Only God Forgives
กรุงเทพเมืองฟ้าแดงดำ คล้ำแค้นหลอนไปทั่วปฐพี
หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Drive ผู้กำกับ Nicolas Winding Refn และอาเฮียสุดเท่นิ่งสยบความเคลื่อนไหว Ryan Gosling ก็กลับมาร่วมมือกันอีกครั้งกับ Only God Forgives พระเจ้าเท่านั้นที่จะให้อภัย ซึ่งถ่ายทำในเมืองไทยทั้งเรื่อง และทีเด็ดอยู่ที่ว่าหลังจากหนังเรื่องนี้ได้ไปฉายที่เทศกาลเมืองคานส์ หลังหนังจบ เสียงปรบมือพร้อมเสียงโห่ห่วย ดังแทบจะเท่าๆกัน !!!
หลายๆคนบอกว่าหนังเรื่องนี้ดูไม่รู้เรื่อง เอาจริงๆตัวเนื้อเรื่องดูไม่ยากนะครับ เรื่องเกี่ยวกับการแก้แค้นที่เข้าใจได้ไม่ยากเท่าใดนัก และยังทิ้งประเด็นเกี่ยวกับความแค้นและการให้อภัยให้คนดูเก็บไปคิดต่อแบบไม่ต้องปรัชญาลึกซึ้งซับซ้อนจนเกินไป
แต่ความโด่งดัง ที่ได้จากเสียงปรบมือและโห่ห่วยคงน่าจะอยู่ในวิธีการนำเสนอครับ ใครจะว่าโห่ห่วยยังไงแต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆเลยนะครับคือการนำเสนอด้านภาพ ผู้กำกับใช้วิธีนำเสนอด้วยภาพที่เหนือจริง โทนสีแดงจัดตัดเงามืดสีดำเข้มตลอดทั้งเรื่องราวกับพาผู้ชมไปอยู่ในฝันร้าย ที่ไม่ใช่แค่ฝันร้ายธรรมดา แต่เป็นฝันร้ายแบบหลอนๆบรรยากาศชวนให้ฝันหลอนๆซ้อนเข้าไปในฝันอีกชั้นหนึ่ง (คืออยากจะบอกว่าบรรยากาศมันฝันๆหลอนๆมากน่ะครับ) จนทำให้หนังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งที่ทำให้ กทม. ของไทยเราที่อุดมไปด้วยคาวโลกีย์และความโสมม ยกระดับกลายเป็นเมืองแห่งฝันร้ายหลอนหลังราวขุมนรกได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นภาพฝันร้ายที่สวยงามราวกับทุกๆฉากเป็นภาพศิลปะ
นอกจากนี้การดำเนินเรื่องของหนังยังนำเสนอในลักษณะเหนือจริง เหนือธรรมชาติ ถึงแม้เรื่องราวจะอยู่ในโลกของความเป็นจริง แต่วิธีการพูด วิธีการมอง วิธีการคุย และวิถีการใช้ชีวิตของคนทั่วไป ไม่มีทางเป็นแบบในหนังแน่แท้ ทุกคนนิ่ง เงียบ สายตาเต็มไปความครุ่นคริด เดินช้าๆ เนิบๆ แต่สุขุมและนุ่มลึก โดยเฉพาะตัวละครอย่างหมวดช้าง ที่รับบทโดยคุณวิทยา ปานศรีงาม ที่อยู่เหนือมนุษย์ขึ้นไปอีก ดั่งที่คุณแทนไทจาก Witcast ได้เปรียบเปรยตัวละครตัวนี้ว่าเป็นเหมือนกับยมบาลที่มาลงโทษมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น พร้อมกับสร้างความฉงนสงสัยให้กับคนดูทุกครั้งที่พี่แกหยิบดาบขึ้นมาจากความว่างเปล่าในอากาศ
จริงๆแล้วหนังสนุกพอดูได้ ไม่ถึงกับห่วยอย่างที่นักวิจารณ์หลายคนพูดกันนะครับ แต่ปัญหามันอาจจะอยู่ที่ว่าผู้กำกับพยายามใส่ของที่มีอยู่ในตัวชนิดจัดเต็มลูกสูบ ซึ่งหากเปรียบเปรยผู้กำกับคนนี้เป็นอาเฮียปรุงก๋วยเตี๋ยว อาเฮียก็คงจะปรุงก๋วยเตี๋ยวโดยใช้เครื่องปรุงที่มีอยู่ทั้งหมดเทมันลงไปในก๋วยเตี๋ยวน่ะแหละ ซึ่งตรงจุดนี้นี่แหละที่ผมคิดว่ามันทำให้หนังมีอะไรที่เกินๆไปเยอะอยู่พอสมควร จนกลายเป็นความโอเวอร์และล้น อย่างหลายๆฉากที่พยายามจะเครียดสุดๆ เช่น ฉากที่คุณพี่หมวดช้างจะสำเร็จโทษตัวละครหนึ่งในเรื่องแล้วให้ผู้หญิงปิดตา ความเครียดและความจริงจังจนเกินพอดี ทำให้ผมเผลอปล่อยก๊ากออกมาไม่รู้ตัวครับ และความล้นจนเกินพอดีนี้เองที่ไปกระชากคนดูหลุดจากอารมณ์ทีควรจะเป็น ไม่ใช่อารมณ์หลุดฮาแบบผมนะครับ (แต่อาจจะฮาเหมือนกันก็ได้) และการหลุดจากอารมณ์ตรงนี้เองที่ทำให้เราหมดอารมณ์สนุกไปกับหนังซะดื้อๆ
เป็นหนังที่ไม่รู้จะสรุปยังไงดี แต่มองในมุมมองด้านภาพและการนำเสนอ ก็สามารถเรียกได้ว่าเจ๋ง แต่คำว่าเจ๋งก็ไม่อาจจะพูดได้เพราะถูกความล้นจนเกินพอดีกลบความดีของหนังไปค่อนมากทีเดียว และไม่ใช่ทุกคนที่จะสนุกกับหนังเรื่องนี้ ถ้าไม่สนุกก็อาจจะทำหน้าแหยเลยก็ได้ครับ
>>> C+ <<<
[CR] รีวิว Only God Forgives กรุงเทพเมืองฟ้าแดงดำ คล้ำแค้นหลอนไปทั่วปฐพี
Only God Forgives
กรุงเทพเมืองฟ้าแดงดำ คล้ำแค้นหลอนไปทั่วปฐพี
หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Drive ผู้กำกับ Nicolas Winding Refn และอาเฮียสุดเท่นิ่งสยบความเคลื่อนไหว Ryan Gosling ก็กลับมาร่วมมือกันอีกครั้งกับ Only God Forgives พระเจ้าเท่านั้นที่จะให้อภัย ซึ่งถ่ายทำในเมืองไทยทั้งเรื่อง และทีเด็ดอยู่ที่ว่าหลังจากหนังเรื่องนี้ได้ไปฉายที่เทศกาลเมืองคานส์ หลังหนังจบ เสียงปรบมือพร้อมเสียงโห่ห่วย ดังแทบจะเท่าๆกัน !!!
หลายๆคนบอกว่าหนังเรื่องนี้ดูไม่รู้เรื่อง เอาจริงๆตัวเนื้อเรื่องดูไม่ยากนะครับ เรื่องเกี่ยวกับการแก้แค้นที่เข้าใจได้ไม่ยากเท่าใดนัก และยังทิ้งประเด็นเกี่ยวกับความแค้นและการให้อภัยให้คนดูเก็บไปคิดต่อแบบไม่ต้องปรัชญาลึกซึ้งซับซ้อนจนเกินไป
แต่ความโด่งดัง ที่ได้จากเสียงปรบมือและโห่ห่วยคงน่าจะอยู่ในวิธีการนำเสนอครับ ใครจะว่าโห่ห่วยยังไงแต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆเลยนะครับคือการนำเสนอด้านภาพ ผู้กำกับใช้วิธีนำเสนอด้วยภาพที่เหนือจริง โทนสีแดงจัดตัดเงามืดสีดำเข้มตลอดทั้งเรื่องราวกับพาผู้ชมไปอยู่ในฝันร้าย ที่ไม่ใช่แค่ฝันร้ายธรรมดา แต่เป็นฝันร้ายแบบหลอนๆบรรยากาศชวนให้ฝันหลอนๆซ้อนเข้าไปในฝันอีกชั้นหนึ่ง (คืออยากจะบอกว่าบรรยากาศมันฝันๆหลอนๆมากน่ะครับ) จนทำให้หนังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งที่ทำให้ กทม. ของไทยเราที่อุดมไปด้วยคาวโลกีย์และความโสมม ยกระดับกลายเป็นเมืองแห่งฝันร้ายหลอนหลังราวขุมนรกได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นภาพฝันร้ายที่สวยงามราวกับทุกๆฉากเป็นภาพศิลปะ
นอกจากนี้การดำเนินเรื่องของหนังยังนำเสนอในลักษณะเหนือจริง เหนือธรรมชาติ ถึงแม้เรื่องราวจะอยู่ในโลกของความเป็นจริง แต่วิธีการพูด วิธีการมอง วิธีการคุย และวิถีการใช้ชีวิตของคนทั่วไป ไม่มีทางเป็นแบบในหนังแน่แท้ ทุกคนนิ่ง เงียบ สายตาเต็มไปความครุ่นคริด เดินช้าๆ เนิบๆ แต่สุขุมและนุ่มลึก โดยเฉพาะตัวละครอย่างหมวดช้าง ที่รับบทโดยคุณวิทยา ปานศรีงาม ที่อยู่เหนือมนุษย์ขึ้นไปอีก ดั่งที่คุณแทนไทจาก Witcast ได้เปรียบเปรยตัวละครตัวนี้ว่าเป็นเหมือนกับยมบาลที่มาลงโทษมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น พร้อมกับสร้างความฉงนสงสัยให้กับคนดูทุกครั้งที่พี่แกหยิบดาบขึ้นมาจากความว่างเปล่าในอากาศ
จริงๆแล้วหนังสนุกพอดูได้ ไม่ถึงกับห่วยอย่างที่นักวิจารณ์หลายคนพูดกันนะครับ แต่ปัญหามันอาจจะอยู่ที่ว่าผู้กำกับพยายามใส่ของที่มีอยู่ในตัวชนิดจัดเต็มลูกสูบ ซึ่งหากเปรียบเปรยผู้กำกับคนนี้เป็นอาเฮียปรุงก๋วยเตี๋ยว อาเฮียก็คงจะปรุงก๋วยเตี๋ยวโดยใช้เครื่องปรุงที่มีอยู่ทั้งหมดเทมันลงไปในก๋วยเตี๋ยวน่ะแหละ ซึ่งตรงจุดนี้นี่แหละที่ผมคิดว่ามันทำให้หนังมีอะไรที่เกินๆไปเยอะอยู่พอสมควร จนกลายเป็นความโอเวอร์และล้น อย่างหลายๆฉากที่พยายามจะเครียดสุดๆ เช่น ฉากที่คุณพี่หมวดช้างจะสำเร็จโทษตัวละครหนึ่งในเรื่องแล้วให้ผู้หญิงปิดตา ความเครียดและความจริงจังจนเกินพอดี ทำให้ผมเผลอปล่อยก๊ากออกมาไม่รู้ตัวครับ และความล้นจนเกินพอดีนี้เองที่ไปกระชากคนดูหลุดจากอารมณ์ทีควรจะเป็น ไม่ใช่อารมณ์หลุดฮาแบบผมนะครับ (แต่อาจจะฮาเหมือนกันก็ได้) และการหลุดจากอารมณ์ตรงนี้เองที่ทำให้เราหมดอารมณ์สนุกไปกับหนังซะดื้อๆ
เป็นหนังที่ไม่รู้จะสรุปยังไงดี แต่มองในมุมมองด้านภาพและการนำเสนอ ก็สามารถเรียกได้ว่าเจ๋ง แต่คำว่าเจ๋งก็ไม่อาจจะพูดได้เพราะถูกความล้นจนเกินพอดีกลบความดีของหนังไปค่อนมากทีเดียว และไม่ใช่ทุกคนที่จะสนุกกับหนังเรื่องนี้ ถ้าไม่สนุกก็อาจจะทำหน้าแหยเลยก็ได้ครับ
>>> C+ <<<