คำมหัศจรรย์ โดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี)



นำเกร็ดความรู้มาฝากจาก รายการ การเดินทางของความคิด โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ได้สนทนาธรรม ถึงเรื่อง "คำมหัศจรรย์" เมื่อวันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2556 ดำเนินรายการโดย สรรเสริญ ปัญญาธิวงศ์

                  พระอาจารย์ได้เล่าถึง คำมหัศจรรย์ ว่า คำนั้นคือ การจัดการ เป็นคำที่สำคัญมากในชีวิตของเรา คนบางคนมีงานเยอะแยะไปหมด แต่ก็ทำได้ดีทุกงาน แต่บางคนมีงานชิ้นเดียว ทำไปบ่นไป แต่ไม่เคยสำเร็จ สองคนนี้ต่างกันตรงไหน?
คนที่เก่งการจัดการ ต่อให้มีงานร้อยแปดพันเก้า เขาก็เรียงลำดับมาเป็นอย่างดี  ยกตัวอย่าง สมมติพาเพื่อนไปทานอาหาร พอถึงเวลาจ่ายจะล้วงตังค์ในกระเป๋า พอดึงออกมา มีทั้งเหรียญ พวงกุญแจ ติดกระเป๋าสตางค์มาด้วย บางคนโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋า พอมีคนโทรเข้า ก็ควานหาอยู่นั่น คนสองคนนี้ เรียกว่าไม่ใช่นักจัดการ เป็นพวกตัวยุ่ง ไม่ใช่นักจัดการในชีวิตประจำวัน ส่วนคนที่ทำงานเยอะๆ ไม่เคยมีปัญหา เพราะคนพวกนี้เขาเป็นนักจัดการ

                                                

                  ฉะนั้น เราทุกคนถ้าอยากทำอะไรประสบความสำเร็จ และมีแต่ความราบรื่น อย่าลืมทำตัวเป็นนักจัดการ จัดการชีวิตของเราก่อน ก่อนที่จะไปจัดการข้าวของ บริหารจัดการชีวิตให้ดีๆ เพราะชีวิตนี้เรามีเวลาจำกัด อยู่ไม่ถึงร้อยปีก็ลงโลงกันหมดแล้ว อย่าเที่ยวไปทำทุกเรื่อง ต้องทิ้งบางสิ่งเพื่อทำบางสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด นี่คือนิสัยนักจัดการ เพื่อจัดการชีวิตได้ว่า ชีวิตนี้จะทำอะไรแน่ๆ แล้ว จากนั้นก็ไปจัดการการทำงาน อะไรสำคัญที่สุดก็ทำก่อน แล้วก็เรียงลำดับมา จากนั้นก็ไปจัดการความสัมพันธ์กับพ่อแม่ ลูกเมีย กับเพื่อนให้ดีๆ อย่าให้ได้คนแต่เสียงาน ได้งานแต่เสียคน จากนั้นก็มาจัดการเรื่องตัวเองคือสุขภาพ อาหารการกิน พักผ่อนนอนหลับจะยังไง ลำดับต่อไปก็จัดการตัวเรา เพราะเราเป็นคนหนึ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ ได้รับอะไรจากโลกมาก็ตั้งเยอะ เราจะตอบแทนกลับยังไง เรื่องนี้เป็นการจัดการที่สำคัญมาก เพราะเชื่อมเราไปสู่ชาวโลก เราต้องฝึกเป็นนักจัดการ ใครจัดการดี ชีวิตก็มีคุณค่า ใครจัดการไม่เก่งก็มีชีวิตโต๋ๆ เต๋ๆ มึนๆ จนแก่เน่าเข้าโลงก็ยังมึนอยู่ ไม่รู้ว่าตนเกิดมาเพื่อจะเป็นอะไร เยอะนะคนแบบนั้น ไม่รู้จะเป็นอะไร จะทำอะไร แต่ถ้าจัดการเป็นตั้งแต่อายุน้อยๆ ก็ประสบความสำเร็จแล้ว


                  การจัดการคือ เริ่มตั้งแต่วิสัยทัศน์ของตัวเอง เราเกิดมาจะอุทิศชีวิตให้กับอะไร เราจะทำอะไรเอาให้ชัดสักอย่างหนึ่ง จะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ เป็นหมอ หรือจะเป็นคนเล็กๆ คนหนึ่ง หรือจะเป็นรัฐบุรุษ นี่เรียกว่าวิสัยทัศน์ส่วนตัว เป็นความชัดเจนในชีวิต จากนั้นก็เป็นวิสัยทัศน์เรื่องการศึกษา ถ้าเราเลือกว่าเราจะเอาอะไร สรุปจะเรียนอะไร ที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมาย พอเรียนเสร็จก็มาดูเรื่องการทำงาน การจัดการเรื่องการทำงาน จากนั้นก็มาจัดการเรื่องครอบครัว เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องทรัพย์สิน เรื่องสุขภาพ แล้วก็เรื่องคืนกำไรให้สังคม เหล่านี้เป็นเรื่องของการจัดการทั้งนั้น


                                              


                                                                                      วอร์เรน บัฟเฟตต์


                 คนที่จัดการเก่ง มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก่อนคนอื่น ลองดูผู้บริหารที่สำเร็จทั้งหลาย อย่างเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปีนึงเขียนจดหมายถึงผู้บริหารในเครือเพียงหนึ่งฉบับ เขาทำได้ยังไง นักลงทุนที่รวยที่สุดคนหนึ่งของโลก ปีหนึ่งบริหารด้วยจดหมายเพียงหนึ่งฉบับ ไม่ต้องทำอะไรมากเพราะเขาเป็นนักจัดการนั่นเอง แต่บางคนในหนึ่งสัปดาห์ประชุมกี่วัน แต่งานก็ยุ่ง เพราะประชุมเพื่อนัดประชุม มีแต่ Planing ไม่มี Action Plan คือแพลนแล้วนิ่ง ไม่ทำ ประชุมเพื่อที่จะทบทวนการประชุมครั้งที่ผ่านมา ไม่มีความคืบหน้าเลย อันนี้เขาไม่ใช่นักจัดการ  นักจัดการเขาไม่พูดมาก เขาทำงานด้วยการวางแผน "การวางแผนคือหัวใจของการจัดการ"

                 การวางแผน ต้องมีคนชี้แนะ ไม่จำเป็นต้องทำเอง บางเรื่องมีคนวิเคราะห์สังเคราะห์ให้เสร็จแล้ว ยกตัวอย่างมีนักศึกษามาสัมภาษณ์อาตมา เรื่องภาวะผู้นำของบุคคลสำคัญ พอดีอาตมาได้หนังสือเล่มใหม่มาเล่มนึง ชื่อว่า "คิดอย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" อาตมาบอกให้ดูหนังสือเล่มนี้ เขาทำไทม์ไลน์ของมาร์ค ตั้งแต่เด็กจนโต คนมีภาวะผู้นำเขาวางแผนตั้งแต่เด็กๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจบในหัวแล้ว ทำไมถึงทำแบบนี้ได้ เพราะเขามีพ่อแม่คอยช่วยคิดช่วยทำ นี่คือบทบาทของกัลยาณมิตร ความสำเร็จของคนหนึ่งคน ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเขาเอาหัวไปชนกำแพง น้อยคนที่จะทำอย่างนั้น เขามีเครือข่ายมีที่ปรึกษา ใครที่อยากจะประสบความสำเร็จ ต่อให้เป็นนักจัดการยังไง ก็ต้องรู้จักจัดการความสัมพันธ์ ถ้าจะทำเรื่องนี้เราจะไปขอความร่วมมือกับใคร ต้องไปสัมพันธ์กับใคร ไปเกี่ยวข้องกับใคร ซึ่งบางเรื่องเราไม่เก่ง แต่มีคนเก่งที่เป็นกูรูอยู่แล้ว ทำไมต้องมาด้นทำเอง ก็ไปขอเขาสิ อันนี้เป็นการจัดการความสัมพันธ์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการด้วย



                                                


                                                                                มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก


                  คนเราจะประสบความสำเร็จ ต้องมีเน็ตเวิร์ก มีทีมงาน ภาษาพระเรียกว่า กัลยาณมิตร ก็คือเพื่อนแท้นั่นเอง เหมือนสุภาษิตจีนที่ว่า "นายต้องดึง ลูกน้องต้องดัน คนเสมอกันต้องช่วย" ถ้าเราจัดการเก่งก็จะมีคนสามระดับล้อมหน้าล้อมหลัง นายเราที่สูงกว่าก็จะดึงเรา คนที่ต่ำกว่าคือลูกน้องก็ดันเรา คนเสมอกันแทนที่จะขัดแข้งขัดขาก็ช่วย เขาเรียกว่านักจัดการความสัมพันธ์ ต้องได้ทั้งสามมิติ นายดึงเป็นเรื่องข้างบน ลูกน้องดันเป็นเรื่องข้างล่าง คนเสมอกันช่วยเป็นเรื่องระดับเสมอกัน แต่บางคน นายทำเป็นมองไม่เห็น ลูกน้องคอยขัดแข้งขัดขา คนเสมอกันก็คอยหาโอกาสเสียบ นายก็ไม่ยอมโปรโมทให้ขึ้นมาเสียที ลูกน้องก็ไม่ดันเพราะลูกน้องรู้สึกว่าเราใช้อำนาจข่มเหง ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ เย็นชา คนเสมอกันถ้าพลาดก็จะเหยียบ และคอยเลื่อยขาเก้าอี้ตลอดเวลา ถ้าเป็นแบบนี้เรียกว่าไม่เก่งเรื่องการจัดการความสัมพันธ์


                 เพราะว่าสุดยอดการจัดการคือ การจัดการความสัมพันธ์ ถ้าทำงานกับคนได้ เข้ากับคนได้ ทุกอย่างราบรื่น แต่ถ้าเข้ากับคนไม่ได้ ทำงานไม่เป็น ถึงมีอำนาจล้นฟ้าก็แพ้ ฉะนั้นหัวใจของการทำงานคือ การทำงานกับคนหรือการจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน เพราะการจัดการคนยากที่สุดในการจัดการทุกชนิด คนนอกจากจะร้อยพ่อพันแม่แล้ว ยังรู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่รู้ว่าใครซ่อนมีดไว้ในรอยยิ้ม ต่อธารกำนัลมองว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ในใจคิดเป็นคู่แข่งตลอด นี่ล่ะคน  เพราะฉะนั้นในการจัดการต้องการความจริงใจ ถ้าใช้อำนาจจัดการ วันหนึ่งเราหมดอำนาจเขาก็ไม่ฟัง หัวใจของการจัดการที่ได้ผลคือ จัดการจากหัวใจ เมื่อได้ใจคนที่อยู่ตรงหน้าก็ได้ทุกอย่าง ถ้าไม่ได้ใจ ต่อให้มีอำนาจมีผลประโยชน์เขาก็ไม่ทำอะไรให้เรา อย่างนักการเมืองบางคน มีอำนาจมีเงินทุกอย่าง แต่ก็ไม่ค่อยได้คนเก่งมาช่วยงาน เพราะอะไร เพราะไม่ได้ใจคนเหล่านั้น

                  สำหรับคน ถ้าแยกโดยปัญญาก็เหมือนบัว 4 เหล่า ถ้าแยกโดยจริตก็มีจริต 6 หรือบางครั้งก็แยกคนเหมือนกับม้า 3 ชนิด 1.ม้าดีเรียกว่า ม้าอาชานัย แค่ยกแส้ไม่ต้องเฆี่ยน วิ่งเลย 2. ม้าปานกลาง ต้องเฆี่ยนครั้งหนึ่ง แล้วถึงวิ่ง 3.ม้าพยศ เฆี่ยนก็แล้ว แทงก็แล้ว ไม่ออกวิ่ง ทั้งยังมาแตะคนฝึกอีก ...นี่คือทฤษฎีคน แทบไม่ต้องจัดการเขารู้ว่าจะต้องทำอะไร ก็เหมือนวัดๆ หนึ่งอยู่กันไม่ต้องมีกฎ อยู่กันด้วยจิตสำนึก เพราะเต็มไปด้วยม้าประเภทที่1 คนประเภทที่1 แต่บางองค์กรก็ต้องออกกฎ ออกระเบียบ ออกจรรยาบรรณ อันนี้เขาเรียกว่าคนประเภทที่2 แต่บางองค์กรหักเงินเดือนก็แล้ว ลดสวัสดิการก็แล้ว คนก็ไม่เปลี่ยนแปลง แสดงว่าองค์กรนั้นเต็มไปด้วยคนพยศ เป็นทฤษฎีการจัดการ เป็นทักษะเกี่ยวกับคน ว่ามีคนรายล้อมเราอยู่สามประเภท

                  เมื่อถามว่า เราต้องใช้หลักธรรมอะไรข่มใจให้เป็นคนดี พระอาจารย์บอกว่า ต้องหาความรู้เยอะๆ หนังสือที่เราอ่าน คนที่สอนเรา เหล่านี้คือกระจกเงาชั้นดี คนบางคนไม่รู้ข้อบกพร่องของตนเอง เพราะไม่เคยอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเอง ไม่เคยฟังคำชี้นำของคนอื่น จึงไม่รู้ว่าตนเองผิดตรงไหน พลาดตรงไหน เพราะฉะนั้นคนที่เป็นนักจัดการชั้นยอด เขาจะหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะหนังสือนั้นเป็นกระจกเงาที่ดี ส่องให้เห็นความก้าวหน้า ความผิดพลาด ความล้าหลังได้เป็นอย่างดี คนบางคนอยู่ในตำแหน่งสูงไม่มีใครกล้าเตือน ถ้าเขาไม่หมั่นศึกษาหาความรู้ จะไม่รู้ว่าตนเองบกพร่องตรงไหน คนที่เขาประสบความสำเร็จ ไปดูประวัติแต่ละคน เขาเป็นนักอ่านทั้งนั้น แม้กระทั่งบิลเกตยังอ่านหนังสือชั้นนำอยู่เลย วอร์เรน บัฟเฟตต์ เหล่านี้ กิจกรรมปวดตาคือการอ่านหนังสือ เขาประสบความสำเร็จขนาดนั้น เขายังไม่เลิกเลย คนเหล่านี้ยิ่งแก่ยิ่งแกร่ง เพราะไม่ได้หยุดในการหาความรู้





http://www.mcot.net/site/content?id=521dc75b150ba0de50000047#.Uh9GSssaySO
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่