ว่ากันด้วยเรื่องของมีคม SHARP the Helmet safety scheme (มาตรฐานหมวกกันน๊อค)


ปกติจะเคยได้ยินเรื่องมาตรฐานของ DOT, Snell, มอก, JIS กันมาบ้างแล้วใช่มั้ยครับ
ทีนี้ มันก็มี มาตรฐานอีกอันนึงเกิดขึ้นมา คือ Sharp เกิดจากทางอังกฤษ ตั้งใจจะสร้างมาตรฐานกลางขึ้นมา เพิ่งจะเกิดเมื่อปี 2007 นี้เอง
รายละเอียดลองดูจากใน link นี้นะครับ
http://www.youtube.com/watch?v=iB1a9iEeyv4

การทดลองจะแตกต่างจากมาตรฐานอื่นๆ โดยการสุ่มเลือกซื้อหมวก หลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่น ตามท้องตลาด
และนำมาทดลองโดยจะทดลองกระแทกถึง 32 ครั้งต่อหมวก 1 ใบ บนพื้นผิวที่เป็นแบบเรียบ และแบบแหลม และทดลองตามมุมกระแทกต่างๆ ที่จำลองมาจาก อุบัติเหตุจริง

ในขณะที่มาตรฐาน ECC จะกำหนด การทดสอบความเร็วการกระแทกหมวกไว้ที่ 7.5 เมตร/วินาที แต่ มาตรฐาน sharp จะทดสอบไว้ที่ 3 ความเร็วคือ 8.5 m/s, 7.5 m/s และ 6 m/s ซึ่งจะมีทั้งความเร็วสูงกว่าและต่ำกว่ามาตรฐาน ECC
โดยที่หมวกจะโดนเอามาใส่หัวจำลองที่ติดตั้ง sensor วัดแรงกระแทกไว้

ดูคลิปจำลองการทดสอบได้ที่นี่
http://www.youtube.com/watch?v=Syq0BRFuYdc

สิ่งที่ต่างจากมาตรฐานอื่นๆ อีกก็เห็นจะเป็น การให้เรทติ้ง 1-5 ดาว และรายละเอียดสำหรับการวัดแรงกระแทก เช่นกระแทกด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง (บอกในเวปของ sharp)ซึ่งโดยมาตรฐานอื่นๆ จะบอกแค่ว่า ผ่านหรือไม่ผ่าน เท่านั้น!!!
และในแต่ละจุดจะโดนวัดแรงกระแทกไว้ ก็จะชี้แจงออกมาเป็นสีในรูป ซึ่งดูง่ายเข้าใจได้ชัดเจน (ดูรายละเอียดหมวกแต่ละรุ่นได้จากเวป http://sharp.direct.gov.uk)
ความสามารถในการลดแรงกระแทกในที่นี้หมายถึง แรงกระทำที่ส่งผ่านสู่สมอง ซึ่งค่า g ยิ่งน้อย หมายถึงว่า แรงที่ส่งผ่านไปยังสมองก็น้อยลง

มาดูตัวอย่าง - ARAI RX-7 (ขอชี้แจงรายละเอียดในรูปเดียวเลยนะครับ)


ทีนี้ถ้าเป็นหมวกแบบเปิดคาง ก็จะมีข้อมูลชี้แจงเพิ่มอีก 1 อย่างทางด้านบนของรูป คือ อัตราการล๊อคคางของหมวกหลังจากทดสอบ ว่าสามารถล๊อคไว้ได้กี่ % ของการทดสอบ (เท่าที่เห็นรู้สึกว่าจะมี NOLAN ยี่ห้อเดียวที่สามารถล๊อคคางไว้ได้ 100%)



จะเห็นได้ว่าหลังๆ หมวกหลายๆยี่ห้อ จะเริ่มนำ sticker ของมาตรฐาน SHARP มาแปะบนชิวหน้าหมวกใหม่ๆ เพื่อใช้ในการบ่งบอกถึงความปลอดภัยของหมวกใบนั้นๆ และเริ่มนำมาใช้ในการโฆษณามากขึ้น (โดยส่วนใหญ่ที่จะแปะก็จะได้ 4 ดาวขึ้นไป ถ้าต่ำกว่า 4 ดาว ผู้ผลิตก็จะไม่ใส่ sticker sharp เพราะมันคงดูไม่ดีเท่าไหร่)


สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกซื้อหมวกซักใบคือ "ขนาดที่พอดี" กับหัวของเรานะครับ ให้เลือกหมวกที่สามารถใส่ได้พอดีที่สุด ไม่มีจุดไหนที่บีบ หรือ หลวมเกินไป เพราะนั่นแปลว่าอาจจะทำให้ความสามารถในการป้องกันลดลงมากอย่างน่าใจหาย แล้วค่อยมาเลือกสีกับยี่ห้อกัน

ทั้งนี้ทั้งนั้น มาตรฐาน sharp จะเน้นไปที่เรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก แต่จะนำเรื่องของราคา คุณสมบัติต่างๆ และคุณภาพในการผลิตต่างๆมาให้คะแนนด้วย ไม่ได้บอกถึงคุณภาพของส่วนประกอบอื่นๆ อย่างเช่น การเก็บเสียง ทัศนวิสัย คุณภาพของฟองน้ำด้านใน หรือแม้แต่ระบบ airflow ต่างๆ นะครับ

มาดูหมวกยี่ห้อต่างๆ ที่เป็นที่นิยมในบ้านเรากันดีกว่า ว่าใครได้เท่าไหร่










หมวกแต่ละใบแต่ละยี่ห้อก็จะมีมาตรฐาน sharp ไม่เท่ากัน อย่าง Arai ยี่ห้อหมวกที่หลายๆท่านชอบกัน ก็ดูได้คะแนนไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
ส่วนนึงคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการออกแบบเปลือกหมวกของยี่ห้อนี้ ที่พยายามทำให้หมวกดูเล็ก เวลาใส่ โดยเฉพาะด้านข้างที่ดูแคบกว่ายี่ห้ออื่นๆ เลยทำให้ผลการทดสอบด้านข้างออกมาไม่ดี ซึ่งเป็นอีก 1 บทพิสูจน์ว่า ชนิดของวัสดุเปลือกหมวก ไม่ได้เป็นตัวการันตีความปลอดภัยได้อีกต่อไป ในขณะที่บางการทดสอบจะพบกว่า หมวกพลาสติกบางใบ ยังสามารถได้คะแนน sharp 4-5 ดาว ได้

ในทางกลับกัน ทาง shoei ก็ออกมาประกาศแล้วว่า หมวก shoei รุ่นที่ได้คะแนนตั้งแต่ 3 ดาวลงไปทั้งหมดจะ ยกเลิกการจำหน่าย(ในยุโรป)
และวัสดุของเปลือกหมวกยี่ห้อนี้ก็จะต่างกัน ตามแหล่งที่ส่งขาย สำหรับหมวกที่ใช้ fiber เป็นหลักการผลิต ถ้าขายในญี่ปุ่น วัสดุจะเป็น AIM แต่ถ้าเป็นยุโรปและอเมริกาจะเป็น AIM+ (น้ำหนักมากขึ้นเล็กน้อย) เพื่อให้ผ่านมาตรฐานในแต่ละโซนนั้นๆ

แต่อย่างยี่ห้อ Bell (ฝั่งยุโรป) จะได้คะแนน 5 ดาว สำหรับหมวก Full Face ทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นล่างสุดยันรุ่น Top สุด(ล่าสุดมี M6 แล้วแต่ยังไม่มีการอัพเดทจากทาง sharp)

ก่อนเลือกซื้อหมวกซักใบ เอาให้มั่นใจซักนิดนะครับว่า ใบที่เราเล็งไว้ปลอดภัยแน่นอน
โชคดีทุกท่านครับ ขอให้แคล้วคลาดๆกันทุกรายไป

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่