เปิดกล่องย้อนอดีค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/30381628บทนำ
http://pantip.com/topic/30445012บทที่๑ เมืองใต้ดินกับกลิ่นการเวก
http://pantip.com/topic/30456186บทที่๒ หลอกหลอน
http://pantip.com/topic/30600473บทที่๓ ภูตผีปีศาจ
คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ 
โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่าน เพราะข้อความในเนื้อหาอาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสม หรือกล่าวเกินจริง
เด็กอายุต่ำกว่า16ปีควรมีผู้ใหญ่อ่านให้ฟังและให้คำแนะนำ หรือกลับไปอ่านอีสปจะดีกว่า ขอบคุณค่ะ อิอิ
บทที่ ๔
ลางสังหาร

สายลมชโลมริ้วลำก้านไม้เมเปิ้ลพริ้วไหวเป็นระลอก เล็มไล้ใบแก่ร่วงหล่นเรี่ยลงพื้นล่างเป็นระยะ เหลือใบอ่อนไล่เลี่ยเริ่มผลัดแตกยอดแยก ขยายปกคุ้มทะงันเป็นพุ่มใหญ่ ช่วยชะลอแสงแดดรอนใต้ต้นให้ทอนทุเลาลง มีร่มเงาคลุมครอบโดยรอบทึบทะมึนเป็นสีแดงอมดำ วิญญานหนุ่มปรากฎร่างชัดอยู่บนยอดกิ่งไม้ที่ย้อยระย้า นั่งห้อยขามองหญิงสาวที่กำลังนั่งก้มหน้ากลุ้ม กุมขมับด้วยความทุกข์ใจ
“ เป็นอะไรรึแม่แก้ว ” วิญญาณหนุ่มเริ่มเอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย
หญิงสาวรีบแหงนหน้ามองขึ้นไปที่ต้นเสียงด้านบน เผลออุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันตั้งตัวที่จะเจอ “ คุณขจร! ”
ถึงแม้จะเคยเจอกันในรูปแบบที่น่ากลัวมาก่อน หญิงสาวก็ยังไม่รู้สึกคุ้นชินกับการปรากฎกายกระทันหันแบบนี้ เพราะยังไงขุนขจรก็คือวิญญาณที่ตายไปแล้วร้อยกว่าปี แต่ด้วยรูปกายที่ปกติเหมือนคนทุกอย่าง แก้วจึงมีสติกล้าพอที่จะเอ่ยปากพูดคุยด้วยต่อ “ คุณหายไปไหนมา ”
วิญญาณหนุ่มเผยอยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก กระโดดโรยตัวลงจากยอดกิ่งไม้ ลอยพริ้วลิ่วลงมาที่เบื้องล่างอย่างเบาย่อง เท้าบรรจบติดพื้นเหมือนคนปกติ เดินเยื้องย่างก้าวซ้ายขวาอย่างนวยนาดมานั่งที่ม้านั่ง เขยิบตัวและยื่นหน้าเข้ามาใกล้หญิงสาวในระยะห่างกันแค่เพียงหนึ่งลมใจหายเข้าออก
แก้วจ้องมองนัยน์ตาที่คมเป็นประกายของขุนขจร แววตาอันแสนอบอุ่นที่ส่งความอ่อนโยนมา มันทำให้หัวใจเต้นแรง จนสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงใบหน้าให้เปล่งเป็นสีแดงระเรื่ออกมาไม่รู้ตัว ยิ่งจ้องมองเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย
“ ตกประหม่ารึแม่แก้ว? แก้มแดงเหมือนลูกตำลึงเทียว ” ขจรถามเชิงแกล้งหยอก เพราะเริ่มสังเกตุอาการผิดปกติที่ออกมาจากทางใบหน้าอย่างชัดเจนของแก้ว
“ เปล่าค่ะ ” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ เขยิบเอนตัวออกไปอิงที่พักแขนของม้านั่ง แล้วมองตรงออกไปด้านหน้า เพื่อเลี่ยงที่จะสบตากับวิญญาณหนุ่ม “ แก้วไม่ได้หน้าแดงนะคะ ที่มันแดงก็เพราะอยู่ใต้เงาต้นเมเปิ้ล คุณขจรยื่นหน้ามาใกล้ๆแบบนี้ แก้วก็หลอนนะคะ ”
“ หน้าฉันมันน่ากลัวนักรึไง ฉันมิได้มาเหมือนเมืองใต้ดินเสียหน่อย ” ขุนขจรเขยิบตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวมากขึ้น คราวนี้ยื่นหน้าเขามาใกล้จนจมูกจวนเจียนเกือบจะประชิดติดกัน หญิงสาวพยายามเอียงตัวหนีด้วยความเขินอาย “ คุณขจรจะเข้ามาใกล้แก้วทำไมคะเนี้ย ” หญิงสาวยังคงมองตรงออกไปข้างหน้า ใช้เพียงสายตาแอบเหล่ชำเลืองมอง
“ ฉันแค่จะเอาเกสรดอกไม้ออกจากหัวหล่อน ” วิญญาณหนุ่มชี้ไปที่หัวของหญิงสาว ที่มีเกสรดอกไม้ของต้นเมเปิ้ลติดอยู่ระหว่างกลางกระหม่อมและมวยผมที่ขมวดไว้
แก้วกลอกตามองด้านบนหัวตัวเอง พยายามใช้มือปัด และก้มศรีษะลงสะบัดหัว แต่ก็ไม่มีอะไรตกลงมา “ ไหนคะคุณขจร ไม่เห็นมีเลย ”
“ หันหน้ามาทางฉันนี่สิแม่แก้ว ” น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาของวิญญาณหนุ่ม ทำให้หญิงสาวค่อยๆหันหน้ากลับมาหา ก้มหัวลงเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำมองไปทางอื่น “ จริงๆบอกแก้วก็ได้นะคะว่าอยู่ตรงไหน เดี๋ยวแก้วจะเอาออกเอง ”
“ อยู่นิ่งๆก่อนเถิดแม่แก้ว เดี๋ยวฉันเอามันออกให้หล่อนเอง ”
ขุนขจรค่อยๆบรรจงใช้มือที่ไร้น้ำหนักปัดเกสรดอกเมเปิ้ลสีแดงร่วงหล่นลงมาตกที่หน้าตักราวกับขนนก แก้วรู้สึกได้ว่า มันเป็นเหมือนไอลมลมเบาเย็นสบายที่เคล้าคลอกลิ่นการเวกจางๆออกมาด้วย
“ ขอบคุณนะคะ ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณ พลางหยิบเกสรดอกเมเปิ้ลมาดูแก้อาการเขินอาย และชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “ นี่เพิ่งรู้นะคะเนี้ยว่าต้นเมเปิ้ลมีดอกด้วย เพราะปกติสนใจแต่ใบมัน ”
“ ต้นไม้ต้นนี้ชื่อต้นแม่ปั้นรึแม่แก้ว ”
“ เม’เพิลค่ะ คุณขจร ” หญิงสาวห่อลิ้นเน้นออกเสียงสำเนียงแบบอังกฤษอีกครั้ง
“ ฉันต้องทำลิ้นพิลึกพิเรนทร์แบบหล่อนด้วยรึ ยากเสียจริง ให้ฉันเรียกว่าต้นแม่ปั้นจะง่ายเสียกว่า ”
“ ค่ะ ต้นแม่ปั้น ก็ต้นแม่ปั้น” หญิงสาวแอบอมยิ้มกับชื่อที่วิญญาณหนุ่มใช้เรียกต้นเมเปิ้ล ทั้งๆที่คำนี้เป็นภาษาอังกฤษ ขุนขจรก็เป็นลูกครึ่งต่างชาติอย่างที่เคยบอก ว่ามีบรรพบุรุษเป็นมิชชันนารี แถมเดินทางข้ามหน้าข้ามทะเลมาถึงที่นี่ ทำไมคำง่ายๆถึงออกสำเนียงเสียงไม่ถูก แก้วหยุดครุ่นคิดสงสัยครู่ใหญ่ ก็ผงะตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นวิญญาณหนุ่มลอยตัวขึ้นไปด้านบนยอดไม้เมเปิ้ลอีกครั้ง
“ ขึ้นไปอีกทำไมคะคุณขจร ”
” ฉันขึ้นมาดูต้นแม่ปั้นอีกครั้งน่ะสิ ตอนมานั่งฉันมัวแต่สนใจหล่อน เลยไม่ได้ดูเลยว่าใบแม่ปั้นพวกนี้ช่างงามวิลาศนัก ” วิญญาณหนุ่มยิ้มระรื่นตื่นเต้นกับการได้รู้จักต้นไม้ใหม่ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ลอยไปมารอบๆต้นเมเปิ้ลอย่างสนุกสนาน แล้วมาหยุดนั่งที่กิ่งยอดหนึ่ง ที่มีใบเมเปิ้ลใหญ่เท่าฝ่ามือ “ ใบสีแดงฉานมีหลายแฉกคล้ายมือคน เวลาขึ้นปกทั้งต้น แลน่าพิศพิลึกนัก ฉันชักชอบไอ้เจ้าต้นแม่ปั้นเสียแล้วสิ ”
“ งั้นตามสบายเลยค่ะ แต่คุณบอกฉันได้หรือยังว่าคุณหายไปไหนมา ”
“ ฉันตามอีดวงไป ตามมันไปเสียไม่ทัน ฉันเลยกลับมาหาหล่อน ” วิญญาณลอยตัวลงมานั่งที่เดิม มองหน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าวิตกกังวล “ ฉันเห็นหล่อนดูสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนคนเป็นคลื่นเหียน หล่อนปวดหัวเพราะถูกอีดวงมันดึงหัวกบาลเมื่อคืนรึ ”
“ เปล่าค่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย จริงๆก็มากอ่ะค่ะ หลายเรื่องเลย แต่จะว่าไป ที่ถูกดึงเมือคืน แก้วไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยนะคะ แผลที่โดนจิกหรือกระจุกผมขาดให้เห็นสักเส้นก็ไม่มี มันอาจจะชาไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ แก้วก็ยังงงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่เลยค่ะ ”
วิญญาณหนุ่มอมยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะความงง “ มันจะเจ็บได้อย่างไรเล่า มันเป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ”
“ ยังไงคะ แก้วไม่เข้าใจ มันคือความฝันหรือเปล่าคะ ”
“ มันหาใช่ฝันหรือนิมิตไม่ แต่มันเสมือนจริง ”
“ คุณขจรอย่ากำกวมได้ไหมคะ อธิบายง่ายๆหน่อย แก้วงง ”
“ จำไว้เถิดหนาแม่แก้ว ว่าผีทั้งหลายมิสามารถทำอันตรายกับหล่อนดอก ผีเป็นแค่ดวงจิต ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนัง ถ้าทำได้ ฉันคงใช้มือปัดเกสรดอกไม้ให้หล่อนได้แล้วกระมัง ดูนี่ ฉันจะทำอะไรให้ดู ”
วิญญาณหนุ่มใช้ปลายนิ้วจับไปที่จอนผมแก้วที่ปล่อยออกมาด้านหน้า แต่ก็ไม่สามารถจับหรือสัมผัสได้เลย เป็นเพียงนิ้วที่ทะลุผ่านไปมาให้เส้นผมปลิวสะบัดเหมือนโดนลมพัดเบาๆเท่านั้น “ เห็นไหมเล่า ฉันหาจับหล่อนได้ไม่แม้กระทั่งปลายเส้นผม แล้วเยี่ยงนี้ อีดวงมันจะไปจิกหัวหล่อนได้หรอกหรือแม่แก้ว ”
“ แต่ที่เห็นและที่รู้สึกเมื่อคืน ผีตัวนั้นมันจิกแก้วจริงๆนะคะ ”
“ มันเป็นสิ่งที่บันดาลจากภาพลวงตาของภพวิญญาณ เมื่อดวงจิตของหล่อนอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น อยู่ครึ่งๆกลางๆระหว่างภพมนุษย์และภพผี หล่อนก็จะไร้การควบคุม ถ้าหล่อนหามีสติไม่ หล่อนก็จะถูกควบคุมโดยวิญญาณ เหมือนกับฝันไง หล่อนสามารถบังคับฝันหล่อนได้รึ ”
“ บังคับได้นะคะ ทำไมจะไม่ได้ ”
“ ตรึกดีๆว่าได้หรือไม่ได้ มันเหมือนเราจะทำตามใจเราได้ แต่อีกกึ่งมันก็ไหลไปตามเรื่องราวของความฝัน จริงไหม รึว่าไม่จริง ”
“ สรุปแก้วกึ่งหลับกึ่งตื่นใช่ไหมคะ”
“ ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่หล่อนน่ะเชื่อมโยงกับภพอื่นได้ กอปรกับหล่อนจิตยังอ่อน มันเลยเป็นช่องทางให้วิญญาณอีดวงมันเข้ามาควบคุมเรื่องราว ด้วยเหตุฉันนี้ ฉันเลยให้หล่อนสวดมนต์ไงเล่า คำสวดมนต์คือจิตเป็นกลาง ไม่คิดไปทางร้ายหรือทางดี เมื่อจิตเป็นกลางก็จะตั้งมั่นอยู๋ในสติ หล่อนก็จะกลับคืนเหมือนเดิมฉันนั้น ”
“ ถ้าไม่อยากเห็นผีต้องมีสติเหรอคะ ”
“ ผีจะไม่หลอกหลอนเรา ถ้าเรามีสติ ผีในตัวหล่อนต่างหากที่หลอกหลอนตัวเอง แต่มันก็น่าแปลก ”
“ แปลกยังไงคะ ”
“ แปลกตรงที่ฉันเข้าไปช่วยอะไรหล่อนไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะวิญญาณมันแรงไปด้วยความพยาบาท แลมนต์ดำบางอย่างขัดขวางฉันไว้กระมัง แต่ยังไงเสีย อีดวงก็หาทำร้ายหล่อนได้ไม่ ”
“ สรุปแล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนคุณขจรกำลังว่าแก้วเพ้อเจ้อและทำร้ายตัวเองนะคะ ” หญิงสาวเมินหน้าหนีด้วยความงอน
“ ยังไม่ทันฟังอีร้าค้าอีรม หล่อนก็ตีโพยตีพายเสียแล้ว ฉันยังพูดไม่จบ ฉันจะบอกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กรณีหล่อนมันมีกรรมมากำหนดไว้ด้วย ”
“ แล้วแก้วไปก่อกรรมทำเข็ญกับผีดวงตอนไหนคะ ” หญิงสาวพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระแทกประชดประชัน
“ อย่างที่ฉันเคยบอกว่าคนที่ควรถูกชำระควรเป็นอีดวงเสียมากกว่า แต่จะว่าไป มีอยู่คราหนึ่ง แม่แก้วกานดาก็ทำแรงไป แต่มันก็น่าแปลก เพราะหล่อนมิใช่แม่แก้วกานดา แล้วมันจะเกี่ยวกันรึ ”
“ ขนาดคุณยังงงเรื่องตัวเอง ฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเกี่ยวกับฉันได้ยังไง แต่ตอนนี้ฉันชักสนใจผู้หญิงที่ชื่อแก้วกานดาซะแล้วสิคะ คุณขจรช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ว่าแก้วกานดาและดวงมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน ”
“ ได้ ฉันจะเล่าให้ฟัง แต่เพลานี้ฉันรู้สึกว่าดวงจิตฉันอ่อนแรงเหลือเกิน ” จู่ๆร่างของวิญญาณหนุ่มก็ดูจางอ่อนลงจนเกือบจะโปร่งแสง
“ คุณขจร คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณอยากให้แก้วทำบุญ กรวดน้ำ แผ่เมตตา สวดมนต์ หรืออะไรหรือเปล่าคะ ร่างคุณมันเหมือนจะหายไปแล้ว ” หญิงสาวถามรัวเป็นชุดด้วยความตกใจ
“ ฉันไม่เป็นอะไรดอก ขอบใจนะแม่แก้ว เอาเป็นว่า คืนนี้ตอนดาวเหนือขึ้น แลพระจันทร์ฉายเต็มดวง หล่อนมาพบฉันที่เมืองใต้ดิน แล้วฉันจะพาหล่อนไปพบกับเรื่องราวในอดีต ”
“ ทำไมต้องเมืองใต้ดินด้วยคะ ”
“ เพราะที่ที่ฉันตาย คือที่ที่ฉันมีกำลังจิตแรงมากที่สุด มันยังคงมีเศษซากของความทรงจำเหลืออยู่ ฉันคิดว่ามันคงเป็นจุดเชื่อมภพบางอย่างระหว่างหล่อนกับฉัน ”
“ ค่ะ แล้วฉันไปจะเจอคุณที่นั่น ”
ดวงอาทิตย์ยามบ่ายฉายแสงส่อง แซมแทรกทาบผ่านเข้ามาใต้ร่มต้นเมเปิ้ลให้สว่างขึ้นจากเดิม เพียงแค่ชั่ววินาทีที่สายลมอ่อนพัดเข้ามาอีกครั้ง ร่างไร้เงาของวิญญาณขุนขจร ก็ค่อยๆเป็นประกายหายไปในช่วงแสงระยิบของแดด ที่กำลังกระทบกับใบเมเปิ้ลที่ปลิวหล่น มีเพียงเสียงสะท้อนบอกลาแผ่วๆ ผ่านคลอมากับสายลม
“ ลาก่อนนะแม่แก้ว ”
+++++++มีต่อด้านล่างเจ้าค่ะ+++++++++++>>>>>>>>
เหย้าบาหยัน >> บทที่ ๔ >>ลางสังหาร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คู่มือการอ่าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ ๔

ลางสังหาร
สายลมชโลมริ้วลำก้านไม้เมเปิ้ลพริ้วไหวเป็นระลอก เล็มไล้ใบแก่ร่วงหล่นเรี่ยลงพื้นล่างเป็นระยะ เหลือใบอ่อนไล่เลี่ยเริ่มผลัดแตกยอดแยก ขยายปกคุ้มทะงันเป็นพุ่มใหญ่ ช่วยชะลอแสงแดดรอนใต้ต้นให้ทอนทุเลาลง มีร่มเงาคลุมครอบโดยรอบทึบทะมึนเป็นสีแดงอมดำ วิญญานหนุ่มปรากฎร่างชัดอยู่บนยอดกิ่งไม้ที่ย้อยระย้า นั่งห้อยขามองหญิงสาวที่กำลังนั่งก้มหน้ากลุ้ม กุมขมับด้วยความทุกข์ใจ
“ เป็นอะไรรึแม่แก้ว ” วิญญาณหนุ่มเริ่มเอ่ยปากถามด้วยความห่วงใย
หญิงสาวรีบแหงนหน้ามองขึ้นไปที่ต้นเสียงด้านบน เผลออุทานออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันตั้งตัวที่จะเจอ “ คุณขจร! ”
ถึงแม้จะเคยเจอกันในรูปแบบที่น่ากลัวมาก่อน หญิงสาวก็ยังไม่รู้สึกคุ้นชินกับการปรากฎกายกระทันหันแบบนี้ เพราะยังไงขุนขจรก็คือวิญญาณที่ตายไปแล้วร้อยกว่าปี แต่ด้วยรูปกายที่ปกติเหมือนคนทุกอย่าง แก้วจึงมีสติกล้าพอที่จะเอ่ยปากพูดคุยด้วยต่อ “ คุณหายไปไหนมา ”
วิญญาณหนุ่มเผยอยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก กระโดดโรยตัวลงจากยอดกิ่งไม้ ลอยพริ้วลิ่วลงมาที่เบื้องล่างอย่างเบาย่อง เท้าบรรจบติดพื้นเหมือนคนปกติ เดินเยื้องย่างก้าวซ้ายขวาอย่างนวยนาดมานั่งที่ม้านั่ง เขยิบตัวและยื่นหน้าเข้ามาใกล้หญิงสาวในระยะห่างกันแค่เพียงหนึ่งลมใจหายเข้าออก
แก้วจ้องมองนัยน์ตาที่คมเป็นประกายของขุนขจร แววตาอันแสนอบอุ่นที่ส่งความอ่อนโยนมา มันทำให้หัวใจเต้นแรง จนสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงใบหน้าให้เปล่งเป็นสีแดงระเรื่ออกมาไม่รู้ตัว ยิ่งจ้องมองเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย
“ ตกประหม่ารึแม่แก้ว? แก้มแดงเหมือนลูกตำลึงเทียว ” ขจรถามเชิงแกล้งหยอก เพราะเริ่มสังเกตุอาการผิดปกติที่ออกมาจากทางใบหน้าอย่างชัดเจนของแก้ว
“ เปล่าค่ะ ” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ เขยิบเอนตัวออกไปอิงที่พักแขนของม้านั่ง แล้วมองตรงออกไปด้านหน้า เพื่อเลี่ยงที่จะสบตากับวิญญาณหนุ่ม “ แก้วไม่ได้หน้าแดงนะคะ ที่มันแดงก็เพราะอยู่ใต้เงาต้นเมเปิ้ล คุณขจรยื่นหน้ามาใกล้ๆแบบนี้ แก้วก็หลอนนะคะ ”
“ หน้าฉันมันน่ากลัวนักรึไง ฉันมิได้มาเหมือนเมืองใต้ดินเสียหน่อย ” ขุนขจรเขยิบตัวเข้าไปใกล้หญิงสาวมากขึ้น คราวนี้ยื่นหน้าเขามาใกล้จนจมูกจวนเจียนเกือบจะประชิดติดกัน หญิงสาวพยายามเอียงตัวหนีด้วยความเขินอาย “ คุณขจรจะเข้ามาใกล้แก้วทำไมคะเนี้ย ” หญิงสาวยังคงมองตรงออกไปข้างหน้า ใช้เพียงสายตาแอบเหล่ชำเลืองมอง
“ ฉันแค่จะเอาเกสรดอกไม้ออกจากหัวหล่อน ” วิญญาณหนุ่มชี้ไปที่หัวของหญิงสาว ที่มีเกสรดอกไม้ของต้นเมเปิ้ลติดอยู่ระหว่างกลางกระหม่อมและมวยผมที่ขมวดไว้
แก้วกลอกตามองด้านบนหัวตัวเอง พยายามใช้มือปัด และก้มศรีษะลงสะบัดหัว แต่ก็ไม่มีอะไรตกลงมา “ ไหนคะคุณขจร ไม่เห็นมีเลย ”
“ หันหน้ามาทางฉันนี่สิแม่แก้ว ” น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาของวิญญาณหนุ่ม ทำให้หญิงสาวค่อยๆหันหน้ากลับมาหา ก้มหัวลงเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำมองไปทางอื่น “ จริงๆบอกแก้วก็ได้นะคะว่าอยู่ตรงไหน เดี๋ยวแก้วจะเอาออกเอง ”
“ อยู่นิ่งๆก่อนเถิดแม่แก้ว เดี๋ยวฉันเอามันออกให้หล่อนเอง ”
ขุนขจรค่อยๆบรรจงใช้มือที่ไร้น้ำหนักปัดเกสรดอกเมเปิ้ลสีแดงร่วงหล่นลงมาตกที่หน้าตักราวกับขนนก แก้วรู้สึกได้ว่า มันเป็นเหมือนไอลมลมเบาเย็นสบายที่เคล้าคลอกลิ่นการเวกจางๆออกมาด้วย
“ ขอบคุณนะคะ ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณ พลางหยิบเกสรดอกเมเปิ้ลมาดูแก้อาการเขินอาย และชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “ นี่เพิ่งรู้นะคะเนี้ยว่าต้นเมเปิ้ลมีดอกด้วย เพราะปกติสนใจแต่ใบมัน ”
“ ต้นไม้ต้นนี้ชื่อต้นแม่ปั้นรึแม่แก้ว ”
“ เม’เพิลค่ะ คุณขจร ” หญิงสาวห่อลิ้นเน้นออกเสียงสำเนียงแบบอังกฤษอีกครั้ง
“ ฉันต้องทำลิ้นพิลึกพิเรนทร์แบบหล่อนด้วยรึ ยากเสียจริง ให้ฉันเรียกว่าต้นแม่ปั้นจะง่ายเสียกว่า ”
“ ค่ะ ต้นแม่ปั้น ก็ต้นแม่ปั้น” หญิงสาวแอบอมยิ้มกับชื่อที่วิญญาณหนุ่มใช้เรียกต้นเมเปิ้ล ทั้งๆที่คำนี้เป็นภาษาอังกฤษ ขุนขจรก็เป็นลูกครึ่งต่างชาติอย่างที่เคยบอก ว่ามีบรรพบุรุษเป็นมิชชันนารี แถมเดินทางข้ามหน้าข้ามทะเลมาถึงที่นี่ ทำไมคำง่ายๆถึงออกสำเนียงเสียงไม่ถูก แก้วหยุดครุ่นคิดสงสัยครู่ใหญ่ ก็ผงะตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นวิญญาณหนุ่มลอยตัวขึ้นไปด้านบนยอดไม้เมเปิ้ลอีกครั้ง
“ ขึ้นไปอีกทำไมคะคุณขจร ”
” ฉันขึ้นมาดูต้นแม่ปั้นอีกครั้งน่ะสิ ตอนมานั่งฉันมัวแต่สนใจหล่อน เลยไม่ได้ดูเลยว่าใบแม่ปั้นพวกนี้ช่างงามวิลาศนัก ” วิญญาณหนุ่มยิ้มระรื่นตื่นเต้นกับการได้รู้จักต้นไม้ใหม่ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ลอยไปมารอบๆต้นเมเปิ้ลอย่างสนุกสนาน แล้วมาหยุดนั่งที่กิ่งยอดหนึ่ง ที่มีใบเมเปิ้ลใหญ่เท่าฝ่ามือ “ ใบสีแดงฉานมีหลายแฉกคล้ายมือคน เวลาขึ้นปกทั้งต้น แลน่าพิศพิลึกนัก ฉันชักชอบไอ้เจ้าต้นแม่ปั้นเสียแล้วสิ ”
“ งั้นตามสบายเลยค่ะ แต่คุณบอกฉันได้หรือยังว่าคุณหายไปไหนมา ”
“ ฉันตามอีดวงไป ตามมันไปเสียไม่ทัน ฉันเลยกลับมาหาหล่อน ” วิญญาณลอยตัวลงมานั่งที่เดิม มองหน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าวิตกกังวล “ ฉันเห็นหล่อนดูสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนคนเป็นคลื่นเหียน หล่อนปวดหัวเพราะถูกอีดวงมันดึงหัวกบาลเมื่อคืนรึ ”
“ เปล่าค่ะ มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย จริงๆก็มากอ่ะค่ะ หลายเรื่องเลย แต่จะว่าไป ที่ถูกดึงเมือคืน แก้วไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยนะคะ แผลที่โดนจิกหรือกระจุกผมขาดให้เห็นสักเส้นก็ไม่มี มันอาจจะชาไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ แก้วก็ยังงงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่เลยค่ะ ”
วิญญาณหนุ่มอมยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะความงง “ มันจะเจ็บได้อย่างไรเล่า มันเป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ”
“ ยังไงคะ แก้วไม่เข้าใจ มันคือความฝันหรือเปล่าคะ ”
“ มันหาใช่ฝันหรือนิมิตไม่ แต่มันเสมือนจริง ”
“ คุณขจรอย่ากำกวมได้ไหมคะ อธิบายง่ายๆหน่อย แก้วงง ”
“ จำไว้เถิดหนาแม่แก้ว ว่าผีทั้งหลายมิสามารถทำอันตรายกับหล่อนดอก ผีเป็นแค่ดวงจิต ไม่มีเนื้อ ไม่มีหนัง ถ้าทำได้ ฉันคงใช้มือปัดเกสรดอกไม้ให้หล่อนได้แล้วกระมัง ดูนี่ ฉันจะทำอะไรให้ดู ”
วิญญาณหนุ่มใช้ปลายนิ้วจับไปที่จอนผมแก้วที่ปล่อยออกมาด้านหน้า แต่ก็ไม่สามารถจับหรือสัมผัสได้เลย เป็นเพียงนิ้วที่ทะลุผ่านไปมาให้เส้นผมปลิวสะบัดเหมือนโดนลมพัดเบาๆเท่านั้น “ เห็นไหมเล่า ฉันหาจับหล่อนได้ไม่แม้กระทั่งปลายเส้นผม แล้วเยี่ยงนี้ อีดวงมันจะไปจิกหัวหล่อนได้หรอกหรือแม่แก้ว ”
“ แต่ที่เห็นและที่รู้สึกเมื่อคืน ผีตัวนั้นมันจิกแก้วจริงๆนะคะ ”
“ มันเป็นสิ่งที่บันดาลจากภาพลวงตาของภพวิญญาณ เมื่อดวงจิตของหล่อนอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น อยู่ครึ่งๆกลางๆระหว่างภพมนุษย์และภพผี หล่อนก็จะไร้การควบคุม ถ้าหล่อนหามีสติไม่ หล่อนก็จะถูกควบคุมโดยวิญญาณ เหมือนกับฝันไง หล่อนสามารถบังคับฝันหล่อนได้รึ ”
“ บังคับได้นะคะ ทำไมจะไม่ได้ ”
“ ตรึกดีๆว่าได้หรือไม่ได้ มันเหมือนเราจะทำตามใจเราได้ แต่อีกกึ่งมันก็ไหลไปตามเรื่องราวของความฝัน จริงไหม รึว่าไม่จริง ”
“ สรุปแก้วกึ่งหลับกึ่งตื่นใช่ไหมคะ”
“ ไม่ใช่เสียทีเดียว แต่หล่อนน่ะเชื่อมโยงกับภพอื่นได้ กอปรกับหล่อนจิตยังอ่อน มันเลยเป็นช่องทางให้วิญญาณอีดวงมันเข้ามาควบคุมเรื่องราว ด้วยเหตุฉันนี้ ฉันเลยให้หล่อนสวดมนต์ไงเล่า คำสวดมนต์คือจิตเป็นกลาง ไม่คิดไปทางร้ายหรือทางดี เมื่อจิตเป็นกลางก็จะตั้งมั่นอยู๋ในสติ หล่อนก็จะกลับคืนเหมือนเดิมฉันนั้น ”
“ ถ้าไม่อยากเห็นผีต้องมีสติเหรอคะ ”
“ ผีจะไม่หลอกหลอนเรา ถ้าเรามีสติ ผีในตัวหล่อนต่างหากที่หลอกหลอนตัวเอง แต่มันก็น่าแปลก ”
“ แปลกยังไงคะ ”
“ แปลกตรงที่ฉันเข้าไปช่วยอะไรหล่อนไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะวิญญาณมันแรงไปด้วยความพยาบาท แลมนต์ดำบางอย่างขัดขวางฉันไว้กระมัง แต่ยังไงเสีย อีดวงก็หาทำร้ายหล่อนได้ไม่ ”
“ สรุปแล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ดูเหมือนคุณขจรกำลังว่าแก้วเพ้อเจ้อและทำร้ายตัวเองนะคะ ” หญิงสาวเมินหน้าหนีด้วยความงอน
“ ยังไม่ทันฟังอีร้าค้าอีรม หล่อนก็ตีโพยตีพายเสียแล้ว ฉันยังพูดไม่จบ ฉันจะบอกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กรณีหล่อนมันมีกรรมมากำหนดไว้ด้วย ”
“ แล้วแก้วไปก่อกรรมทำเข็ญกับผีดวงตอนไหนคะ ” หญิงสาวพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระแทกประชดประชัน
“ อย่างที่ฉันเคยบอกว่าคนที่ควรถูกชำระควรเป็นอีดวงเสียมากกว่า แต่จะว่าไป มีอยู่คราหนึ่ง แม่แก้วกานดาก็ทำแรงไป แต่มันก็น่าแปลก เพราะหล่อนมิใช่แม่แก้วกานดา แล้วมันจะเกี่ยวกันรึ ”
“ ขนาดคุณยังงงเรื่องตัวเอง ฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเกี่ยวกับฉันได้ยังไง แต่ตอนนี้ฉันชักสนใจผู้หญิงที่ชื่อแก้วกานดาซะแล้วสิคะ คุณขจรช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม ว่าแก้วกานดาและดวงมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อน ”
“ ได้ ฉันจะเล่าให้ฟัง แต่เพลานี้ฉันรู้สึกว่าดวงจิตฉันอ่อนแรงเหลือเกิน ” จู่ๆร่างของวิญญาณหนุ่มก็ดูจางอ่อนลงจนเกือบจะโปร่งแสง
“ คุณขจร คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณอยากให้แก้วทำบุญ กรวดน้ำ แผ่เมตตา สวดมนต์ หรืออะไรหรือเปล่าคะ ร่างคุณมันเหมือนจะหายไปแล้ว ” หญิงสาวถามรัวเป็นชุดด้วยความตกใจ
“ ฉันไม่เป็นอะไรดอก ขอบใจนะแม่แก้ว เอาเป็นว่า คืนนี้ตอนดาวเหนือขึ้น แลพระจันทร์ฉายเต็มดวง หล่อนมาพบฉันที่เมืองใต้ดิน แล้วฉันจะพาหล่อนไปพบกับเรื่องราวในอดีต ”
“ ทำไมต้องเมืองใต้ดินด้วยคะ ”
“ เพราะที่ที่ฉันตาย คือที่ที่ฉันมีกำลังจิตแรงมากที่สุด มันยังคงมีเศษซากของความทรงจำเหลืออยู่ ฉันคิดว่ามันคงเป็นจุดเชื่อมภพบางอย่างระหว่างหล่อนกับฉัน ”
“ ค่ะ แล้วฉันไปจะเจอคุณที่นั่น ”
ดวงอาทิตย์ยามบ่ายฉายแสงส่อง แซมแทรกทาบผ่านเข้ามาใต้ร่มต้นเมเปิ้ลให้สว่างขึ้นจากเดิม เพียงแค่ชั่ววินาทีที่สายลมอ่อนพัดเข้ามาอีกครั้ง ร่างไร้เงาของวิญญาณขุนขจร ก็ค่อยๆเป็นประกายหายไปในช่วงแสงระยิบของแดด ที่กำลังกระทบกับใบเมเปิ้ลที่ปลิวหล่น มีเพียงเสียงสะท้อนบอกลาแผ่วๆ ผ่านคลอมากับสายลม
“ ลาก่อนนะแม่แก้ว ”
+++++++มีต่อด้านล่างเจ้าค่ะ+++++++++++>>>>>>>>