นิทานชาวสวน ๓๐ ส.ค.๕๖

กระทู้สนทนา
นิทานขาวสวน

ก่อนจะถึงน้ำตกแม่กลาง

บันทึกของคนเดินเท้า

ก่อนจะถึงน้ำตกแม่กลาง

“เทพารักษ์”

นิราศร้างห่างเหจากเคหา
สู่เวียงเหนือถิ่นงามอร่ามตา
นครพิงค์เวียงฟ้าสง่างาม
จะจับกล่าวเท้าความถึงสามชาย
ไม่มีชื่อลือไกลในสยาม
ถึงแม้ยังจนนักก็รักความ
มิเสื่อมทรามมั่นหมายในความดี

ณ.ครั้งนี้ตรีมิตรสนิทรัก
จึงรีบชักชวนกันขมันขมี
หวังจะเที่ยวเชียงใหม่ใจเปรมปรีดิ์
สู้ผัดหนี้เก็บออมถนอมกิน
รวบรวมทรัพย์นับร้อยใช่น้อยหน้า
เกือบปีกว่าจะได้ดังใจถวิล
บ้างกู้ยืมบ้างจำนำงำระบิล
เพื่อเที่ยวถิ่นเมืองงามตามเล่าลือ

ครั้งได้ฤกษ์เบิกโรงสี่โมงเศษ
แสนทุเรศแย่งที่นั่งดังกระสือ
คนไม่ได้ก็ลงนั่งครางฮือฮือ
สาบานอื้อแช่งด่าทั้งฟ้าดิน

นาย”ออด”เพียรเขียนได้เพียงแค่นี้
อารมณ์กวีเกิดหดลงหมดสิ้น
ข้างนาย”ห่อ”ต่อไม่ได้ดังใจจินตน์
มัวแต่รินให้เพื่อนดื่มลืมกลกลอน
แม้นาย”ผี”ก็แย่แก้ไม่ไหว
แสนหนักใจกลอนยากเหมือนลากขอน
จบนิราศเชียงใหม่ในอาวรณ์
ตั้งแต่ตอนขึ้นรถไปเชียงใหม่เอย.

เมื่อคราวที่ไปเที่ยวเชียงใหม่ครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๒ นั้น มีเป้าหมายที่จะไปให้ถึงน้ำตกแม่กลาง ซึ่งเรียกว่า ทุรทัศนาจรน้ำตกแม่กลาง แต่ไม่ได้เล่าถึงการเที่ยวที่อื่น ๆ เพราะอยู่นอกเรื่อง จึงรวบรวมมาเล่าไว้ในคราวนี้ ให้เป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์ขึ้น โดยลอกจากบันทึกที่เขียนไว้เอง เมื่อเวลาหลังจากไปเที่ยวครั้งนั้นถึง ๕๐ ปี

๑๐ พฤษภาคม ๒๕๐๒ เวลา ๑๗.๐๕ น.รถไฟสายเหนือ กรุงเทพ – เชียงใหม่ ออกจากสถานีกรุงเทพ หรือ หัวลำโพง นั่งชมวิวไปจนค่ำที่ลพบุรี ต่อจากนั้นจะผ่านสถานีอะไรบ้างก็ไม่รู้ ส่วนใหญ่มืดมองไม่เห็นอะไรนอกหน้าต่าง นั่งโงกเงกกันไปตลอดทาง แสนจะเมื่อย เพราะไม่ใช่รถนอน และไม่ได้หลับเลยสักงีบเดียว

๑๑ พฤษภาคม ๒๕๐๒ เช้าตรู่ พระอาทิตย์ขึ้น ในเขตจังหวัดลำปาง รถไฟถึงสถานีลำปาง เวลาเกือบสามโมงเช้า หิวไปตาม ๆ กัน จึงซื้อข้าวเหนียวไก่ย่างมาปั้นจิ้ม แกล้มกวางทองน้องแม่โขงอร่อยไป รถไฟผ่านสะพานอะไรก็ไม่รู้ ถึงสถานีขุนตาล เมื่อเวลา ๑๐.๓๓ น. ได้พยายามเดินไปจนถึงท้ายขบวนซึ่งเป็นรถนอนเอก ของชั้น ๑

ถ้ำขุนตาลเป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย รถด่วนแล่นผ่านไปด้วยเวลาสามนาทีกว่า ภายในถ้ำมืดมากต้องเปิดไฟในรถ ปากถ้ำด้านเหนือมีธรรมชาติที่สวยงามพอใช้ จากนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรอีก นอกจากนั่งหลับตา เพราะแสบตาเต็มที

เวลา ๑๒.๒๐ น.ถึงสถานีเชียงใหม่ ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก แล้วก็ขึ้นรถ ร.ส.พ.สายช้างเผือก เพื่อไปหาญาติของนายออด แต่ปรากฏว่าเขาไม่อยู่ไปพิษณุโลก จึงเข้าพักที่โรงแรมเล็ก ๆ ชื่อ ร่มโพธิ์ แถววัดบุบพาราม ค่าเช่าถูกเพียงวันละ ๑๕ บาท ( สิบห้าบาท) เพราะมีเตียงเดียว แต่เราจะนอนเบียดกันทั้งสามคน

เก็บข้าวของแล้วก็ไปจองบัตรนำเที่ยว พระธาตุดอยสุเทพ ในวันรุ่งขึ้น คิดค่ารถคนละ ๑๕ บาท (สิบห้าบาทอีกแล้ว) ทางขึ้นเขายาว ๑๑ ก.ม. มีรถของ ร.ส.พ.นำเที่ยวน้ำตกแม่กลาง ค่าโดยสาร คนละ ๖ บาท เหมืองแม่แฝก คนละ ๔ บาท แต่มีเฉพาะวันอาทิตย์ ที่เราอยู่ไม่ถึง

ตอนเย็นขึ้นรถ ร.ส.พ.ไปเที่ยววัดสวนดอก แต่รถจอดห่างจากวัดเกือบหนึ่ง ก.ม. ไม่อยากขึ้นสามล้อสองคัน จึงชวนกันเดินไป รู้สึกว่าไกลพอสมควร ขากลับแวะกินอาหารเย็นแถว ๆ โรงพยาบาลเชียงใหม่ ซึ่งเป็นปลายทางของรถเมล์ มื้อนี้เป็นข้าวเหนียว เนื้อทอด กลืนไม่ค่อยลงคอต้องกลั้วด้วย กวางทองตามเคย

๑๒ พฤษภาคม ๒๕๐๒ ออกจากโรงแรม เดินตามผู้หญิงที่หิ้วตะกร้าจ่ายตลาด ไปจนถึงตลาดวโรรส กินอาหารก๋วยเตี๋ยวเป็นมื้อเช้า และซื้อเสบียงคือ ข้าวเหนียวไปย่าง ซี่โครงหมูทอด ไส้กรอก เนื้อปิ้ง และลาบเนื้อ รวมเบ็ดเสร็จสองมื้อ ไม่ถึง ๒๐ บาท กวางทองต่างหาก แล้วขึ้นรถสองแถวออกเดินทางไปดอยสุเทพ เวลา ๐๘.๓๐ น.

ดอยสุเทพอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่กี่ ก.ม. ที่เชิงเขามีทางแยกไปห้วยแก้วทางหนึ่ง รถของเราไม่แวะห้วยแก้ว แยกขึ้นดอยไปเลย ทางขึ้นดอยเป็นลาดที่ค่อย ๆ สูงขึ้น รถต้องใช้เกียร์ ๑-๒ ตลอดเวลา และมีแต่รถขาขึ้นเท่านั้น ตอนบ่ายจึงไปขาลงโดยไม่มีรถสวน เพราะถนนแคบมาก หลีกกันไม่ได้ ทางคดเคี้ยวเลี้ยวไปตามไหล่เขา สูงขึ้นทุกที ๆ ด้านหนึ่งเป็นผาสูง อีกด้านหนึ่งเป็นผาดิ่งลงไป มองแล้วน่าหวาดเสียว แต่ก็มีความสวยงามอยู่มาก ยิ่งสูงขึ้นก็มองเห็นเมืองเชียงใหม่เล็กลงทุกที บางแห่งริมถนนตัดตรงลิ่วลงไปเห็นยอดไม้อยู่ต่ำ ๆ ทำให้มือเย็นได้ดีเหมือนกัน รถของเราแล่นไปช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง ไม่อยากก้มลงมองข้างทาง ก็มองไปทางเมืองเชียงใหม่ เห็นเมฆหมอกปกคลุมอยู่ราง ๆ เหมือนเมืองในความฝัน

เกือบ ๑๐.๐๐ น.ก็ถึงจุดหมายคือปลายบันไดนาค ทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ

คนขับหรือผู้จัดการทัวร์ ให้เวลาเที่ยว ๒ ชั่วโมง เราคว้ากล้องได้ก็ไต่บันไดนาคขึ้นไปทันที ฝากห่อเสบียงไว้ในรถ ขึ้นบันไดที่เดิมมีผู้รู้บอกว่า ๒๒๔ ขั้น แต่ตอนนั้นได้สร้างเพิ่มเติมต่อลงมาด้านล่างอีก ๒๐ กว่าขั้น เราคิด(ในขณะนั้น) ว่าไม่เท่าไรก็ก้าวสวบ ๆ ไป แต่ที่ไหนได้ ไม่กี่ขั้นก็รู้สึกตึงน่องแล้ว บันไดนี้ไม่ได้ทำติดต่อกันไปโดยตลอด แต่ได้ทำไว้เป็นช่วง ๆ ละ ๔ ขั้น แล้วก็มีแผ่นกว้างประมาณ ๑ เมตร แล้วจึงขึ้นต่อไปอีก ๔ ขั้น ยิ่งสูงขึ้นไปก็ก้าวไม่ค่อยออกขึ้นทุกที ก้าวสี่ขั้นแล้วต้องหยุด ถ้าอวดเก่งก้าวทีเดียวแปดขั้น ก็แทบจะร้องออกมาว่าปวดน่องปวดหัวเข่า กว่าจะขึ้นไปถึงยอดได้ก็แทบลิ้นห้อย ต้องเดินเวียนบนชานรอบนอกเพื่อผ่อนลมหายใจ รอบบริเวณภายนอกพระธาตุอากาศดีมาก ลมพัดโชยตลอดเวลา ช่วยให้หายเหนื่อยได้โดยเร็ว ด้านตะวันตกเป็นทิวเขาเขียวชอุ่ม มีเมฆขาวลอยฟ่องปกคลุมอยู่ตามยอด ด้านตะวันออกมองลงไปเห็นตัวเมืองเชียงใหม่กว้างไกล มีอาคารบ้านเรือนเล็กกระจิ๋วหลิว เหมือนเมืองตุ๊กตา

เราพักผ่อนกันชั่วครู่ แล้วก็เข้าไปนมัสการพระธาตุ และพระประธานในวิหารด้านใต้ของพระธาตุ ท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสได้ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พร้อมกับสวดมนต์ให้พรยาวยืด ทำให้ชุ่มชื่นอย่างยิ่ง หลังนั้นก็ไปปิดทองพระพุทธรูปประจำวันเกิดแล้ว จึงออกจากวิหารมาถ่ายรูปและชมวิวรอบองค์พระเจดีย์ ที่บรรจุพระธาตุ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่รูปทรงคล้ายเจดีย์ของพม่า ภายนอกหุ้มทองเหลืองอร่าม เมื่อกระทบแสงแดดเป็นประกายเรืองรอง งามบอกไม่ถูก

ขากลับลงมาข้าง ไม่ได้ลงทางบันได เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ไต่ลงมาตามทางเดินที่เป็นพื้นดิน เลียบไปข้าง ๆ บันไดนาค ทางค่อนข้างชันและลื่น ๆ แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน

ตรงข้ามกับปลายบันไดนาค เป็นสถานีวนกรรมของกรมป่าไม้ เป็นเนินลูกย่อม ๆ ปลูกต้นสนสามใบเรียงรายอยู่ทั่ว มีที่ทำการของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และรอบ ๆ บริเวณนั้นมีดอกไม้สวยงามละลานตาไปหมด ดอกกุหลาบที่นี่มีขนาดใหญ่มาก และเยอบีร่าหลายร่องหลายแปลงชูดอกสีต่าง ๆ สลอน

บริเวณเนินเขานั้นมีต้นยูคาลิปตัส และอื่น ๆ อีกมาก จำชื่อที่เขาติดไว้ทุกต้นไม่ไหว

เราเดินเที่ยวชมและพักผ่อนอยู่จรเกือบเที่ยง จึงลงมาที่จอดรถ ปรากฏว่าคนขับยังนอนหลับอยู่ จึงไต่ทางเดินขึ้นไปนั่งพักร่ม อยู่ห่างจากบันไดนาคไม่มาก พอจะมองเห็นรถที่จอดได้ ซึ่งบนนั้นมีต้นไม้ร่มครึ้ม อากาศเย็นสบายและเงียบสงัด มีแต่เสียงนกเล็ก ๆ ร้องเพลงกล่อมให้ง่วงนอนดีเหลือเกิน

เกือบบ่ายโมงรถจึงได้ออกเดินทางกลับลงมาถึงเชิงดอยสุเทพ เราบอกให้คนขับจอด ที่ทางแยกไปห้วยแก้ว แต่คนขับใจดี เลยมาส่งถึงปลายทางของลำห้วย เราขอบคุณเขาแล้วก็หิ้วถุงเสบียงพาดบ่า ไต่เขาทวนสายน้ำขึ้นไปทางเหนือโดยไม่รั้งรอ จนพอมองเห็นว่าทางน้ำแคบนิดเดียว ใกล้จะถึงต้นน้ำแล้ว มีชัยภูมิร่มรื่นน่าสบาย จึงหยุดปลดปลงข้าวของลง จัดการกับอาหารมื้อกลางวัยเสียที น้ำในห้วยใสแจ๋ว และเย็นเฉียบ นั่งเอาเท้าแช่น้ำพลางกินไปพลาง ตามด้วยน้ำอมฤต ตรากวางทองน้องแม่โขงให้ลื่นคอหอย สุขฉะนี้นี่หรือจะลืม

อิ่มอร่อยมื้อนี้แล้ว ก็พากันเดินทวนน้ำขึ้นไปอีก ลักษณะของลำห้วยแก้วก็เหมือนลำธารเล็ก ๆ สายน้ำไหลซอกซอนไประหว่างซอกหิน บางตอนแคบนิดเดียว ก้าวข้ามได้สบาย น้ำก็ตื้นมองเห็นกรวดทรายข้างใต้ บางตอนก็ค่อนขางกว้างและลึกสักนิด แต่ก็ไม่มากนัก บางตอนพื้นที่ลดต่ำลง ก็กลายเป็นน้ำตกเล็ก ๆ สลับกันไปเช่นนี้ตลอดทาง

เราพบเด็กห้าหกคนกำลังเล่นน้ำตกย่อย ๆ อยู่อย่างสำราญใจ จึงเร่เข้าไปสอบถามถึง วังบัวบาน ที่ขึ้นชื่อลือชา เป็นฉากของนิยายรักอมตะของเวียงพิงค์ ก็ได้รับคำตอบว่าอยู่ตอนล่าง ๆ ที่เราผ่านมาแล้วนั่นเอง หากแต่เราไต่เขาเลี่ยงมาเสียอีกทางหนึ่งจึงมองไม่เห็น

เราละเด็กไว้เดินหรือที่ถูกปีนเขาต่อไปอีก จนถึงทางน้ำเล็ก ๆ แคบ ๆ ลับหายไปในป่านก แน่ใจว่าคงไม่มีแอ่งน้ำอะไรอีกแล้ว จึงผลัดผ้าขาวม้าที่เตรียมไปด้วยลงแช่น้ำเล่นให้สบายใจ น้ำเย็นจับใจจนอยากจะนอนแช่อยู่อย่างนั้นจนค่ำ แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ สักพักหนึ่งจึงต้องขึ้นมาผลัดผ้าแต่งตัวให้เรียบร้อย เพื่อเดินทางกลับ

คราวนี้ไต่กลับทางใหม่ซึ่งเชื่อว่าจะได้เห็นวังบัวบาน ไม่นานเท่าไรก็ถึง คราวนี้ไม่มีใครบอกก็รู้ได้อย่างดี เพราะเป็นแอ่งน้ำที่ไม่ใหญ่โตอะไรนัก แต่สองฟากฝั่งเป็นผาสูงชัน ตัดตรงลงไปถึงพื้นน้ำ สูงมากจนเมื่อเรายืนอยู่ข้างบน มองเห็นนายออดที่ลงไปยืนที่ระดับน้ำแล้ว แลเห็นตัวเล็กนิดเดียว ทางฝั่งที่เรายืนอยู่ไม่ชันมากนัก แต่ก็เอียงมากเหมือนกัน ลองไต่ลงไปจนใกล้ขอบที่สุด จนน่ากลัวว่าจะลื่นไถลลงไปเอง จึงต้องยืนเกาะกิ่งไทรที่ทอดอยู่ใกล้ ๆ ตัวเอาไว้ มองลงไปข้างล่างแล้วมือเย็นเท้าเย็นดีเหมือนกัน

นายออดตะโกนขึ้นมาว่า พบรอยเลือด ๒-๓ หยด ซึ่งคงจะเป็นของชาวญวน เจ้าของเวียตนามศิลป์ในเชียงใหม่ ที่มาโดดผาตายเมื่อวันที่ ๕ พ.ค.ที่ผ่านมานี้เอง เราได้อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เลยทำให้บรรยากาศในบริเวณนั้นไม่น่าชื่นชมขึ้นมาทันที

เราพากันไต่กลับลงมาถึงต้นทางของห้วยแก้ว แล้วก็เข้าไปในสวนสัตว์เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนัก ลองเข้าไปเที่ยวชมหาความรู้ เสียค่าผ่านประตูคนละ ๑ บาท ถามสาวคนขายบัตรว่า มีอะไรให้ชมมากไหม เธอตอบว่า ดูตั้งวันตั้งคืนก็บ่หมด แต่ความจริงเมื่อเดินดูจนทั่วแล้ว ก็เห็นว่า เป็นเพียงสวนสัตว์อย่างย่อ แค่หนึ่งในสามของเขาดินเท่านั้นเอง

ออกจากสวนสัตว์ก็เลยเข้าไปชมสวนพฤกษชาติของกรมป่าไม้ ซึ่งอยู่ถัดไปอีกนิดหน่อย ทั่วบริเวณกว้างใหญ่ มีแต่ต้นไม้ปลูกห่าง ๆ มีชื่อติดที่โคนต้นเหมือนบนดอยสุเทพ เราได้รู้จักชื่อของต้นไม้หลายชนิด เสียอย่างเดียวดูเหมือนรกร้างไม่ได้รับการบำรุงอะไรเลย แต่จวนถึงทางออกมีแปลงไม้ดอกสวยงามพอดูได้ ก็เหมือนบนดอยสุเทพอีกเช่นกัน

วันนี้กลับมาถึงที่พักร่วม ๑๙.๐๐ น. รีบนอนพักเอาแรง เพราะพรุ่งนี้จะปั่นจักรยานไปน้ำตกแม่กลาง อันเป็นเป้าหมายหลักของการทัศนาจรคราวนี้

ซึ่งจะได้บันำมาเล่าาต่อไป.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่