รัฐมนตรียุติธรรม "นายชัยเกษม นิติสิริ" เสนอแนวคิดเอาใบกระท่อมไปแทนยาบ้า !

http://www.dailynews.co.th/crime/229216

เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งเมื่อ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม” มีแนวคิดที่จะยกเลิกให้ “ใบกระท่อม” พ้นจากบัญชีของยาเสพติด

วานนี้ (27 ส.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่าได้มอบหมายให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับใบกระท่อมซึ่งมีงานวิจัยว่าไม่น่าจะเป็นยาเสพติด เผื่อนำมาใช้เป็นตัวเลือกแทนการเสพยาบ้า ซึ่งส่วนตัวเคยเติบโตในสวนย่านฝั่งธนและเห็นการใช้ใบกระท่อมของคนในอดีตเพราะเป็นพืชท้องถิ่น ซึ่งมุ่งเน้นเพื่อเพิ่มความขยันขันแข็ง ไม่ออกฤทธิ์รุนแรง ดังนั้น จึงต้องการให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์และสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ไปศึกษาข้อมูล ซึ่งปัจจุบันสังคมไทยมีปัญหายาเสพติดและแนวโน้มจำนวนผู้ติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากปัญหาครอบครัว ดังนั้นหากมีตัวเลือกอื่นที่สามารถเบี่ยงเบนจากการเสพยาบ้าหรือยาเสพติดที่รุนแรงกว่าได้ สังคมและครอบครัวอาจยอมรับได้มากกว่า เช่น บางคนที่เครียดแล้วดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือในอดีตที่นิยมกินหมากแต่เมื่อยกเลิกก็ค่อย ๆ หายไป พร้อมยกตัวอย่างในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่อนุญาตให้สูบกัญชาได้ในร้านกาแฟ

นายชัยเกษม กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะดูแลผู้เสพยาเป็นผู้ป่วย เน้นการบำบัด หากมีใบกระท่อมมาทดแทนการเสพยาเสพติดที่รุนแรงกว่า ก็เชื่อว่าจะผ่อนคลายปัญหาลงและแก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นคุกได้อีกทางหนึ่ง ที่สำคัญน่าจะเป็นการแยกผู้เสพออกมาบำบัดดูแลในลักษณะผู้ป่วยได้ดีขึ้น เชื่อว่าในสากลไม่ถือว่ากระท่อมเป็นยาเสพติดแต่ขึ้นอยู่กับกระแสการยอมรับของสังคมว่าจะเห็นด้วยอย่างไร เพราะปัจจุบันมีการระบุให้ใบกระท่อมเป็นยาเสพติด ทำให้มีราคาสูงถึงใบละ 3-5 บาท แต่ก็ยังพบว่ามีการปลูกใช้กันเยอะ เช่นในพื้นที่ จ.สงขลา หรือเขตมีนบุรี หนองจอก ซึ่งอยู่ในพื้นที่ กทม. หากยกเลิกไม่ให้กระท่อมเป็นยาเสพติดคาดว่าอาจช่วยลดจำนวนผู้ที่จะเสพยาบ้าได้

นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริหารสุขภาพ ในฐานะ ผอ.ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข (คพส.สธ.) ว่า  แนวคิดนี้มีมา 10 กว่าปีแล้ว กระท่อมเป็นยาเสพติดประเภท 5 อยู่คู่กับกัญชา มีโทษทั้งจำและปรับแต่โทษน้อยมาก กระท่อมออกฤทธิ์ 2 อย่าง คือ เป็นสารกระตุ้นเหมือนเมทแอมเฟตามีน ขณะเดียวกันก็เป็นสารกดสมองเหมือนฝิ่น เฮโรอีน การเสพกระท่อมทำให้เสพติดได้ ส่วนใหญ่เชื่อว่าใช้จะสนุกสนาน คึกคัก สามารถทำงานทนแดด แต่ไม่ทนฝน ทำงานขยัน อารมณ์ดี ขณะเดียวกันใช้แล้วจะมีอาการทางสมอง อาการทางจิตและประสาท หูแว่ว ประสาทหลอน ความดันโลหิตสูง ลำไส้อุดตัน เกิดผลเสียต่อร่างกาย  ตอนหลังพบว่า การนำไปผสมยาเสพติดสี่คูณร้อย  แปดคูณร้อย  สิบสองคูณร้อย คิดว่ายังไม่สมควรที่จะถอนกระท่อมออกจากยาเสพติดประเภท 5 เพราะมีกลไกการออกฤทธิ์ต่อสมองเช่นกัน แม้จะไม่รุนแรงเหมือนยาบ้าก็ตาม อีกทั้งแม้จะถอนกระท่อมออกไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนเสพยาบ้าลดลง สุดท้ายคนอาจจะใช้กระท่อมเพิ่มขึ้น  เสพติดกันมากขึ้น

สืบเนื่องจากข่าวดังกล่าว “เดลินิวส์ออนไลน์” ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดจากสถิติและการสำรวจต่างๆ มาให้ได้อ่านกัน

จากข้อมูลเรื่อง “ผู้ป่วยยาเสพติด” ชีวิตที่ต้องการคืนสังคม มีนาคม 2556 ของศูนย์สารสนเทศยุทธศาสตร์ภาครัฐ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุไว้ว่า การแก้ปัญหายาเสพติดถือเป็นวาระแห่งชาติ มีการตั้งศูนย์อำนายการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) โดยยึดหลักที่ว่า ผู้ผลิต ผู้ค้า จะต้องได้รับการปราบปรามลงโทษโดยใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเข้มงวด

สำหรับข้อมูลของสํานักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ในปี 2554 มีคนไทยที่สูบบุหรี่อยู่จํานวน 11.5 ล้านคน หรือร้อยละ 21.4 ของประชากรที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป โดยผู้ชายสูบบุหรี่ร้อยละ 41.7 ส่วนผู้หญิงสูบบุหรี่เพียงร้อยละ 2.1 และที่น่าเป็นห่วงคือคนไทยเริ่มสูบบุหรี่อายุน้อยลง กล่าวคือในปี 2544 อายุเฉลี่ยที่เริ่มสูบบุหรี่เท่ากับ 18.5 ปีในขณะที่ปี 2555 อายุเฉลี่ยที่เริ่มสูบบุหรี่ลดลงเป็น 17.9 ปีนั่นหมายความว่าการสูบบุหรี่ของคนไทยมีแนวโน้มการเริ่มสูบตั้งแต่วัยเด็กมีมากขึ้น

ขณะที่การดื่มสุราของคนไทย พบว่า ในปี 2554 มีคนที่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มมึนเมาจํานวน 17 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 31.5 ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ซึ่งผู้ชายมากกว่าครึ่งดื่มสุรา (ร้อยละ 53.4) และมีผู้หญิงร้อยละ 10.9 ที่ดื่มสุราโดยอายุที่เริ่มดื่มสุราของคนไทยอยู่ที่ 20.3 ปี

เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติดในด้านผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่เกิดขึ้น จากข้อมูลการสํารวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับระดับปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในชุมชนหรือหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ พ.ศ. 2555 ของสํานักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประชาชนร้อยละ 97.9 ระบุว่ามีปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดโดยในกลุ่มนี้มีร้อยละ 15.1 ที่ระบุว่ามีปัญหาในระดับรุนแรงมาก-มากที่สุดและร้อยละ 21.9 ระบุว่ามีปัญหาค่อนข้างมาก

ขณะที่แนวโน้มการจับกุมคดียาเสพติดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยในปี 2554 มีผู้ถูกจับกุมคดีที่เกี่ยวกับ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษจํานวน 320,972 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2548 มากกว่า 3 เท่าสาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากความเข้มงวดและการปฏิบัติงานอย่างหนักของเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามยาเสพติด แต่ใน อีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณของเครือข่ายหรือผู้ที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งมีจํานวนมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ส่วนประเภทของยาเสพติดที่ถูกจับกุมได้ พบว่า ผู้ต้องหาถูกจับกุมในคดีที่เกี่ยวกับ ยาบ้ามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 75.8 รองลงมาคือกัญชาแห้ง (ร้อยละ 6.8) พืชกระท่อม (ร้อยละ 4.7) ยาไอซ์ (ร้อยละ4.4) สารระเหย (ร้อยละ 2.4) เฮโรอีน (ร้อยละ 0.4) วัตถุออกฤทธิ์อื่นๆ (ร้อยละ 0.6)  ตามลําดับ

สอดคล้องกับสถิติการเข้าบําบัดรักษายาเสพติด พบว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้เข้ารับการบําบัดยาเสพติดประเภทยาบ้า คิดเป็นร้อยละ 85.8 รองลงมาคือ กัญชา (ร้อยละ 3.6 ) สารระเหย (ร้อยละ 2.0) ฝิ่น (ร้อยละ 1.6) เฮโรอีน (ร้อยละ 1.3) และกระท่อม (ร้อยละ 1.0) ตามลําดับ

เมื่อพิจารณาถึงอายุของผู้ป่วยยาเสพติดที่เข้ารับการบําบัดรักษาครั้งแรก พบว่า ตั้งแต่ปี 2551 กลุ่มเยาวชนอายุระหว่าง 15-19 ปีเป็นกลุ่มที่เข้ารับการบําบัดรักษามากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มอายุระหว่าง 20-24 ปีและ 25-29 ปีตามลําดับ และเป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 15 ปีมีแนวโน้มค่อยๆ เพิ่มขึ้น กล่าวคือเพิ่มจากร้อยละ 1.5 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 2.1 ในปี 2555 และจากข้อมูลดังกล่าวยังพบว่าเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เข้ารับการบําบัดรักษาทั้งหมดเป็นกลุ่มเยาวชนอายุระหว่าง 15-24 ปีกล่าวคือมีมากถึงร้อยละ 51.8 ในปี 2555 (ร้อยละ 27.8 จากกลุ่มอายุ 15-19 ปีและร้อยละ 24.0 จากกลุ่มอายุ 20-24 ปี)

..............................................................................................

นโยบายดีดีทั้งน้าน.....  นักข่าวไปถามท่านยังยกตัวอย่างอีกว่า อย่างประเทศมาเลเซียก็ไม่ถือเป็นยาเสพติด

เอางั้น ท่านทำคู่กับแก้กฏหมาย ขอให้ท่านปรึกษากับ กระทรวงเกษตรฯ  ทำแปลงปลูกให้มันเอิกเกริก ทั่วไทย ส่งออกขายมาเล  กับประเทศอื่นๆ หรือส่งกลับไปขายพม่า ลาว (ที่เป็นแหล่งผลิตยาบ้าส่งเข้ามาไทย)  ไปเลยไหมละ.....   รัฐบาลกำลังหาเงินหน้ามืดมาใช้ไม่ใช่เหรอ ?

....ถ้ายังไม่พอ เอากระทรวงอุตสาหกรรม หรือ องค์การเภสัช  สกัดตัวยาเข้มข้น ส่งออกไปขายเมืองนอกก็ยังได้ !

(ถ้าไม่โดน นานาชาติ รุมประนามบอยคอด ด่าเอา หรือ คนไทยรากหญ้าดันหันไปเมากระท่อมเพิ่มขึ้นต่างหากจากเหล้า ย้าบ้า เสียเอง)

........เสียทีเป็นอัยการเก่า (เพื่อแม้ว)......
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A1_%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่