เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ อาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับผู้ที่กำลังมีความสุข อาจทำให้ความสุขของท่านถูกบั่นทอนลง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เรื่องนี้เริ่มต้นที่หน้าเสาธงในตอนเช้าเมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ผมกับเพื่อนสนิทไปยืนรอรับเกียรติบัตรจากผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยม ซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมต้องไปยืนที่ตรงนั้นวันนั้น
ผมกับเพื่อนไปแข่งขันทักษะการทำปฏิบัติการ(Lab) แบบคู่ที่จัดขึ้นในงานวันวิทยาศาสตร์เป็นประจำทุกปี ปีนั้นเป็นปีแรกที่เราเข้าร่วมแข่งขันในฐานะมัธยมปลาย ใช่ตอนนั้นผมอยู่ ม.4 ในการแข่งนั้นเราได้รางวัลชนะเลิศระดับภูมิภาค และได้เป็นตัวแทนไปแข่งระดับประเทศ ทันทีที่รู้ว่าชนะการแข่ง คุณครูของเราได้รับเงินรางวัลมาหนึ่งซอง เกียรติบัตร 2 ใบ (ชื่อผมและเพื่อนสนิทคนละใบ) แล้วบอกกับเราว่า เดี๋ยวครูจะนำไปให้ผู้อำนวยการมอบให้พรุ่งนี้เช้านะคะ โอ้วจอร์ดเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผู้อำนวยการ
กลับมาที่ตอนเช้าแสงแดดอุ่นๆหน้าเสาธง ผู้อำนวยการหน้าบานๆ ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่บนแท่นและกล่าวคำสดุดีอย่างกับพวกเราไปรบชนะข้าศึก ผมไม่ได้ฟังว่าท่านพูดว่าอะไร ผมรู้แค่ว่ามันน่าเบื่อมาก ผมมองไปรอบๆ ที่ผมยืนอยู่และผมก็พบเด็กสาวคนนึง นั่งยิ้มแก้มปริแล้วมองมาที่ผมกับเพื่อน ผมใช้สตินึกคิดในสภาวะที่ไม่ค่อยอำนวยเพราะแสงแดดกำลังแผดเผาพวกเราจนใกล้จะสุกเต็มที ทันใดนั้นผมก็รู้ตัวว่าเธอนั่งอยู่ในอาณาเขตของเด็กม.2
เช้าถัดมาผมมาโรงเรียนตามปกติ ที่ว่าปกติของผมมันอาจไม่ปกติสำหรับทุกคน เพราะผมเป็นคนมาโรงเรียนเช้ามาก เคยมีคนถามว่า “แกมาช่วยยามเปิดประตูหรอ” ความจริงคือบ้านของผมอยู่ไกลจากโรงเรียนพอสมควร ผมต้องขึ้นรถสองแถวจากปากซอยที่เป็นต้นสายของคิวรถ มายังโรงเรียนซึ่งอยู่สุดปลายสาย น้าคนขับรถเหล่านี้ไม่รู้ว่าพวกเค้าคิดอะไรอยู่ ผมรู้แค่ว่าถ้าผมออกจากบ้านหกโมงเช้า ผมจะถึงโรงเรียน หกโมงครึ่ง แต่ถ้าผมออกจากบ้านเจ็ดโมงเช้า ผมจะถึงโรงเรียนเก้าโมง เวลาเพียงแค่หกโมงเช้าถึงเจ็ดโมงนี้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่น้าคนขับจะกลายร่างจากนักเหยียบคันเร่ง เป็นนักเหยียบเบรกซึ่งจะทำให้ผมมาโรงเรียนสาย การมาถึงโรงเรียนเช้านั้นทำให้ผมไม่เคยทำการบ้านที่บ้าน เพราะผมมีเวลาเยอะมากในตอนเช้า ผมชอบอากาศสดชื่นในโรงเรียน และบรรยากาศโรงเรียนอันกว้างขวางกับนักเรียนเพียงแค่สองสามคน
ในเช้าปกตินั้นเอง ผมเหลือบไปเห็นรอยยิ้มที่รู้สึกคุ้นเคยมาก่อน “อ่า น้องคนนี้” ผมจำเธอได้ เธอยิ้มตอนผมยืนอยู่หน้าเสาธง วันนั้นผมไม่ได้นั่งทำการบ้านเลย ผมตัดสินใจเก็บทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วตั้งมันไว้ในที่ที่กลุ่มแก๊งจะตามมาสมทบ แล้วเดินไปหาเด็กสาวที่ทำให้ผมสงสัยว่าเธอยิ้มทำไม ทันทีที่รู้ตัวผมยืนอยู่ด้านหน้าของเธอแล้ว และผมก็ได้ถามเธอหลายอย่าง น่าแปลกที่ผมไม่ได้ถามถึงเรื่องที่เธอยิ้มเลย คำถามที่ผมถามเธอ เป็นคำถามโง่ๆ ของคนที่ไม่สันทัดในการคุยกับรุ่นน้อง และมนุษย์ต่างเพศซักเท่าไหร่นัก
วันถัดๆมาผมก็ได้เห็นรอยยิ้มนั้นเรื่อยๆ จนเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ผมลดเวลาทำการบ้าน และมีเวลาสนทนากับน้องคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ บางวันผมถึงขั้นลืมทำการบ้านจนต้องลอกเพื่อนในแถวหน้าเสาธง โดนคุณครูว่าบ้าง โดนเพื่อนแกล้งบ้าง โดนสารพัดสารเพ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกมีความสุขนะ
เดี๋ยวมาเล่าต่อนะครับ ไปตากผ้าซักครู่.............
ประสบการณ์ความรักของเด็กผู้ชายคนนึง ที่หวังอยากให้มันมีประโยชน์กับเด็กผู้ชายคนอื่นบ้าง
เรื่องนี้เริ่มต้นที่หน้าเสาธงในตอนเช้าเมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ผมกับเพื่อนสนิทไปยืนรอรับเกียรติบัตรจากผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยม ซึ่งผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมต้องไปยืนที่ตรงนั้นวันนั้น
ผมกับเพื่อนไปแข่งขันทักษะการทำปฏิบัติการ(Lab) แบบคู่ที่จัดขึ้นในงานวันวิทยาศาสตร์เป็นประจำทุกปี ปีนั้นเป็นปีแรกที่เราเข้าร่วมแข่งขันในฐานะมัธยมปลาย ใช่ตอนนั้นผมอยู่ ม.4 ในการแข่งนั้นเราได้รางวัลชนะเลิศระดับภูมิภาค และได้เป็นตัวแทนไปแข่งระดับประเทศ ทันทีที่รู้ว่าชนะการแข่ง คุณครูของเราได้รับเงินรางวัลมาหนึ่งซอง เกียรติบัตร 2 ใบ (ชื่อผมและเพื่อนสนิทคนละใบ) แล้วบอกกับเราว่า เดี๋ยวครูจะนำไปให้ผู้อำนวยการมอบให้พรุ่งนี้เช้านะคะ โอ้วจอร์ดเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผู้อำนวยการ
กลับมาที่ตอนเช้าแสงแดดอุ่นๆหน้าเสาธง ผู้อำนวยการหน้าบานๆ ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่บนแท่นและกล่าวคำสดุดีอย่างกับพวกเราไปรบชนะข้าศึก ผมไม่ได้ฟังว่าท่านพูดว่าอะไร ผมรู้แค่ว่ามันน่าเบื่อมาก ผมมองไปรอบๆ ที่ผมยืนอยู่และผมก็พบเด็กสาวคนนึง นั่งยิ้มแก้มปริแล้วมองมาที่ผมกับเพื่อน ผมใช้สตินึกคิดในสภาวะที่ไม่ค่อยอำนวยเพราะแสงแดดกำลังแผดเผาพวกเราจนใกล้จะสุกเต็มที ทันใดนั้นผมก็รู้ตัวว่าเธอนั่งอยู่ในอาณาเขตของเด็กม.2
เช้าถัดมาผมมาโรงเรียนตามปกติ ที่ว่าปกติของผมมันอาจไม่ปกติสำหรับทุกคน เพราะผมเป็นคนมาโรงเรียนเช้ามาก เคยมีคนถามว่า “แกมาช่วยยามเปิดประตูหรอ” ความจริงคือบ้านของผมอยู่ไกลจากโรงเรียนพอสมควร ผมต้องขึ้นรถสองแถวจากปากซอยที่เป็นต้นสายของคิวรถ มายังโรงเรียนซึ่งอยู่สุดปลายสาย น้าคนขับรถเหล่านี้ไม่รู้ว่าพวกเค้าคิดอะไรอยู่ ผมรู้แค่ว่าถ้าผมออกจากบ้านหกโมงเช้า ผมจะถึงโรงเรียน หกโมงครึ่ง แต่ถ้าผมออกจากบ้านเจ็ดโมงเช้า ผมจะถึงโรงเรียนเก้าโมง เวลาเพียงแค่หกโมงเช้าถึงเจ็ดโมงนี้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่น้าคนขับจะกลายร่างจากนักเหยียบคันเร่ง เป็นนักเหยียบเบรกซึ่งจะทำให้ผมมาโรงเรียนสาย การมาถึงโรงเรียนเช้านั้นทำให้ผมไม่เคยทำการบ้านที่บ้าน เพราะผมมีเวลาเยอะมากในตอนเช้า ผมชอบอากาศสดชื่นในโรงเรียน และบรรยากาศโรงเรียนอันกว้างขวางกับนักเรียนเพียงแค่สองสามคน
ในเช้าปกตินั้นเอง ผมเหลือบไปเห็นรอยยิ้มที่รู้สึกคุ้นเคยมาก่อน “อ่า น้องคนนี้” ผมจำเธอได้ เธอยิ้มตอนผมยืนอยู่หน้าเสาธง วันนั้นผมไม่ได้นั่งทำการบ้านเลย ผมตัดสินใจเก็บทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วตั้งมันไว้ในที่ที่กลุ่มแก๊งจะตามมาสมทบ แล้วเดินไปหาเด็กสาวที่ทำให้ผมสงสัยว่าเธอยิ้มทำไม ทันทีที่รู้ตัวผมยืนอยู่ด้านหน้าของเธอแล้ว และผมก็ได้ถามเธอหลายอย่าง น่าแปลกที่ผมไม่ได้ถามถึงเรื่องที่เธอยิ้มเลย คำถามที่ผมถามเธอ เป็นคำถามโง่ๆ ของคนที่ไม่สันทัดในการคุยกับรุ่นน้อง และมนุษย์ต่างเพศซักเท่าไหร่นัก
วันถัดๆมาผมก็ได้เห็นรอยยิ้มนั้นเรื่อยๆ จนเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ผมลดเวลาทำการบ้าน และมีเวลาสนทนากับน้องคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ บางวันผมถึงขั้นลืมทำการบ้านจนต้องลอกเพื่อนในแถวหน้าเสาธง โดนคุณครูว่าบ้าง โดนเพื่อนแกล้งบ้าง โดนสารพัดสารเพ แต่ทำไมผมถึงรู้สึกมีความสุขนะ
เดี๋ยวมาเล่าต่อนะครับ ไปตากผ้าซักครู่.............