เหย้าบาหยัน >> บทที่ ๔ >>ลางสังหาร

กระทู้สนทนา
เปิดกล่องย้อนอดีค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ ๔
ลางสังหาร



             สายลมชโลมริ้วลำก้านไม้เมเปิ้ลพริ้วไหวเป็นระลอก เล็มไล้ใบแก่ร่วงหล่นเรี่ยลงพื้นล่างเป็นระยะ  เหลือใบอ่อนไล่เลี่ยเริ่มผลัดแตกยอดแยก ขยายปกคุ้มทะงันเป็นพุ่มใหญ่ ช่วยชะลอแสงแดดรอนใต้ต้นให้ทอนทุเลาลง  มีร่มเงาคลุมครอบโดยรอบทึบทะมึนเป็นสีแดงอมดำ  วิญญานหนุ่มปรากฎร่างชัดอยู่บนยอดกิ่งไม้ที่ย้อยระย้า  นั่งห้อยขามองหญิงสาวที่กำลังนั่งก้มหน้ากลุ้ม กุมขมับด้วยความทุกข์ใจ  

             “ เป็นอะไรรึแม่แก้ว ”  วิญญาณหนุ่มเริ่มเอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย

            หญิงสาวรีบแหงนหน้ามองขึ้นไปที่ต้นเสียงด้านบน  เผลออุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันตั้งตัวที่จะเจอ   “ คุณขจร! ”  

            ถึงแม้จะเคยเจอกันในรูปแบบที่น่ากลัวมาก่อน  หญิงสาวก็ยังไม่รู้สึกคุ้นชินกับการปรากฎกายกระทันหันแบบนี้ เพราะยังไงขุนขจรก็คือวิญญาณที่ตายไปแล้วร้อยกว่าปี แต่ด้วยรูปกายที่ปกติเหมือนคนทุกอย่าง แก้วจึงมีสติกล้าพอที่จะเอ่ยปากพูดคุยด้วยต่อ “ คุณหายไปไหนมา ”

             วิญญาณหนุ่มเผยอยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก กระโดดโรยตัวลงจากยอดกิ่งไม้  ลอยพริ้วลิ่วลงมาที่เบื้องล่างอย่างเบาย่อง เท้าบรรจบติดพื้นเหมือนคนปกติ  เดินเยื้องย่างก้าวซ้ายขวาอย่างนวยนาดมานั่งที่ม้านั่ง เขยิบตัวและยื่นหน้าเข้ามาใกล้หญิงสาวในระยะห่างกันแค่เพียงหนึ่งลมใจหายเข้าออก

             แก้วจ้องมองนัยน์ตาที่คมเป็นประกายของขุนขจร  แววตาอันแสนอบอุ่นที่ส่งความอ่อนโยนมา  มันทำให้หัวใจเต้นแรง จนสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงใบหน้าให้เปล่งเป็นสีแดงระเรื่ออกมาไม่รู้ตัว ยิ่งจ้องมองเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย

             “ ตกประหม่ารึแม่แก้ว? แก้มแดงเหมือนลูกตำลึงเทียว ”  ขจรถามเชิงแกล้งหยอก เพราะเริ่มสังเกตุอาการผิดปกติที่ออกมาจากทางใบหน้าอย่างชัดเจนของแก้ว

             “ เปล่าค่ะ ” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ   เขยิบเอนตัวออกไปอิงที่พักแขนของม้านั่ง  แล้วมองตรงออกไปด้านหน้า เพื่อเลี่ยงที่จะสบตากับวิญญาณหนุ่ม “ แก้วไม่ได้หน้าแดงนะคะ  ที่มันแดงก็เพราะอยู่ใต้เงาต้นเมเปิ้ล  คุณขจรยื่นหน้ามาใกล้ๆแบบนี้ แก้วก็หลอนนะคะ ”

              “  หน้าฉันมันน่ากลัวนักรึไง ฉันมิได้มาเหมือนเมืองใต้ดินเสียหน่อย ”  ขุนขจรเขยิบตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวมากขึ้น คราวนี้ยื่นหน้าเขามาใกล้จนจมูกจวนเจียนเกือบจะประชิดติดกัน  หญิงสาวพยายามเอียงตัวหนีด้วยความเขินอาย  “ คุณขจรจะเข้ามาใกล้แก้วทำไมคะเนี้ย ” หญิงสาวยังคงมองตรงออกไปข้างหน้า ใช้เพียงสายตาแอบเหล่ชำเลืองมอง

              “  ฉันแค่จะเอาเกสรดอกไม้ออกจากหัวหล่อน ” วิญญาณหนุ่มชี้ไปที่หัวของหญิงสาว ที่มีเกสรดอกไม้ของต้นเมเปิ้ลติดอยู่ระหว่างกลางกระหม่อมและมวยผมที่ขมวดไว้

              แก้วกลอกตามองด้านบนหัวตัวเอง  พยายามใช้มือปัด และก้มศรีษะลงสะบัดหัว แต่ก็ไม่มีอะไรตกลงมา “  ไหนคะคุณขจร ไม่เห็นมีเลย ”

              “  หันหน้ามาทางฉันนี่สิแม่แก้ว  ” น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาของวิญญาณหนุ่ม ทำให้หญิงสาวค่อยๆหันหน้ากลับมาหา  ก้มหัวลงเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำมองไปทางอื่น    “ จริงๆบอกแก้วก็ได้นะคะว่าอยู่ตรงไหน เดี๋ยวแก้วจะเอาออกเอง ”

              “ อยู่นิ่งๆก่อนเถิดแม่แก้ว เดี๋ยวฉันเอามันออกให้หล่อนเอง  ”

               ขุนขจรค่อยๆบรรจงใช้มือที่ไร้น้ำหนักปัดเกสรดอกเมเปิ้ลสีแดงร่วงหล่นลงมาตกที่หน้าตักราวกับขนนก แก้วรู้สึกได้ว่า มันเป็นเหมือนไอลมลมเบาเย็นสบายที่เคล้าคลอกลิ่นการเวกจางๆออกมาด้วย
  
              “ ขอบคุณนะคะ ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณ  พลางหยิบเกสรดอกเมเปิ้ลมาดูแก้อาการเขินอาย และชวนเปลี่ยนเรื่องคุย  “ นี่เพิ่งรู้นะคะเนี้ยว่าต้นเมเปิ้ลมีดอกด้วย เพราะปกติสนใจแต่ใบมัน ”

              “ ต้นไม้ต้นนี้ชื่อต้นแม่ปั้นรึแม่แก้ว ”

              “ เม’เพิลค่ะ คุณขจร ” หญิงสาวห่อลิ้นเน้นออกเสียงสำเนียงแบบอังกฤษอีกครั้ง  

              “ ฉันต้องทำลิ้นพิลึกพิเรนทร์แบบหล่อนด้วยรึ  ยากเสียจริง ให้ฉันเรียกว่าต้นแม่ปั้นจะง่ายเสียกว่า ”

              “ ค่ะ ต้นแม่ปั้น ก็ต้นแม่ปั้น”  หญิงสาวแอบอมยิ้มกับชื่อที่วิญญาณหนุ่มใช้เรียกต้นเมเปิ้ล  ทั้งๆที่คำนี้เป็นภาษาอังกฤษ  ขุนขจรก็เป็นลูกครึ่งต่างชาติอย่างที่เคยบอก ว่ามีบรรพบุรุษเป็นมิชชันนารี แถมเดินทางข้ามหน้าข้ามทะเลมาถึงที่นี่ ทำไมคำง่ายๆถึงออกสำเนียงเสียงไม่ถูก  แก้วหยุดครุ่นคิดสงสัยครู่ใหญ่ ก็ผงะตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นวิญญาณหนุ่มลอยตัวขึ้นไปด้านบนยอดไม้เมเปิ้ลอีกครั้ง

              “ ขึ้นไปอีกทำไมคะคุณขจร ”

              ” ฉันขึ้นมาดูต้นแม่ปั้นอีกครั้งน่ะสิ  ตอนมานั่งฉันมัวแต่สนใจหล่อน เลยไม่ได้ดูเลยว่าใบแม่ปั้นพวกนี้ช่างงามวิลาศนัก  ”   วิญญาณหนุ่มยิ้มระรื่นตื่นเต้นกับการได้รู้จักต้นไม้ใหม่ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน   ลอยไปมารอบๆต้นเมเปิ้ลอย่างสนุกสนาน แล้วมาหยุดนั่งที่กิ่งยอดหนึ่ง ที่มีใบเมเปิ้ลใหญ่เท่าฝ่ามือ       “ ใบสีแดงฉานมีหลายแฉกคล้ายมือคน เวลาขึ้นปกทั้งต้น   แลน่าพิศพิลึกนัก ฉันชักชอบไอ้เจ้าต้นแม่ปั้นเสียแล้วสิ  ”  

              “ งั้นตามสบายเลยค่ะ แต่คุณบอกฉันได้หรือยังว่าคุณหายไปไหนมา  ”

              “  ฉันตามอีดวงไป ตามมันไปเสียไม่ทัน  ฉันเลยกลับมาหาหล่อน ” วิญญาณลอยตัวลงมานั่งที่เดิม มองหน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าวิตกกังวล  “ ฉันเห็นหล่อนดูสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนคนเป็นคลื่นเหียน  หล่อนปวดหัวเพราะถูกอีดวงมันดึงหัวกบาลเมื่อคืนรึ ”

               “ เปล่าค่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย จริงๆก็มากอ่ะค่ะ หลายเรื่องเลย แต่จะว่าไป ที่ถูกดึงเมือคืน แก้วไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยนะคะ แผลที่โดนจิกหรือกระจุกผมขาดให้เห็นสักเส้นก็ไม่มี มันอาจจะชาไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ แก้วก็ยังงงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่เลยค่ะ ”

              วิญญาณหนุ่มอมยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะความงง  “ มันจะเจ็บได้อย่างไรเล่า มันเป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ”

              “ ยังไงคะ แก้วไม่เข้าใจ มันคือความฝันหรือเปล่าคะ ”

              “  มันหาใช่ฝันหรือนิมิตไม่ แต่มันเสมือนจริง ”

              “ คุณขจรอย่ากำกวมได้ไหมคะ อธิบายง่ายๆหน่อย แก้วงง  ”

               “ จำไว้เถิดหนาแม่แก้ว ว่าผีทั้งหลายมิสามารถทำอันตรายกับหล่อนดอก   ผีเป็นแค่ดวงจิต ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนัง ถ้าทำได้ ฉันคงใช้มือปัดเกสรดอกไม้ให้หล่อนได้แล้วกระมัง  ดูนี่ ฉันจะทำอะไรให้ดู ”  

              วิญญาณหนุ่มใช้ปลายนิ้วจับไปที่จอนผมแก้วที่ปล่อยออกมาด้านหน้า แต่ก็ไม่สามารถจับหรือสัมผัสได้เลย เป็นเพียงนิ้วที่ทะลุผ่านไปมาให้เส้นผมปลิวสะบัดเหมือนโดนลมพัดเบาๆเท่านั้น   “ เห็นไหมเล่า ฉันหาจับหล่อนได้ไม่แม้กระทั่งปลายเส้นผม แล้วเยี่ยงนี้ อีดวงมันจะไปจิกหัวหล่อนได้หรอกหรือแม่แก้ว  ”

               “ แต่ที่เห็นและที่รู้สึกเมื่อคืน ผีตัวนั้นมันจิกแก้วจริงๆนะคะ ”

               “ มันเป็นสิ่งที่บันดาลจากภาพลวงตาของภพวิญญาณ  เมื่อดวงจิตของหล่อนอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น อยู่ครึ่งๆกลางๆระหว่างภพมนุษย์และภพผี หล่อนก็จะไร้การควบคุม ถ้าหล่อนหามีสติไม่ หล่อนก็จะถูกควบคุมโดยวิญญาณ  เหมือนกับฝันไง หล่อนสามารถบังคับฝันหล่อนได้รึ  ”

               “ บังคับได้นะคะ ทำไมจะไม่ได้ ”

               “ ตรึกดีๆว่าได้หรือไม่ได้  มันเหมือนเราจะทำตามใจเราได้ แต่อีกกึ่งมันก็ไหลไปตามเรื่องราวของความฝัน  จริงไหม รึว่าไม่จริง ”

               “ สรุปแก้วกึ่งหลับกึ่งตื่นใช่ไหมคะ”

               “ ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่หล่อนน่ะเชื่อมโยงกับภพอื่นได้  กอปรกับหล่อนจิตยังอ่อน มันเลยเป็นช่องทางให้วิญญาณอีดวงมันเข้ามาควบคุมเรื่องราว ด้วยเหตุฉันนี้ ฉันเลยให้หล่อนสวดมนต์ไงเล่า คำสวดมนต์คือจิตเป็นกลาง ไม่คิดไปทางร้ายหรือทางดี  เมื่อจิตเป็นกลางก็จะตั้งมั่นอยู๋ในสติ หล่อนก็จะกลับคืนเหมือนเดิมฉันนั้น  ”

               “ ถ้าไม่อยากเห็นผีต้องมีสติเหรอคะ ”

               “ ผีจะไม่หลอกหลอนเรา ถ้าเรามีสติ  ผีในตัวหล่อนต่างหากที่หลอกหลอนตัวเอง  แต่มันก็น่าแปลก ”

               “ แปลกยังไงคะ ”

               “ แปลกตรงที่ฉันเข้าไปช่วยอะไรหล่อนไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะวิญญาณมันแรงไปด้วยความพยาบาท  แลมนต์ดำบางอย่างขัดขวางฉันไว้กระมัง แต่ยังไงเสีย อีดวงก็หาทำร้ายหล่อนได้ไม่  ”

               “  สรุปแล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนคุณขจรกำลังว่าแก้วเพ้อเจ้อและทำร้ายตัวเองนะคะ ” หญิงสาวเมินหน้าหนีด้วยความงอน

               “ ยังไม่ทันฟังอีร้าค้าอีรม หล่อนก็ตีโพยตีพายเสียแล้ว ฉันยังพูดไม่จบ ฉันจะบอกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กรณีหล่อนมันมีกรรมมากำหนดไว้ด้วย ”

               “ แล้วแก้วไปก่อกรรมทำเข็ญกับผีดวงตอนไหนคะ ” หญิงสาวพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระแทกประชดประชัน

               “ อย่างที่ฉันเคยบอกว่าคนที่ควรถูกชำระควรเป็นอีดวงเสียมากกว่า แต่จะว่าไป มีอยู่คราหนึ่ง แม่แก้วกานดาก็ทำแรงไป แต่มันก็น่าแปลก เพราะหล่อนมิใช่แม่แก้วกานดา แล้วมันจะเกี่ยวกันรึ ”

               “ ขนาดคุณยังงงเรื่องตัวเอง ฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเกี่ยวกับฉันได้ยังไง แต่ตอนนี้ฉันชักสนใจผู้หญิงที่ชื่อแก้วกานดาซะแล้วสิคะ คุณขจรช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ว่าแก้วกานดาและดวงมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน  ”

               “ ได้ ฉันจะเล่าให้ฟัง แต่เพลานี้ฉันรู้สึกว่าดวงจิตฉันอ่อนแรงเหลือเกิน ”  จู่ๆร่างของวิญญาณหนุ่มก็ดูจางอ่อนลงจนเกือบจะโปร่งแสง

               “ คุณขจร คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณอยากให้แก้วทำบุญ กรวดน้ำ แผ่เมตตา สวดมนต์ หรืออะไรหรือเปล่าคะ ร่างคุณมันเหมือนจะหายไปแล้ว ” หญิงสาวถามรัวเป็นชุดด้วยความตกใจ

               “ ฉันไม่เป็นอะไรดอก ขอบใจนะแม่แก้ว เอาเป็นว่า คืนนี้ตอนดาวเหนือขึ้น แลพระจันทร์ฉายเต็มดวง  หล่อนมาพบฉันที่เมืองใต้ดิน แล้วฉันจะพาหล่อนไปพบกับเรื่องราวในอดีต ”

               “ ทำไมต้องเมืองใต้ดินด้วยคะ ”

               “ เพราะที่ที่ฉันตาย คือที่ที่ฉันมีกำลังจิตแรงมากที่สุด มันยังคงมีเศษซากของความทรงจำเหลืออยู่  ฉันคิดว่ามันคงเป็นจุดเชื่อมภพบางอย่างระหว่างหล่อนกับฉัน ”

                “ ค่ะ แล้วฉันไปจะเจอคุณที่นั่น ”

                ดวงอาทิตย์ยามบ่ายฉายแสงส่อง แซมแทรกทาบผ่านเข้ามาใต้ร่มต้นเมเปิ้ลให้สว่างขึ้นจากเดิม  เพียงแค่ชั่ววินาทีที่สายลมอ่อนพัดเข้ามาอีกครั้ง  ร่างไร้เงาของวิญญาณขุนขจร ก็ค่อยๆเป็นประกายหายไปในช่วงแสงระยิบของแดด ที่กำลังกระทบกับใบเมเปิ้ลที่ปลิวหล่น  มีเพียงเสียงสะท้อนบอกลาแผ่วๆ ผ่านคลอมากับสายลม

  “ ลาก่อนนะแม่แก้ว ”


+++++++มีต่อด้านล่างเจ้าค่ะ+++++++++++>>>>>>>>

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่