ่มนอนหลับ ย่อมสบายกว่ามานอนริมถนน ตากแดดแน่นอน
กลยุทธ์นี้สรุปว่า
“เมื่อศัตรูมีทีท่าแจ่มชัด แต่กำลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำลังของพันธมิตรไปโจมตีศัตรู หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีทั้งปวง” ไม่เพียงแต่ตั้งรับรัฐบาลยังใช้พันธมิตรของรัฐบาลโจมตีและเล่นงานม็อบยางได้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่างๆ ให้ฉายภาพม็อบให้เห็นความจริงที่เป็นอยู่ว่าม็อบนี้เป็นเพียงม็อบจัดตั้ง หรือ ให้หน่วยงานต่างๆของรัฐให้ความเข้าใจชาวบ้านในพื้นที่ที่ม็อบตั้งอยู่ให้ไม่สนับสนุนม็อบ หรือต่อต้านม็อบ เพราะ
คนที่เดือนร้อนกว่าม็อบยางย่อมคือชาวบ้านในพื้นที่ และ คนอาชีพอื่นๆที่ได้รับผลกระทบพวกนี้ย่อมจะเป็นพันธมิตรของรัฐบาลไปโดยปริยาย
กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย ถ้ารัฐบาลลองนำเอาไปปรับใช้ดู ผมคิดว่าม็อบนี้ไม่เกินมือครับ แต่กลยุทธไหนก็ต้องปรับไปตามสถานการณ์ แต่ตอนนี้ถ้าจะให้ผมวิเคราห์แล้วกลยุทธ์นี่แหละเหมาสมที่สุดครับ
>>>กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย หนึ่งใน 36 กลยุทธ์ ของ ซุนวู ที่รัฐบาลควรนำมาใช้ตอนนี้ ลองอ่านลองวิจารณ์กันดูครับ
แบ่งเป็น เป็น 6 ส่วน ส่วนละ 6 กลยุทธ์
สถานการณ์ในประเทศไทยในตอนนี้ ถ้ารัฐบาลลองมองกลยุทธต่างๆ ของซุนวู
กลยุทธ์ที่น่าจะนำมาใช้ หรือ ตอนนี้อาจจะกำลังใช้อยู่คือ
กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย อยู่ในส่วนของ กลชนะศึก
กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย
คำอธิบายจาก
http://7meditation.blogspot.com/2011/03/4_3181.html
กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า
เมื่อประสงค์จักทำให้ข้าศึกตกอยู่ในภาวะลำบาก ไม่แน่ว่าจะต้องใช้วิธีรบแต่ฝ่ายเดียว อาจจะใช้วิธี "แกร่งเสียอ่อนได้” ตามที่กล่าวไว้ใน “คัมภีร์อี้จิง สูญเสีย เมื่อให้ได้รับชัยชนะก็ได้”
ความหมายของ “แกร่งเสีย” ก็คือ เมื่อการรุกของข้าศึกดุเดือดยิ่งนัก ดูภายนอกแล้วเสมือนหนึ่งเข้มแข็งใหญ่โตเหลือประมาณแต่ไม่อาจรบต่อเนื่องได้ยาวนาน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้ง่าย
“อ่อนได้” ก็คือ ฝ่ายรับที่ทำการป้องกัน ถูกตีกระหน่ำดูแล้วเหมือนหนึ่งอ่อนปวกเปียก แต่สามารถจะใช้ความสงบรอความเปลี้ย บั่นทอนกำลังข้าศึกไม่ขาดระยะ ทำให้ตนแปรเปลี่ยนจากฝ่ายเสียเปรียบเป็นฝ่ายได้เปรียบ
นี้คือกลอุบายในการยึดกุมเป็นฝ่ายริเริ่มในสงคราม รอโอกาสทำลายข้าศึกแปรการรับให้เป็นการรุกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีปรากฏอยู่ในตำราพิชัยสงครามหลายเล่ม เช่น “ซุนจือ ว่าด้วยการศึก” "ยุทธวิธีร้อยแปด ว่าด้วยสงคราม” “ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” “บันทึกจ่อจ้วน” “บันทึกประวัติศาสตร์” “จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่น” ซึ่งใน “ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” กล่าวไว้ว่า“ทราบจากตำราพิชัยสงครามว่าผู้รับมักสบาย แต่ผู้รุกมักเหนื่อยยาก รอซ้ำยามเปลี้ย” ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่นหลัง ประวัติฝงอี้” กล่าวว่า "ผู้บุกกำลังไม่พอ แต่ผู้รับมีกำลังเหลือเฟือ บัดนี้รักษาเมืองไว้ก่อน ใช้ความสงบรอความเปลี้ย มิจำต้องไปรบด้วยเลย”
กลยุทธ์นี้มาจาก "ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ ว่าด้วยการทำศึก" ความเดิมมีว่า "ใช้ใกล้รอไกล ใช้สบายรอเหนื่อย ใช้อิ่มรอหิว นี้คือการสยบผู้แกร่งกว่านั้นแล"
กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อศัตรูมีทีท่าแจ่มชัด แต่กำลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำลังของพันธมิตรไปโจมตีศัตรู หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีทั้งปวง”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
จากกลยุทธ์นี้ จะเห็นได้ว่า ฝ่ายต่อต้าน ระดมพลเสียใหญ่โต ดูน่าเกรงขาม แต่จริงๆแล้วคนที่มาเป็นเพียงประชาชนที่ถูกจ้างหรือถูกยุ ถูกปลุกปั่นให้มา ไม่ใช่มืออาชีพที่จะประท้วงแบบยืดยาวและอดทน แถมยังเป็นการประท้วงที่เริ่มออกนอกพื้นที่ตัวเอง ทั้งเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ตากแดด ตากฝน นอนไม่เต็มอิ่ม มีห่วงทั้งบ้าน ทั้งลูก ทั้งที่ทำกิน แม้จะมีการส่งเสบียงกัน แต่มันคงไม่สบายเหมือนที่บ้าน และเหตุผลที่มาชุมนุมก็ไม่เพียงพอที่จะยืดเยื้อได้ขนาดนั้น เพราะถือว่ารัฐบาลก็ช่วยเหลือหลายอย่างแล้วถ่าเอาจริงๆ ยางราคานี้อยู่ได้สบายแต่อาจจะไม่รวย
ถ้าดูต่อไป รัฐบาลเหมือนจะ " อ่อนได้ " คือ ไม่ได้ทำตั้งรับให้แข็งกร่าวเสียทีเดียว แต่อ่อนได้ ไม่ว่าการเจรจายอมเท่าที่ยอมได้ ไม่ใช่ไม่ยอมช่วยอะไรเลย และเรื่องอ่อนได้นี่เองทำให้ จากที่จะโดนกระหน่ำ จาก ทุกภาค รัฐบาลยอมอ่อน ใจได้ใจ ชาวสวนยาง เหนือ อีสาน และตะวันออกบางพื้นที่ ไม่เอาด้วย กับ ม็อบสวนยางภาคใต้ ทำให้รัฐบาลไม่ต้องรับศึกทุกด้านรับเพียงแค่ภาคใต้ถือว่างานเบาลงไปเยอะ
" ตำราพิชัยสงครามว่าผู้รับมักสบาย แต่ผู้รุกมักเหนื่อยยาก รอซ้ำยามเปลี้ย " แน่นอนครับ ฝ่ายรุกต้องวางแผนต้องเตรียมเสบียง ตากแดด ตากลม ส่วนฝ่ายรับนั้งดูในห้องแอร์ กินอิ่มนอนหลับ สุดท้ายแล้วถ้ายังอยู่แบบนี้ ฝ่ายรุกย่อมจะเหนื่อยไปเอง ความคึกคักก็จะยิ่งหายไป สุดท้ายแล้วง่ายที่จะจัดการ หรือชักชวนให้เลิกม็อบ
“จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่นหลัง ประวัติฝงอี้” กล่าวว่า "ผู้บุกกำลังไม่พอ แต่ผู้รับมีกำลังเหลือเฟือ บัดนี้รักษาเมืองไว้ก่อน ใช้ความสงบรอความเปลี้ย มิจำต้องไปรบด้วยเลย” ตรงนี้แหละจะเป็นหนึ่งจุดสำคัญในการรับม็อบนี้ ฝ่ายม็อบหรือฝ่ายบุก มีกำลังแต่เป็นเพียงเสียงส่วนน้อย แถมในกลุ่มน้อยก็ยังมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย กำลังไม่พอที่จะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน แต่รัฐบาลเป็นเสียงส่วนใหญ่ในประเทศ และมีผุ้ให้การสนับสนุนมากมาย เพียงแค่รักษาฐานที่มั่น ฐานอำนาจของตัวเองไว้ ไม่ต้องทำอะไรมากให้เวลาเป็นยาฆ่าตัวตายของฝ่ายม็อบเอง
"ใช้ใกล้รอไกล ใช้สบายรอเหนื่อย ใช้อิ่มรอหิว นี้คือการสยบผู้แกร่งกว่านั้นแล" ถือว่าเป็นกลยุทธ์ตั้งรับที่สมบูรณ์แบบนอกจากตั้งรับ รัฐบาลต้องบำรุงขวัญและกำลังของฝ่ายตัวเอง ให้พร้อมอยู่เสมอ ทั้งการประชาสัมพันธ์ ทั้งการสนับสนุนจากรัฐบาล ตำรวจ อาสาที่ดูแลม็อบ ต้องดูแลเขาอย่างดีให้เขามีความสุขและให้ฝ่ายรุกเห็นว่าเรามีความสุข เราอยู่บ้าน อยู่ห้องแอร์ กินอิ่มนอนหลับ ย่อมสบายกว่ามานอนริมถนน ตากแดดแน่นอน
กลยุทธ์นี้สรุปว่า “เมื่อศัตรูมีทีท่าแจ่มชัด แต่กำลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำลังของพันธมิตรไปโจมตีศัตรู หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีทั้งปวง” ไม่เพียงแต่ตั้งรับรัฐบาลยังใช้พันธมิตรของรัฐบาลโจมตีและเล่นงานม็อบยางได้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อต่างๆ ให้ฉายภาพม็อบให้เห็นความจริงที่เป็นอยู่ว่าม็อบนี้เป็นเพียงม็อบจัดตั้ง หรือ ให้หน่วยงานต่างๆของรัฐให้ความเข้าใจชาวบ้านในพื้นที่ที่ม็อบตั้งอยู่ให้ไม่สนับสนุนม็อบ หรือต่อต้านม็อบ เพราะคนที่เดือนร้อนกว่าม็อบยางย่อมคือชาวบ้านในพื้นที่ และ คนอาชีพอื่นๆที่ได้รับผลกระทบพวกนี้ย่อมจะเป็นพันธมิตรของรัฐบาลไปโดยปริยาย
กลยุทธ์ที่ 4 รอซ้ำยามเปลี้ย ถ้ารัฐบาลลองนำเอาไปปรับใช้ดู ผมคิดว่าม็อบนี้ไม่เกินมือครับ แต่กลยุทธไหนก็ต้องปรับไปตามสถานการณ์ แต่ตอนนี้ถ้าจะให้ผมวิเคราห์แล้วกลยุทธ์นี่แหละเหมาสมที่สุดครับ