เศรษฐกิจ อเมริกา
ISM หรือ ดัชนีชี้วัด ภาคอุตสาหกรรม ของอเมริกา อยู่เหนือ 50 และเดินหน้าขึ้นต่อไป
วิธีอ่านตัวชี้วัดเศรษฐกิจ คล้ายๆ MACD คือ ให้ 50 เป็นค่ากลาง
เหนือ 50 เป็นบวก ภาคอุตสาหกรรม bullish กำลังเติบโต...... ต่ำกว่า 50 เป็นลบ ภาคอุตสาหกรรม หดตัว
เมื่อภาพเป็นแบบนี้ แสดงว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของอเมริกาดีขึ้น....... แล้วจะส่งผลยังไงต่อ??
มาดูที่การจ้างงานนอกภาคการเกษตร กับการบริโภคกันบ้าง
ด้านซ้ายการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ค่าเฉลี่ยของปี 2013 คือ 192k ตำแหน่ง ยังดูดีกว่า 2012 ที่ 182k
แต่จะเห็นว่า กราฟแท่งรายเดือนมันไม่ได้พุ่งขึ้นพรวดๆ ต่อเนื่อง มันพุ่งแค่เดือนที่มีการประกาศใช้ QE
เราจึงเห็นทาง FED ยังคงงงๆ ไม่กล้าฟันธงหยุด QE เพราะไม่รู้ว่า ถ้าลดสภาพคล่องลง การจ้างงานจะยังดีเหมือนเดิมมั้ย
ด้านขวา คือ การบริโภค จะเห็นว่า ในปีนี้ กราฟเดินหน้าขึ้นอย่างเดียว แสดงให้เห็นสัญญาณที่ดี ในความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอเมริกา
จะเห็นว่า FUND FLOW ก็มีผลต่อตลาดหุ้น อเมริการเหมือนกัน เพราะ ขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีเหมือนบ้านเรา
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ เขายังขึ้นต่อไป แต่ภูมิภาคเราตก ถามว่า เพราะอะไร??? เพราะ เงินจะไปไหลเข้าในที่ๆ กำลังจะดี หรือพึ่งเริ่มดี
คนไทยก็ลงทุนหุ้นอเมริกาได้ ผ่านกองทุนรวม ผมขอยกตัวอย่าง กราฟ NAV ของกองทุน K-USA มาให้ดู เพื่อดู trend หุ้นในอเมริกา
แล้วมาบอกตอนนี้ สายไปมั้ย ผลเฉลยแล้วค่อยมาบอก เพื่ออะไร???? หลอกตรูไปดอยหรืออย่างไร?!?!?
ปล่าวครับ ในเชิงโมเมนตั้ม เราจะยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ ในสิ่งที่เรากำลังจะทุ่มตังค์ลง ต่อไป
มาดูที่ยุโรปบ้าง
อเมริกาใช้ ISM เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจ ส่วนของยุโรป ใช้ PMI เป็นตัวชี้วัด
การอ่านค่าเหมือนกัน คือ ใช้ 50 เป็นแกนกลาง....สูงกว่า 50 ภาคการผลิตเป็นบวก / ต่ำกว่า 50 ภาคการผลิตเป็นลบ
ในภาพซ้าย ยุโรปถดถอยจริง PMI ต่ำกว่า 50 มาตลอด พึ่งมาแตะ 50 ได้เมื่อเดือนก่อน ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือปล่าว?????
ตอบ.... เราฟันธงไม่ได้ เราเลยต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วย
ในด้านขวา มี ระดับอัตราการว่างงานอยู่ จะเห็นว่า ใน EU ยังอยู่ที่ระดับ 10% และยังไม่หักหัวลง
เราก็พอสรุปได้ว่า การจ้างงานก็ยัง ไม่ค่อยฟื้นดีเท่าไหร่........แต่ แต่ แต่ ... อย่าลืมว่า หุ้นเล่นกันภายใต้ความหวัง เล่นกันที่ภาพในอนาคต
เราลองมาดูหุ้นยุโรปกัน ว่า ทั้งโลกเขาคิดยังไงกับหุ้นยุโรป
ดูผ่านกองทุนที่เราสามารถมีเอี่ยวได้...KF-EUROPE
จะเห็นว่า ยุโรปก็เหมือนเรา ได้รับอานิสงค์ QE เหมือนกัน พวก บลจ. หรือผู้ออกกองทุนรวมก็ฉลาด
ออกกองทุนมาตอน เดือน พฤษภาคม ช่วงที่ภาพเศรษฐกิจ หรือ PMI ยุโรป เป็น uptrend กำลังจะแตะ 50 พอดี
พอผลของ เดือนมิถุนายนออกมา ค่า PMI เหนือ 50 ......NAV กองทุน พุ่งพรวดเลย พึ่งมีสัญญาณมาลง กลางเดือน 8 นี้
เดี๋ยวต้นกันยายนนี้ เรามาลุ้นกัน ว่า PMI ยุโรป เดือนสิงหาคม จะออกมายังไง
ถ้าออกมาดี ก็คือ ยังเหนือ 50 อยู่ ถ้าดีมากๆ ก็ออกมาดีกว่าของเดิม
ตอนนี้เป็นสัญญาณพักฐานที่ดี ที่จะรอดูถ้าที เพื่อที่จะรอซื้อกองทุนหุ้นยุโรป
ถ้า PMI ไม่หักหัวลง ในเชิงนักเก็งกำไรแบบโมเมนตั้ม ผมเชียร์กองทุนหุ้นยุโรปครับ
มาถึงในไทยบ้าง มาดู GDP กัน ทำไมหุ้นขึ้น แต่เป็นหุ้นรถ หุ้นบ้าน หุ้นนิคม หุ้นแบงค์
เหตุเพราะ พวกหุ้นในประเทศเหล่านี้ ได้รับอานิสงค์จากการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ รวมทั้งการฟื้นตัวหลังน้ำท่วม
มาดู GDP ไทยกัน

*ของ ไตรมาส 2 ปี 56 เป็น 2.8% นะครับ ยังไม่ได้แก้ภาพ
ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ยครับ ทำไมหุ้นขึ้น
ดูกรอบสีขาว ปี 2012 หลังน้ำท่วม เห็นว่า comsumption เริ่มฟื้นตัวแล้ว
แต่หุ้นไทยมาพีคตอน Q3/55 - Q1/56 เพราะการก้าวกระโดดของ GDP
มาจากไหน???? หลักๆ คือ Export(อะไหล่รถยนต์ ส่งไปตีตรากลับเข้ามาขาย แต่ใน exportก็มีเรื่องการท่อบเที่ยวแฝงอยู่ด้วย)
และการบริโภคในประเทศก็จากที่เรารู้ๆกันอยู่ สร้างบ้านคอนโด ซื้อรถ แบงค์ปล่อยกู้ เงินเดือนขึ้น
ปีที่แล้ว เป็นปี "มหกรรมการใช้เงินในอนาคตแห่งชาติ" ก็น่าจะส่งผลต่อการบริโภคไปหลายปีเหมือนกัน สำหรับชนชั้นมนุษย์เงินเดือน
ผลกระทบถูกชิ่งมาที่ ไตรมาส 1 ปี 56 และไตรมาส 2 ปีเดียวกัน
ดูจากกราฟ GDP แล้ว ไม่แปลกใจเลย ที่ตลาดหุ้นเราจะถูกทิ้ง เพราะ มันหดตัวลงแบบลงลิฟท์เลยจริงๆ
(อันนี้ผมตั้งข้อสมมติฐานว่าไม่เกี่ยวกับ Fund flow ภูมิภาค แต่ความจริง ที่หุ้นลงเป็นเพราะ Fund flow มากกว่าเศรษฐกิจ)
มาดูกันเป็นตัวๆ เริ่มที่ ภาคการผลิตก่อนครับ

ภาพซ้าย ภาคการผลิตตกวูบหนัก ในเดือนพฤษภาคม นำโดย ผู้ผลิตเพื่อส่งออก 60% ของการผลิต
หมายความว่า การส่งออกหดตัว จริงๆ ครับ
ภาพขวา การสั่งซื้อสินค้าทุน หรือสินค้าเพื่อการผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวชี้วัดว่า การผลิตในไทยชะลอตัวจริงๆ
ดังนั้น ช่วงนี้เราจะไม่เล่นหุ้นกลุ่ม I หรือ การลงทุนภาคเอกชน มีอะไรบ้าง นิคมฯ เครื่องจักร จนกว่าจะมี something มากระตุ้น
ดูในส่วนของการส่งออกบ้าง Q1/56 คล้ายโลกความฝันอยู่ได้ไม่นานก็มาดรอปลง
ภาพซ้าย : การส่งออกยังคงโดนหนักในช่วงเดือน พฤษภาคม ซึ่งตรงกันกับการดรอปลงของภาคการผลิต
ภาพขวา : การส่งออกโดยฉุดลงเต็มๆ โดยคู่ค้าหลัก คือ จีน ชะลอตัวลงถึง -16% อีกกลุ่มก็ คือ ตะวันออกกลาง
คู่ค้าหลักของเราทั้งสองภูมิภาคนี้ สินค้าหลักๆ คือ สินค้าเกษตร ครับ
จะเห็นว่า ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Food ก็เป็นกลุ่มที่เล่นแล้วไม่มีกำไรเลย เช่นกัน
ในส่งออกมีท่องเที่ยว ในการบริโภคเอกชนก็ไม่ควรลืมกระดูกสันหลังของชาติ
ภาพซ้าย : จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมาตลอดสวนทางกับ GDP
เราจึงเห็นงบ Q2/56 ของกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว ยังออกมาสวยงามทั้งที่ไม่ใช่ช่วง high season หน้าหนาว
อีกเรื่องคือ รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นมากในเดือน มิถุนายน ผลจากการรับเงินจำนำข้าว
ภาพขวา : VATและสินค้าอิเล็คทรอนิค(ทีวี ตู้เย็น) เริ่มฟื้นตัว ตรงกันกับรายได้เกษตรกร
แต่ที่น่าเป็นห่วง ยังคงเป็น ยอดขายรถยนต์ที่ตกลงอย่างมาก อาจเป็นเพราะฐานที่สูงใน Q4/55 ด้วย(ก่อนหมดรถคันแรก)
ทั้งหมดที่กล่าว คือ เหตุผลทางเศรษฐกิจที่นักวิเคราะห์และเราอ้างได้ว่าทำไมหุ้นลง
ประเด็นคือ คนที่มองออก และเล่นพื้นฐาน ควรขายหุ้นไทยตั้งแต่ตอน GDP ไตรมาส 1 ปี 2556 ออก
ช่วงที่ประกาศคือช่วงเดือน เมษายน ..........
ที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น มันนำมาสู่ภาพๆนี้ "วัฏจักรเศรษฐกิจ"
แต่ในเมื่อวันเวลามันก็ผ่านไปแล้ว ขายหุ้นก็ไม่ได้ขาย ติดดอยอยู่ควรทำอย่างไรดี?!?!?!?
ภาพนิ้ บอก กรอบ PE ของ SET ไว้ดังนี้

PE เฉลี่ย ตั้งแต่ปี 2006 ถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 11.5 คิดเทียบกับดัชนีปัจจุบัน คือ SET ที่ 1250
แต่กรณีเลวร้าย ก็เคยวิ่งลงไปที่ PE 9 เท่าเหมือนกัน
ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือ ถ้าหุ้นเด้งให้ออกของ ในหุ้นกลุ่มในประเทศที่พื้นฐานเปลี่ยน
ความเห็นส่วนตัวนั้น ไม่ชอบหุ้นในประเทศ ที่เกี่ยวกับการเป็นหนี้ทั้งหมด
เพราะ จากการบริโภคที่ลดลง เราควรจะตระหนักแล้วว่า ประชาชน เราใช้กันเกือบเต็มวงเงิน ในสิทธิ์ของตัวเองกันหมดแล้ว
เด้งรอบนี้ เป็นผม ผมจะขายธนาคาร ขายเช่าซื้อ ขายผลิตรถยนต์ ขายบ้านคอนโดก่อน XD ป๋าๆ ส่งท้าย
จะรอสลับเข้า ท่องเที่ยว ส่งออกอิเล็คทรอนิค(ยุโรปฟื้น บาทอ่อน) น้ำมัน(อเมริกาฟื้น QEหยุด) ทอง(QEหยุด) สินค้า Cheap Entertainment
ถ้าเชื่อว่า SET ลง ก็ลงทั้งหมด ก็จะหนีไป Commodity โดยตรง หรือไม่ก็กองทุนหุ้น อเมริกา ยุโรป ครับ
สำหรับ เงินที่จัดสรรมาแล้ว เพื่อลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เราจะไม่หยุดแล้วเอาตังค์ไปไว้ใน saving อย่างตราสารหนี้ครับ
เพราะส่วนนั้นเราก็คงได้แบ่งไว้แล้ว ทั้งออมทรัพย์ ฝากประจำ หุ้นกู้ ส่วนเสี่ยงก็ต้องมาเสี่ยงกันต่อไปครับ
แต่ไม่ใช่ ในหุ้นยอดฮิต ในช่วง 1 ปีทผ่านมา.....รอบนี้แจ็คพอร์ตอาจจะตกอยู่กับ หุ้นที่ทำให้หลายคนดอยใน 2-3 ปีที่ผ่านมา
อย่างพวก "หุ้น commodity" ก็ได้ครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก K-Research และผู้ใหญ่ที่เป็นทั้งครูและเจ้านายที่แสนดี พี่หนุ่ม ศักดา(เซียนหุ้นใยไหมฟ้า) มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
เห็นกระทู้แนะนำแล้ว เพลีย นี่หุ้นไทยตกพี่จะไล่จับผิดกันอย่างเดียวเลยเหรอ ไม่ดูกองทุนต่างประเทศ หรือตลาดคอมโมบ้างล่ะ
ISM หรือ ดัชนีชี้วัด ภาคอุตสาหกรรม ของอเมริกา อยู่เหนือ 50 และเดินหน้าขึ้นต่อไป
วิธีอ่านตัวชี้วัดเศรษฐกิจ คล้ายๆ MACD คือ ให้ 50 เป็นค่ากลาง
เหนือ 50 เป็นบวก ภาคอุตสาหกรรม bullish กำลังเติบโต...... ต่ำกว่า 50 เป็นลบ ภาคอุตสาหกรรม หดตัว
เมื่อภาพเป็นแบบนี้ แสดงว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของอเมริกาดีขึ้น....... แล้วจะส่งผลยังไงต่อ??
มาดูที่การจ้างงานนอกภาคการเกษตร กับการบริโภคกันบ้าง
ด้านซ้ายการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ค่าเฉลี่ยของปี 2013 คือ 192k ตำแหน่ง ยังดูดีกว่า 2012 ที่ 182k
แต่จะเห็นว่า กราฟแท่งรายเดือนมันไม่ได้พุ่งขึ้นพรวดๆ ต่อเนื่อง มันพุ่งแค่เดือนที่มีการประกาศใช้ QE
เราจึงเห็นทาง FED ยังคงงงๆ ไม่กล้าฟันธงหยุด QE เพราะไม่รู้ว่า ถ้าลดสภาพคล่องลง การจ้างงานจะยังดีเหมือนเดิมมั้ย
ด้านขวา คือ การบริโภค จะเห็นว่า ในปีนี้ กราฟเดินหน้าขึ้นอย่างเดียว แสดงให้เห็นสัญญาณที่ดี ในความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอเมริกา
จะเห็นว่า FUND FLOW ก็มีผลต่อตลาดหุ้น อเมริการเหมือนกัน เพราะ ขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีเหมือนบ้านเรา
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ เขายังขึ้นต่อไป แต่ภูมิภาคเราตก ถามว่า เพราะอะไร??? เพราะ เงินจะไปไหลเข้าในที่ๆ กำลังจะดี หรือพึ่งเริ่มดี
คนไทยก็ลงทุนหุ้นอเมริกาได้ ผ่านกองทุนรวม ผมขอยกตัวอย่าง กราฟ NAV ของกองทุน K-USA มาให้ดู เพื่อดู trend หุ้นในอเมริกา
แล้วมาบอกตอนนี้ สายไปมั้ย ผลเฉลยแล้วค่อยมาบอก เพื่ออะไร???? หลอกตรูไปดอยหรืออย่างไร?!?!?
ปล่าวครับ ในเชิงโมเมนตั้ม เราจะยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ ในสิ่งที่เรากำลังจะทุ่มตังค์ลง ต่อไป
มาดูที่ยุโรปบ้าง
อเมริกาใช้ ISM เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจ ส่วนของยุโรป ใช้ PMI เป็นตัวชี้วัด
การอ่านค่าเหมือนกัน คือ ใช้ 50 เป็นแกนกลาง....สูงกว่า 50 ภาคการผลิตเป็นบวก / ต่ำกว่า 50 ภาคการผลิตเป็นลบ
ในภาพซ้าย ยุโรปถดถอยจริง PMI ต่ำกว่า 50 มาตลอด พึ่งมาแตะ 50 ได้เมื่อเดือนก่อน ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือปล่าว?????
ตอบ.... เราฟันธงไม่ได้ เราเลยต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วย
ในด้านขวา มี ระดับอัตราการว่างงานอยู่ จะเห็นว่า ใน EU ยังอยู่ที่ระดับ 10% และยังไม่หักหัวลง
เราก็พอสรุปได้ว่า การจ้างงานก็ยัง ไม่ค่อยฟื้นดีเท่าไหร่........แต่ แต่ แต่ ... อย่าลืมว่า หุ้นเล่นกันภายใต้ความหวัง เล่นกันที่ภาพในอนาคต
เราลองมาดูหุ้นยุโรปกัน ว่า ทั้งโลกเขาคิดยังไงกับหุ้นยุโรป
ดูผ่านกองทุนที่เราสามารถมีเอี่ยวได้...KF-EUROPE
จะเห็นว่า ยุโรปก็เหมือนเรา ได้รับอานิสงค์ QE เหมือนกัน พวก บลจ. หรือผู้ออกกองทุนรวมก็ฉลาด
ออกกองทุนมาตอน เดือน พฤษภาคม ช่วงที่ภาพเศรษฐกิจ หรือ PMI ยุโรป เป็น uptrend กำลังจะแตะ 50 พอดี
พอผลของ เดือนมิถุนายนออกมา ค่า PMI เหนือ 50 ......NAV กองทุน พุ่งพรวดเลย พึ่งมีสัญญาณมาลง กลางเดือน 8 นี้
เดี๋ยวต้นกันยายนนี้ เรามาลุ้นกัน ว่า PMI ยุโรป เดือนสิงหาคม จะออกมายังไง
ถ้าออกมาดี ก็คือ ยังเหนือ 50 อยู่ ถ้าดีมากๆ ก็ออกมาดีกว่าของเดิม
ตอนนี้เป็นสัญญาณพักฐานที่ดี ที่จะรอดูถ้าที เพื่อที่จะรอซื้อกองทุนหุ้นยุโรป
ถ้า PMI ไม่หักหัวลง ในเชิงนักเก็งกำไรแบบโมเมนตั้ม ผมเชียร์กองทุนหุ้นยุโรปครับ
มาถึงในไทยบ้าง มาดู GDP กัน ทำไมหุ้นขึ้น แต่เป็นหุ้นรถ หุ้นบ้าน หุ้นนิคม หุ้นแบงค์
เหตุเพราะ พวกหุ้นในประเทศเหล่านี้ ได้รับอานิสงค์จากการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ รวมทั้งการฟื้นตัวหลังน้ำท่วม
มาดู GDP ไทยกัน
*ของ ไตรมาส 2 ปี 56 เป็น 2.8% นะครับ ยังไม่ได้แก้ภาพ
ทีนี้รู้แล้วใช่มั้ยครับ ทำไมหุ้นขึ้น
ดูกรอบสีขาว ปี 2012 หลังน้ำท่วม เห็นว่า comsumption เริ่มฟื้นตัวแล้ว
แต่หุ้นไทยมาพีคตอน Q3/55 - Q1/56 เพราะการก้าวกระโดดของ GDP
มาจากไหน???? หลักๆ คือ Export(อะไหล่รถยนต์ ส่งไปตีตรากลับเข้ามาขาย แต่ใน exportก็มีเรื่องการท่อบเที่ยวแฝงอยู่ด้วย)
และการบริโภคในประเทศก็จากที่เรารู้ๆกันอยู่ สร้างบ้านคอนโด ซื้อรถ แบงค์ปล่อยกู้ เงินเดือนขึ้น
ปีที่แล้ว เป็นปี "มหกรรมการใช้เงินในอนาคตแห่งชาติ" ก็น่าจะส่งผลต่อการบริโภคไปหลายปีเหมือนกัน สำหรับชนชั้นมนุษย์เงินเดือน
ผลกระทบถูกชิ่งมาที่ ไตรมาส 1 ปี 56 และไตรมาส 2 ปีเดียวกัน
ดูจากกราฟ GDP แล้ว ไม่แปลกใจเลย ที่ตลาดหุ้นเราจะถูกทิ้ง เพราะ มันหดตัวลงแบบลงลิฟท์เลยจริงๆ
(อันนี้ผมตั้งข้อสมมติฐานว่าไม่เกี่ยวกับ Fund flow ภูมิภาค แต่ความจริง ที่หุ้นลงเป็นเพราะ Fund flow มากกว่าเศรษฐกิจ)
มาดูกันเป็นตัวๆ เริ่มที่ ภาคการผลิตก่อนครับ
ภาพซ้าย ภาคการผลิตตกวูบหนัก ในเดือนพฤษภาคม นำโดย ผู้ผลิตเพื่อส่งออก 60% ของการผลิต
หมายความว่า การส่งออกหดตัว จริงๆ ครับ
ภาพขวา การสั่งซื้อสินค้าทุน หรือสินค้าเพื่อการผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวชี้วัดว่า การผลิตในไทยชะลอตัวจริงๆ
ดังนั้น ช่วงนี้เราจะไม่เล่นหุ้นกลุ่ม I หรือ การลงทุนภาคเอกชน มีอะไรบ้าง นิคมฯ เครื่องจักร จนกว่าจะมี something มากระตุ้น
ดูในส่วนของการส่งออกบ้าง Q1/56 คล้ายโลกความฝันอยู่ได้ไม่นานก็มาดรอปลง
ภาพซ้าย : การส่งออกยังคงโดนหนักในช่วงเดือน พฤษภาคม ซึ่งตรงกันกับการดรอปลงของภาคการผลิต
ภาพขวา : การส่งออกโดยฉุดลงเต็มๆ โดยคู่ค้าหลัก คือ จีน ชะลอตัวลงถึง -16% อีกกลุ่มก็ คือ ตะวันออกกลาง
คู่ค้าหลักของเราทั้งสองภูมิภาคนี้ สินค้าหลักๆ คือ สินค้าเกษตร ครับ
จะเห็นว่า ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่ม Food ก็เป็นกลุ่มที่เล่นแล้วไม่มีกำไรเลย เช่นกัน
ในส่งออกมีท่องเที่ยว ในการบริโภคเอกชนก็ไม่ควรลืมกระดูกสันหลังของชาติ
ภาพซ้าย : จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นมาตลอดสวนทางกับ GDP
เราจึงเห็นงบ Q2/56 ของกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว ยังออกมาสวยงามทั้งที่ไม่ใช่ช่วง high season หน้าหนาว
อีกเรื่องคือ รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นมากในเดือน มิถุนายน ผลจากการรับเงินจำนำข้าว
ภาพขวา : VATและสินค้าอิเล็คทรอนิค(ทีวี ตู้เย็น) เริ่มฟื้นตัว ตรงกันกับรายได้เกษตรกร
แต่ที่น่าเป็นห่วง ยังคงเป็น ยอดขายรถยนต์ที่ตกลงอย่างมาก อาจเป็นเพราะฐานที่สูงใน Q4/55 ด้วย(ก่อนหมดรถคันแรก)
ทั้งหมดที่กล่าว คือ เหตุผลทางเศรษฐกิจที่นักวิเคราะห์และเราอ้างได้ว่าทำไมหุ้นลง
ประเด็นคือ คนที่มองออก และเล่นพื้นฐาน ควรขายหุ้นไทยตั้งแต่ตอน GDP ไตรมาส 1 ปี 2556 ออก
ช่วงที่ประกาศคือช่วงเดือน เมษายน ..........
ที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้น มันนำมาสู่ภาพๆนี้ "วัฏจักรเศรษฐกิจ"
แต่ในเมื่อวันเวลามันก็ผ่านไปแล้ว ขายหุ้นก็ไม่ได้ขาย ติดดอยอยู่ควรทำอย่างไรดี?!?!?!?
ภาพนิ้ บอก กรอบ PE ของ SET ไว้ดังนี้
PE เฉลี่ย ตั้งแต่ปี 2006 ถึงปัจจุบัน อยู่ที่ 11.5 คิดเทียบกับดัชนีปัจจุบัน คือ SET ที่ 1250
แต่กรณีเลวร้าย ก็เคยวิ่งลงไปที่ PE 9 เท่าเหมือนกัน
ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือ ถ้าหุ้นเด้งให้ออกของ ในหุ้นกลุ่มในประเทศที่พื้นฐานเปลี่ยน
ความเห็นส่วนตัวนั้น ไม่ชอบหุ้นในประเทศ ที่เกี่ยวกับการเป็นหนี้ทั้งหมด
เพราะ จากการบริโภคที่ลดลง เราควรจะตระหนักแล้วว่า ประชาชน เราใช้กันเกือบเต็มวงเงิน ในสิทธิ์ของตัวเองกันหมดแล้ว
เด้งรอบนี้ เป็นผม ผมจะขายธนาคาร ขายเช่าซื้อ ขายผลิตรถยนต์ ขายบ้านคอนโดก่อน XD ป๋าๆ ส่งท้าย
จะรอสลับเข้า ท่องเที่ยว ส่งออกอิเล็คทรอนิค(ยุโรปฟื้น บาทอ่อน) น้ำมัน(อเมริกาฟื้น QEหยุด) ทอง(QEหยุด) สินค้า Cheap Entertainment
ถ้าเชื่อว่า SET ลง ก็ลงทั้งหมด ก็จะหนีไป Commodity โดยตรง หรือไม่ก็กองทุนหุ้น อเมริกา ยุโรป ครับ
สำหรับ เงินที่จัดสรรมาแล้ว เพื่อลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เราจะไม่หยุดแล้วเอาตังค์ไปไว้ใน saving อย่างตราสารหนี้ครับ
เพราะส่วนนั้นเราก็คงได้แบ่งไว้แล้ว ทั้งออมทรัพย์ ฝากประจำ หุ้นกู้ ส่วนเสี่ยงก็ต้องมาเสี่ยงกันต่อไปครับ
แต่ไม่ใช่ ในหุ้นยอดฮิต ในช่วง 1 ปีทผ่านมา.....รอบนี้แจ็คพอร์ตอาจจะตกอยู่กับ หุ้นที่ทำให้หลายคนดอยใน 2-3 ปีที่ผ่านมา
อย่างพวก "หุ้น commodity" ก็ได้ครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก K-Research และผู้ใหญ่ที่เป็นทั้งครูและเจ้านายที่แสนดี พี่หนุ่ม ศักดา(เซียนหุ้นใยไหมฟ้า) มา ณ ที่นี้ด้วยครับ