อันนี้ขอแท็ก 3 อัน ศาสนาพุทธ การเมือง หว้ากอ เหตุที่ แท็กการเมืองด้วย เพราะว่า วิถีของศาสนาเกี่ยวกับการเมืองโดยตรงและโดยอ้อม แท็กหว้าก้อ เพราะอยากให้ช่วย วิเคราะห์ในแง่ของเหตุผล และ ทฤษฎี
นิพพานร้อยชาติ โดยมี เป้าหมาย คือ นิพพานเมื่อตายแล้ว ต้องได้อีกร้อยชาติ เปรียบเหมือน ม้า มีหญ้าแขวนไว้ข้างหน้า ล่อให้ม้าวิ่งตะบึงไป ตามแต่ใจคนล่อ จะล่อซ้ายล่อขวา
- นักบวช คือ ผู้ปฎิบัติ เพื่อสะสมบุญบารมี (พลังงาน) ไปเอา นิพพานกันชาติหน้า ร้อยชาติสิบชาติ
- สาวก มาทำบุญถวายอย่างเดียว ( มาซื้อ ) เพื่อหวังได้ บุญ (พลังงาน) เพื่อสะสมและนำไปแลกของรางวัลในชาติหน้า หรือ หวังโบนัสในชาตินี้
- การปฎิบัติ คือ ถือข้อห้ามเยอะๆ อย่าทำนู้นนี้นั่น และ นั่งหลับตา เพื่อยกระดับพลังงาน ระดับพลังจิต ( บุญบารมีชนิดหนึ่ง ) เพื่อให้ได้นิพพานเอา ชาติหน้า ตัวตนทิฐิมานะไม่ลด ใครไปแย้ง โมโห ทันทีเป็นฟืนเป็นไฟ
- เวลามีปัญหา คือเป็นเรื่องของกรรม ( กรรมเก่า ) เช่น ที่คนนั้นไม่รัก ทิ้งเราไป เพราะ ชาติที่แล้วเราไปทิ้งเขา ไม่ต้องสนสภาพปัจจุบันเท่าไร ว่าตัวเรามันเป็นยังไงถึงโดนทิ้ง โทษกรรมเก่าแล้วจบ วิธีแก้ปัญหา ก็ง่ายๆ ไปทำบุญ ไม่ต้องเรียนรู้อะไร แล้วไปหวังผลเอาชาติหน้า เรื่องของชาตินี้ ก็ทนอย่างเดียว
- ศรัทธา คือ ความเชื่อ และยกย่อง การภาวนา ( ร้องขอ )
- ศัตรู ของ วิถีนี้ คือ ความสงสัย ความมีเหตุผล ความเข้าใจ การลองผิดลองถูก
- สาวกออกบวช เพื่อต้องการ นิพพานชาติหน้า เพราะเห็นว่า เอาแต่ถวาย ได้พลังงานบุญไม่พอ ต้อง มาบวชเอง เพื่อสะสมพลังงานบุญได้มากกว่า เมื่อสะสมพลังงานได้เยอะ สาวกที่ยังไม่บวช ก็นำ เงิน หรือ ที่ดิน มาถวายเพื่อ แบ่ง พลังบุญไป
- พระที่เป็นตัวอย่างใน วิถีนี้ เช่น เณรคำ ยันตระ ธรรมกาย คือ แต่ละท่าน เน้นนั่งสมาธิ มีพลังงานบุญเยอะ เหล่า สาวก ก็เร่งถวายเงิน เพื่อนำมาซื้อ บุญกันกลับไป ( แล้วความเป็นจริงเกิดอะไรขึ้น ทุกท่านคงทราบ )
- วิถีศาสนาแบบนี้ เหมาะกับการเมือง ระบบเผด็จการ ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะ ราชาธิปไตย สมมุติเทพ เพราะปกครองง่าย
นิพพานที่นี้เดวนี้ คือ ได้นิพพานกันที่นี้เดวนี้ นิพพานคือความเย็นในจิตใจ ความสุขสงบของจิต อันเป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา ศีล (สงบ) สมาธิ ปัญญา เปรียบนิพพานเหมือน หญ้า เหมือน น้ำ ที่ให้ม้าได้กิน ตลอดเพื่อมีแรงมีพื้นฐาน มีความสุขในโลกที่ไม่เที่ยงและแน่นอนใบนี้
- นักบวช คือ ผู้ที่วางทางโลก มาทำใจให้สงบ อาจจะบวชเพราะเบื่อทางโลก อีกทางหนึ่งก็คือ ไม่ต้องการให้ ความยึดมั่นถือมั่นทางโลก มาขัดขวางนิพพาน อยู่แบบ สมถะ พอเพียง เดินขอข้าว แค่พอรับประทาน เพราะ นักบวชค้นพบความสุขที่สุดแล้ว ( เพราะสุขใดนอกเหนือจากความสงบเป็นไม่มี )
- สาวก ก็คือผู้ที่ยังทำหน้าที่ทางโลก แต่พื้นฐานก็เหมือนกัน คือ ปฎิบัติให้ นิพพาน เกิดขึ้นในใจ แม้จะไม่สงบเท่าคนที่ออกบวช แต่นิพานที่เกิดขึ้นนี้ ก็มีประโยชน์ให้ เกิดปัญญา นำไปแก้ปัญหาให้ชีวิตได้ และ พร้อมที่จะปล่อยวางเมื่อถึงเวลา เพราะ เข้าใจดีแล้วว่า ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความทุกข์ไม่ช่วยอะไร ใช้ชีวิต ด้วยควาามสงบ เพราะ มีแต่ความ สงบเท่านั้น ที่ทำให้เกิดปัญญา และมีแต่ ปัญญาเท่านั้นที่ช่วยเราได้ สมดั่งคำที่ว่า " ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน "
- การปฎิบัติ คือทำใจให้สงบ เกิดนิพานที่นี้เดวนี้ ฝึกให้เคยชินกับนิพพาน เอะอะอะไรนิดหน่อย ก็สงบก็มีสติ โดยใช้ ธรรมมะ ต่างๆ ช่วยในการฝึก การปล่อยวาง การอย่าปลงใจเชื่อ การไม่ยึดมั่นถือมั่น อิทิปปัจยตา การยอมรับความจริง มองอะไรเป็น กระแสแห่งเหตุปัจจัย
- เวลามีปัญหา ก็ทำใจให้สงบ ยอมรับความจริง ไม่หลอกตัวเอง อีโก้น้อย ไม่เอาชนะไม่ดึงดัน มองอะไรเป็น กระแสแห่งเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด นำปัญญาที่ได้มาแก้ปัญหา ผลที่ออกมา คือความพอดี หรือ สายกลาง
- ศรัทธา คือ ความรู้สึกขอบคุณที่ชี้แนะชี้ทางให้พ้นทุกข์ และ ยกย่อง ปัญญา ความเข้าใจ
- ศัตรู คือ กิเลสอารมณ์ ต่างๆ ความหมกหมุ่น ความโลภ วิตกกังวล ความกลัว ความเสียใจ ที่จะทำให้ ใจเราไม่สงบ
- สาวกออกบวช เพราะเบื่อหน่ายทางโลก การดิ้นรน การแสวงหา เพราะค้นพบแล้วว่า ชีวิต คือ ตถตา เช่นนั้นเอง
- พระที่เป็นแบบอย่าง คือ พระพุทธทาส พระพยอม จากอดีต ถึงปัจจุบัน ยังไม่เห็นท่านทำอะไรเสียหาย ใจท่านสงบจริงพิสูจณ์ได้จริง ตัวอย่างท่าน พุทธทาส โดนสลิ่มศาสนา ด่าว่าต่างๆนานา แต่ไม่เคยเห็นท่านโกรธ ท่านแค้น เลย กับกัน มาดู หลวงตามหาบัว ที่ว่าปฎิบัติเยอะ ได้ญาน หลายระดับ แต่เห็น ยังมีโกรธ มีเกลียด ( ทักษินโดนเต็มๆ ) มีทิฐิ ตัวตนให้เห็นอยู่ ไม่รู้ ท่านไปโดนใครว่า เหมือนที่ ท่านพุทธทาสโดนหรือป่าว หรือ แค่มีใครไม่ให้ความสำคัญ ท่านก็โกรธแล้ว
( ใครปฎิบัติถูกทาง หรือ ป่าวผมไม่รู้ แต่ถ้าคนที่อ้างว่า ถูก แต่ยังโกรธง่าย ทิฐิ เยอะ ตัวตนสูง ผมก็ไม่เอาด้วย )
- วิถีศาสนาแบบนี้ เหมาะกับการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย ที่ให้อิสระในการคิด ยกย่องการพิจารณา ยึดถือ สายกลางในการอยู่ร่วมกัน ไม่บังคับให้ใครเชื่อ หรือ ทำตาม เพราะแม้แต่ บรมศาสดา พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ดีตรัสรู้ชอบ ท่านยังไม่บังคับให้ใครเชื่อให้ใครทำตามท่าน ท่านทำได้แค่ชี้แนะ
1. แบบไหนคือวิถีของชาวพุทธ ที่ถูกต้องเหมาะสมกับคนไทย
คุณลืมตอบคำถามที่ * จำเป็นต้องตอบ
แบบไหนคือวิถีของชาวพุทธ ที่ถูกต้องเหมาะสมกับคนไทย ระหว่าง "นิพพานร้อยชาติ" กับ "นิพพานที่นี้เดวนี้"
นิพพานร้อยชาติ โดยมี เป้าหมาย คือ นิพพานเมื่อตายแล้ว ต้องได้อีกร้อยชาติ เปรียบเหมือน ม้า มีหญ้าแขวนไว้ข้างหน้า ล่อให้ม้าวิ่งตะบึงไป ตามแต่ใจคนล่อ จะล่อซ้ายล่อขวา
- นักบวช คือ ผู้ปฎิบัติ เพื่อสะสมบุญบารมี (พลังงาน) ไปเอา นิพพานกันชาติหน้า ร้อยชาติสิบชาติ
- สาวก มาทำบุญถวายอย่างเดียว ( มาซื้อ ) เพื่อหวังได้ บุญ (พลังงาน) เพื่อสะสมและนำไปแลกของรางวัลในชาติหน้า หรือ หวังโบนัสในชาตินี้
- การปฎิบัติ คือ ถือข้อห้ามเยอะๆ อย่าทำนู้นนี้นั่น และ นั่งหลับตา เพื่อยกระดับพลังงาน ระดับพลังจิต ( บุญบารมีชนิดหนึ่ง ) เพื่อให้ได้นิพพานเอา ชาติหน้า ตัวตนทิฐิมานะไม่ลด ใครไปแย้ง โมโห ทันทีเป็นฟืนเป็นไฟ
- เวลามีปัญหา คือเป็นเรื่องของกรรม ( กรรมเก่า ) เช่น ที่คนนั้นไม่รัก ทิ้งเราไป เพราะ ชาติที่แล้วเราไปทิ้งเขา ไม่ต้องสนสภาพปัจจุบันเท่าไร ว่าตัวเรามันเป็นยังไงถึงโดนทิ้ง โทษกรรมเก่าแล้วจบ วิธีแก้ปัญหา ก็ง่ายๆ ไปทำบุญ ไม่ต้องเรียนรู้อะไร แล้วไปหวังผลเอาชาติหน้า เรื่องของชาตินี้ ก็ทนอย่างเดียว
- ศรัทธา คือ ความเชื่อ และยกย่อง การภาวนา ( ร้องขอ )
- ศัตรู ของ วิถีนี้ คือ ความสงสัย ความมีเหตุผล ความเข้าใจ การลองผิดลองถูก
- สาวกออกบวช เพื่อต้องการ นิพพานชาติหน้า เพราะเห็นว่า เอาแต่ถวาย ได้พลังงานบุญไม่พอ ต้อง มาบวชเอง เพื่อสะสมพลังงานบุญได้มากกว่า เมื่อสะสมพลังงานได้เยอะ สาวกที่ยังไม่บวช ก็นำ เงิน หรือ ที่ดิน มาถวายเพื่อ แบ่ง พลังบุญไป
- พระที่เป็นตัวอย่างใน วิถีนี้ เช่น เณรคำ ยันตระ ธรรมกาย คือ แต่ละท่าน เน้นนั่งสมาธิ มีพลังงานบุญเยอะ เหล่า สาวก ก็เร่งถวายเงิน เพื่อนำมาซื้อ บุญกันกลับไป ( แล้วความเป็นจริงเกิดอะไรขึ้น ทุกท่านคงทราบ )
- วิถีศาสนาแบบนี้ เหมาะกับการเมือง ระบบเผด็จการ ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะ ราชาธิปไตย สมมุติเทพ เพราะปกครองง่าย
นิพพานที่นี้เดวนี้ คือ ได้นิพพานกันที่นี้เดวนี้ นิพพานคือความเย็นในจิตใจ ความสุขสงบของจิต อันเป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา ศีล (สงบ) สมาธิ ปัญญา เปรียบนิพพานเหมือน หญ้า เหมือน น้ำ ที่ให้ม้าได้กิน ตลอดเพื่อมีแรงมีพื้นฐาน มีความสุขในโลกที่ไม่เที่ยงและแน่นอนใบนี้
- นักบวช คือ ผู้ที่วางทางโลก มาทำใจให้สงบ อาจจะบวชเพราะเบื่อทางโลก อีกทางหนึ่งก็คือ ไม่ต้องการให้ ความยึดมั่นถือมั่นทางโลก มาขัดขวางนิพพาน อยู่แบบ สมถะ พอเพียง เดินขอข้าว แค่พอรับประทาน เพราะ นักบวชค้นพบความสุขที่สุดแล้ว ( เพราะสุขใดนอกเหนือจากความสงบเป็นไม่มี )
- สาวก ก็คือผู้ที่ยังทำหน้าที่ทางโลก แต่พื้นฐานก็เหมือนกัน คือ ปฎิบัติให้ นิพพาน เกิดขึ้นในใจ แม้จะไม่สงบเท่าคนที่ออกบวช แต่นิพานที่เกิดขึ้นนี้ ก็มีประโยชน์ให้ เกิดปัญญา นำไปแก้ปัญหาให้ชีวิตได้ และ พร้อมที่จะปล่อยวางเมื่อถึงเวลา เพราะ เข้าใจดีแล้วว่า ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความทุกข์ไม่ช่วยอะไร ใช้ชีวิต ด้วยควาามสงบ เพราะ มีแต่ความ สงบเท่านั้น ที่ทำให้เกิดปัญญา และมีแต่ ปัญญาเท่านั้นที่ช่วยเราได้ สมดั่งคำที่ว่า " ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน "
- การปฎิบัติ คือทำใจให้สงบ เกิดนิพานที่นี้เดวนี้ ฝึกให้เคยชินกับนิพพาน เอะอะอะไรนิดหน่อย ก็สงบก็มีสติ โดยใช้ ธรรมมะ ต่างๆ ช่วยในการฝึก การปล่อยวาง การอย่าปลงใจเชื่อ การไม่ยึดมั่นถือมั่น อิทิปปัจยตา การยอมรับความจริง มองอะไรเป็น กระแสแห่งเหตุปัจจัย
- เวลามีปัญหา ก็ทำใจให้สงบ ยอมรับความจริง ไม่หลอกตัวเอง อีโก้น้อย ไม่เอาชนะไม่ดึงดัน มองอะไรเป็น กระแสแห่งเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด นำปัญญาที่ได้มาแก้ปัญหา ผลที่ออกมา คือความพอดี หรือ สายกลาง
- ศรัทธา คือ ความรู้สึกขอบคุณที่ชี้แนะชี้ทางให้พ้นทุกข์ และ ยกย่อง ปัญญา ความเข้าใจ
- ศัตรู คือ กิเลสอารมณ์ ต่างๆ ความหมกหมุ่น ความโลภ วิตกกังวล ความกลัว ความเสียใจ ที่จะทำให้ ใจเราไม่สงบ
- สาวกออกบวช เพราะเบื่อหน่ายทางโลก การดิ้นรน การแสวงหา เพราะค้นพบแล้วว่า ชีวิต คือ ตถตา เช่นนั้นเอง
- พระที่เป็นแบบอย่าง คือ พระพุทธทาส พระพยอม จากอดีต ถึงปัจจุบัน ยังไม่เห็นท่านทำอะไรเสียหาย ใจท่านสงบจริงพิสูจณ์ได้จริง ตัวอย่างท่าน พุทธทาส โดนสลิ่มศาสนา ด่าว่าต่างๆนานา แต่ไม่เคยเห็นท่านโกรธ ท่านแค้น เลย กับกัน มาดู หลวงตามหาบัว ที่ว่าปฎิบัติเยอะ ได้ญาน หลายระดับ แต่เห็น ยังมีโกรธ มีเกลียด ( ทักษินโดนเต็มๆ ) มีทิฐิ ตัวตนให้เห็นอยู่ ไม่รู้ ท่านไปโดนใครว่า เหมือนที่ ท่านพุทธทาสโดนหรือป่าว หรือ แค่มีใครไม่ให้ความสำคัญ ท่านก็โกรธแล้ว
( ใครปฎิบัติถูกทาง หรือ ป่าวผมไม่รู้ แต่ถ้าคนที่อ้างว่า ถูก แต่ยังโกรธง่าย ทิฐิ เยอะ ตัวตนสูง ผมก็ไม่เอาด้วย )
- วิถีศาสนาแบบนี้ เหมาะกับการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย ที่ให้อิสระในการคิด ยกย่องการพิจารณา ยึดถือ สายกลางในการอยู่ร่วมกัน ไม่บังคับให้ใครเชื่อ หรือ ทำตาม เพราะแม้แต่ บรมศาสดา พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ดีตรัสรู้ชอบ ท่านยังไม่บังคับให้ใครเชื่อให้ใครทำตามท่าน ท่านทำได้แค่ชี้แนะ