งานเลี้ยงรุ่นกลุ่มเล็กๆประจำปีที่พวกเรา 5 คนจะต้องจัดสรรเวลามาพบปะกันให้ได้ จัดติดต่อกันมาปีนี้เป็นปีที่ 7 มยุรีเป็นแกนนำของงานเลี้ยงพวกเรา มีหน้าที่นัดคิววันที่ลงตัวที่สุดของพวกเรา 5 คน เธอเป็นสาวโสดจึงทำให้ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องสามีและลูก จึงมีเวลาที่จะตามตัวพวกเราได้
สถานที่จัดงานในปีหลังๆพวกเราลงความเห็นว่าควรเป็นบ้านของมยุรี เพราะจะได้มีความเป็นส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นพูดคุยหัวเราะเสียงดัง ร้องคาราโอเกะ เมาเหล้า นอน อ้วก! ... แน่นอนมยุรีชอบเพราะเธออยู่คนเดียว หากมีเพื่อนเยอะๆมาบ้านย่อมเป็นเรื่องที่ดี ฉันมาถึงบ้านมยุรีเป็นคนแรก สถานที่ถูกจัดเตียมไว้หมดแล้ว โต๊ะกลมทรงสูงขนาดนั่งล้อมวงกัน 5 คนไม่อึดอัดนัก พร้อมชุดเก้าอี้และสเตชั่นพวกเราช่วยกันซื้อ
"สายสุนีย์ มาพอดีเลย มาช่วยยกอาหารไปตั้งที่โต๊ะหน่อยเร็ว ทอดแฮมไว้ต้องคอยเฝ้า" น้ำเสียงมยุรีดีใจที่แขกคนแรกโผล่หัวมา
ฉันหิ้วไวน์แดง 3 ขวดไปจัดเก็บเข้าตู้เย็นก่อนจะเดินไปหยิบไส้กรอกย่างจากบาร์ครัวมาตั้งที่โต๊ะ เตรียมจัดแก้ว จาน สักพักมยุรียกจานแฮมทอดมาวางข้างจานไส้กรอกย่างและนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆฉัน
"เธอเป็นไงบ้างช่วงนี้ การงานโอเคมั้ย" มยุรีเอ่ยทักทายไต่ถามเพื่อนรัก
"จ้า ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อย ต้องคอยบริการลูกค้าเยอะแต่ก็สนุกดี แล้วเธอล่ะช่วงนี้งานเป็นไงบ้าง" ฉันถามกลับ
"ของฉันเหรอสบายดี งานตำแหน่งหัวหน้าคนนี่สบายนะแค่คุมคนเอง แต่มันคุมไม่ค่อยจะอยู่น่ะสิเลยปวดหัวหน่อย" มยุรีตอบอย่างอารมณ์ดีทำให้ฉันยิ้ม
"อ้อ แล้วเธอกับรุจน์ตอนนี้กลับมาคบกันหรือยัง จำได้ว่าเจอกันเมื่อปีที่แล้วเธอบ่นว่าเบื่อรุจน์มากหลังจากนั้นไม่นานก็โทรมาร้องห่มร้องไห้กับพวกเราหลายครั้ง มีแค่ช่วง 4-5 เดือนมานี้ที่เธอเลิกโทรมาบ่นคงจะดีกันแล้วใช่มั้ยจ้ะ" มยุรีถาม
"ใช่แล้ว ตอนนี้ชั้นกับรุจน์ก็ใช้ชีวิตกันตามปกติเหมือนคนทั่วไปแหละ ช่วงก่อนที่ชั้นเป็นบ้าเพราะน้อยใจเขานิดหน่อยน่ะ" ฉันตอบ
"ที่เธอบอกว่าเธอกับเค้าวันๆนึงไม่ค่อยได้คุยกัน สรุปว่าเป็นเพราะอะไรเหรอ" มยุรีถามต่อ
"เรื่องนั้นเหรอ ตอนแรกชั้นก็ไม่รู้หรอกรู้เพียงแต่ว่ารุจน์มีความสนใจอะไรซักอย่างที่ชั้นไม่รู้ แต่ตอนนี้ชั้นรู้แล้วล่ะว่าเค้ามุ่งความสนใจไปที่อะไร จึงทำให้ดูเหมือนเค้าไม่ค่อยสนใจชั้น"
"อะไรเหรอที่รุจน์เค้าสนใจ หวังว่าคงจะไม่ใช่ผู้หญิงคนใหม่นะ"
"ไม่ใช่หรอก คบกันมานาน 3 ปีเพิ่งจะมารู้ว่ารุจน์ติดหนังสือวรรณกรรมงอมแงมก็เมื่อชั้นถามเค้าอย่างจริงจังว่ากำลังทำอะไรอยู่ เค้าบอกว่าเค้ากำลังศึกษางานเขียนวรรณกรรมอยู่"
"ยังไง ไม่เข้าใจ รุจน์จะเรียนต่อโทเหรอ"
"คือรุจน์เนี่ยเค้ากำลังตะลุยศึกษางานเขียนของ 'เอ็ดมันด์ สเปนเซอร์' อยู่น่ะ"
"นายสเปนเซอร์เป็นใคร"
"สเปนเซอร์คือนักกวีสมัยของพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 สันนิษฐานว่าสเปนเซอร์เป็นหนึ่งในกลุ่มนักเขียนที่ร่วมมือกันแต่งบทละครของเชกสเปียร์"
"แล้วมันทำให้รุจน์ถึงกับไม่สนใจเธอเลยเหรอ" มยุรีถาม
"คือว่าเวลาว่างทั้งหมดของรุจน์นอกเหนือจากการทำงานของเค้าแล้วเนี่ย รุจน์ทุ่มเทให้กับการอ่านวรรณคดีอย่างจริงจัง เหมือนกับว่าเค้ามีโลก 2 ใบ ใบแรกคือโลกแห่งความเป็นจริง และใบที่ 2 คือโลกจากหนังสือที่เค้าอ่านอยู่น่ะ" ฉันพยายามอธิบายให้มยุรีฟัง แต่ท่าทางเธอยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
"แล้วยังไง ชั้นก็ชอบอ่านนิยายรักเป็นประจำ" มยุรีสงสัย
เสียงรถจอดหน้าบ้านมยุรี ราตรีเดินเข้ามาพร้อมถุงผลไม้ไปที่บาร์ครัว จัดแจงหยิบมีดเตรียมปลอกสับปะรดพลันเอ่ยทักทายมยุรีและสายสุนีย์
"คุยอะไรกันอยู่เหรอสาวๆ" ราตรีถาม
"ก็กำลังคุยเรื่องยัยสายสุนีย์กับรุจน์น่ะสิ ตอนนี้ทั้งคู่คืนดีกันแล้วนะ" มยุรีตอบ
"อ๋อๆ เรื่องที่ทั้งคู่หมางเมินห่างห่างกันตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" ราตรีถามต่อ
"ราตรีเพิ่งจะค้นพบว่ารุจน์ติดหนังสือ ยัยสายยังเล่าให้ฟังแค่นี้" มยุรีตอบสายสุนีย์
"แค่นี้เองเหรอ แล้วไงล่ะ" ราตรีสงสัยบ้าง
"คือรุจน์ไม่ใช่แค่ติดอย่างเดียว แต่เค้ามีอาการที่เรียกว่าเสพวรรณคดีในทางที่ผิดด้วยล่ะ ชั้นเอาพฤติกรรมที่แปลกๆของเค้าไปเล่าให้หมอฟัง หมอแนะนำว่าเค้าอาจจะมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย" ฉันอธิบายให้เพื่อนฟังอย่างตั้งใจ
"และอาการที่ว่านั่นเป็นยังไงบ้างเหรอ" ราตรีสงสัยอีก
"เริ่มจากรุจน์จะอ่านนวนิยายเมื่อเกิดความเครียด หรืออ่านเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้น เช่นตอนนี้เค้าโดนเจ้านายตำหนิเรื่องงาน รุจน์กลับมาบ้านมาหมกตัวอยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือเรื่องปาฏิหาริย์บันทึกรัก The Notebook ของนิโคลัส สปาร์กส์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวความรักที่พลิกโศกนาฏกรรมให้กลายเป็นปาฏิหาริย์ จนถึงดึกดื่นเที่ยงคืนก็หลับไปเลย พอตื่นมาก็ไปทำงานอย่างอารมณ์ดี" ฉันเล่าอาการแรกให้เพื่อนฟัง
"เหรอ ฟังแล้วไม่น่าเสียหายตรงไหน น่าจะเป็นเรื่องดีซะอีก" มยุรีงงกับเรื่องที่เล่า
"ถ้าแค่นี้มันก็คงไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติหรอก แต่ยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่ทำให้ดูน่าสงสัย รุจน์ชอบตะลุยอ่านหนังสือรวดเดียวจบ ถ้าเป็นวันหยุดเวลาที่เค้าจะวางหนังสือก็คือปวดเข้าห้องน้ำแบบสุดๆหรือหิวแบบสุดๆ คิดดูละกันว่าเสาร์กับอาทิตย์เค้าจะตื่นเช้ามาอ่านหนังสือจนถึงตอนเย็นถึงจะพักกินข้าว เค้าอ่านหนังสือชุด Chesapeake Bay ของ นอร่า โรเบิร์ตส์ 4 เล่มจบภายในวันเดียว และยิ่งเวลาอ่านนะ เค้าจะอ่านอย่าง 'ตะกรุมตะกราม'" ฉันอธิบายต่อ
"เหรอ แล้วอ่านอย่าง 'ตะกรุมตะกราม' มันอ่านกันยังไงเหรอ" ราตรีถาม
"ก็คงเหมือนกินข้าวอย่าง 'มูมมาม' มั้ง" มยุรีเดา
"เท่านั้นไม่พอนะ รุจน์จะตื่นนอนตั้งแต่ตี 4 ครึ่งทุกวันเพื่อมาอ่านหนังสือในตอนเช้าจนถึง 6 โมงครึ่งถึงจะเตรียมตัวไปทำงาน และเวลาอยู่ในโบกี้รถไฟฟ้าเค้าก็จะใช้เวลานี้อ่านหนังสือโดยไม่ยอมเสียเวลาทิ้งไป" ฉันอธิบายพฤติกรรมแปลกๆนี้ให้เพื่อนฟัง
"ชั้นว่าอาการเริ่มหนักแล้วนะ" ราตรีมองหน้ามยุรี ทั้งคู่ทำสีหน้าเป็นห่วงรุจน์
"ยังไม่จบนะยังมีอีก"
"หา! ยังมีอีกเหรอ" ทั้งคู่ประหลาดใจ
"คือตอนนี้รุจน์ไม่มีเพื่อนคบแล้ว เพราะเค้ามักจะหลีกเลี่ยงเพื่อนฝูงเพื่อที่จะให้ได้มีเวลามาอ่านหนังสือ และรุจน์ก็ห่างเหินกับครอบครัวไปนานจนจำไม่ได้แล้วว่าพบกันล่าสุดเมื่อไหร่"
"อาการที่เล่ามาทั้งหมดนี้น่าเป็นห่วงนะ" ราตรีพูด
"รุจน์ชอบอ่านหนังสือเพียงคนเดียว บางทีเชื่อมั้ยเค้าเปิดทีวีทิ้งไว้แต่จริงๆแล้วเค้าเปิดหนังสืออ่าน"
"หา! ยังมีอีกเหรอ"
เสียงรถยนต์จอดหน้าบ้านมยุรี เพื่อนอีกคนเข้าและสอบถามว่าคุยอะไรกันอยู่ มยุรีเล่าบทสนทนาก่อนหน้านี้ให้เพื่อนที่มาทีหลังฟัง จากนั้นทั้งสามก็นั่งฟังต่อ
"เวลาที่เราสองคนออกไปข้างนอกกัน รุจน์มันจะซุกซ่อนหนังสือในที่ต่างๆ เพื่อลอบอ่านหนังสือได้โดยไม่มีใครเห็น"
"ในบางครั้งเวลาที่คนอื่นเห็นรุจน์อ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่งมักจะหัวเราะเยาะ แต่เค้าไม่เคยแคร์เลย"
"มีครั้งนึงตอนที่เราไปเที่ยวทะเลกัน รุจน์รู้สึกหงุดหงิดไม่สนุกสนานจนต้องแวะร้านหนังสือหาอะไรมาอ่าน"
"หากรุจน์จะเดินทางไปไหนไกลๆอย่างน้อยจะต้องนำหนังสือหรือนิตยสารติดตัวไปด้วยเสมอ"
"ในกระเป๋าเดินทางรุจน์จะขนเสื้อผ้าและของใช้ไปให้น้อยที่สุด เพื่อจะได้มีเนื้อที่เหลือใส่หนังสือเยอะๆ
"ในงานเลี้ยงบริษัทประจำปีที่ถูกบังคับไป รุจน์ปลีกตัวออกมาจากงานทั้งคืนเพื่อที่จะได้ไปแอบหลบมุมอ่านหนังสือ"
"รุจน์มักจะละเลยสุขลักษณะส่วนตัวหรืองานบ้านหากยังอ่านหนังสือไม่จบ ยิ่งการบ้านไม่ต้องพูดถึง"
"เสื้อผ้า สิ่งของจำเป็นรุจน์มักจะใช้ของแต่ของเก่าๆไม่ค่อยจะซื้อของใหม่ เพราะเค้าต้องการเก็บเงินไว้เพื่อซื้อหนังสือ"
"บางครั้งที่ไปยังห้องสมุด รุจน์มักยืมหนังสือมากเกินกว่าปริมาณที่ทางห้องสมุดอนุญาติ"
"คนกลุ่มเดียวที่รุจน์มักจะติดต่อด้วยคือพวกบ้าหนังสือด้วยกัน"
"บ่อยครั้งที่รุจน์เป็นลมหมดสติไปเนื่องจากอ่านหนังสือเกินขนาด บางครั้งถึงกับขั้นจำความไม่ได้ เสียความทรงจำก่อนหน้านี้ไปช่วงนึงจากการอ่านหนัก"
"รุจน์มักจะมีอารมณ์คล้อยตามในขณะที่อ่านนิยายเรื่องไหนอยู่ เช่นเค้าอ่าน ตราบหัวใจอุ่นไอรัก Perfect ของจูดิธ แมคนอธ เค้าจะอ่อนหวานโรแมนติก แต่เมื่ออ่าน Red Dragon ของโธมัส แฮร์ริส เค้าดูจะหวาดระแวงโหดร้ายไปเลย"
"รุจน์ชอบบ่นว่าตัวเองอ่านมากเกินไปและควบคุมไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยหยุดอ่าน"
"เฮ้ย! นี่มันเรียกว่าป่วยแล้วมั้ยนี่ เยอะเกินไปแล้ว" ราตรีอุทานตกใจกับสิ่งที่ฉันพูดให้ฟัง
เสียงรถยนต์จอดหน้าบ้านมยุรี เพื่อนอีกคนเข้าและสอบถามว่าคุยอะไรกันอยู่ มยุรีเล่าบทสนทนาก่อนหน้านี้ให้เพื่อนที่มาทีหลังฟัง จากนั้นทั้งสี่ก็นั่งฟังต่อ
เพื่อนคนที่เข้ามาล่าสุดเอ่ยถามสายสุนีย์ว่า
"เธอคงพารุจน์ไปรักษาจนหายขาดแล้วใช่มั้ย ถึงกลับมาคบกันได้อย่างปกติ" เพื่อนถาม
"ไม่ใช่หรอกจ้ะ รุจน์ไม่เคยได้รับการรักษาใดๆ" ฉันตอบ
"อ้าว อาการหนักขนาดนั้นแล้วพวกเธออยู่ด้วยกันได้ยังไงกัน ฮึ?"มยุรีสงสัยหนัก
"คือว่าชั้นลองหยิบหนังสือเรื่องสายลับเดวิลส์ฟู้ดเค้ก Devil's Food Cake Murder ของโจแอน ฟลุคมาอ่าน หลังจากนั้นชั้นก็เริ่มติดวรรณกรรมอย่างบ้าคลั่งแล้ว ชั้นอ่านหนังสือทุกเล่มที่รุจน์อ่านจบ ตอนนี้ชั้นกับรุจน์คุยกันมากกว่าเดิม ในเรื่องหนังสือนะ เวลาว่างหลังจากงานเราจะหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือด้วยกัน สถานที่ๆเรามักจะไปด้วยกันเสมอคือร้านหนังสือหรือไม่ก็ห้องสมุด นานๆทีเราจะไปเที่ยวต่างจังหวัดเราก็จะขนแต่หนังสือไปนอนอ่านริมหาดบ้าง นอนอ่านแช่ในน้ำตกบ้าง อ่านกลางดอย โชคดีนะที่ชั้นยังมีพวกเธอ 4 คนเป็นเพื่อนแต่รุจน์ไม่มีเพื่อนเหลือเลย" ชั้นอธิบายสิ่งต่างๆให้เพื่อนฟัง
"หา! เธอก็เป็นกับเค้าด้วยเหรอเนี่ย" ราตรีตกใจอุทานออกมา
"เนี่ย วันนี้ชั้นก็หยิบรหัสลับหลังคาโลก The Tibet Code เล่ม 8 มาอ่านด้วย เหลืออีกนิดเดียวเองจะจบ วางไม่ลงจริงๆ เดี๋ยวพวกเธอนั่งคุยกันไปก่อนนะ ขอเวลาไม่เกิน 20 นาที อ้าว? หนังสืออยู่ไหนเนี่ย ว้าย! ลืมไว้ที่ถุงไวน์ในตู้เย็นถูกแช่แข็งไปแล้ว เดี๋ยวชั้นขอตัวไปนอนอ่านแปร๊บนะ" ฉันเดินไปหยิบขวดไวน์ออกมาจากตู้เย็นพร้อมหนังสือที่ลืมไว้ในถุง จากนั้นจึงไปนอนอ่านหนังสือยังโซฟายาว แว่วๆได้ยินเสียงเพื่อนๆบ่น
"เฮ่อ! สงสัยเธอคงจะเลิกคบพวกเรา 4 คนไปแล้วแน่ๆเลย" หนึ่งในสี่ของเพื่อนๆบ่นออกมา แต่ฉันไม่แคร์หรอกว่าพวกเธอจะคิดยังไงกับฉัน ขอแค่มีหนังสือเล่มโปรดในมือก็พอแล้ว ไม่ต้องการอะไรจากโลกใบนี้อีกแล้ว ความอภิรมย์ของชีวิตฉันก็มีเพียงแค่นี้แหละ
ความอภิรมย์ของชีวิต
สถานที่จัดงานในปีหลังๆพวกเราลงความเห็นว่าควรเป็นบ้านของมยุรี เพราะจะได้มีความเป็นส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นพูดคุยหัวเราะเสียงดัง ร้องคาราโอเกะ เมาเหล้า นอน อ้วก! ... แน่นอนมยุรีชอบเพราะเธออยู่คนเดียว หากมีเพื่อนเยอะๆมาบ้านย่อมเป็นเรื่องที่ดี ฉันมาถึงบ้านมยุรีเป็นคนแรก สถานที่ถูกจัดเตียมไว้หมดแล้ว โต๊ะกลมทรงสูงขนาดนั่งล้อมวงกัน 5 คนไม่อึดอัดนัก พร้อมชุดเก้าอี้และสเตชั่นพวกเราช่วยกันซื้อ
"สายสุนีย์ มาพอดีเลย มาช่วยยกอาหารไปตั้งที่โต๊ะหน่อยเร็ว ทอดแฮมไว้ต้องคอยเฝ้า" น้ำเสียงมยุรีดีใจที่แขกคนแรกโผล่หัวมา
ฉันหิ้วไวน์แดง 3 ขวดไปจัดเก็บเข้าตู้เย็นก่อนจะเดินไปหยิบไส้กรอกย่างจากบาร์ครัวมาตั้งที่โต๊ะ เตรียมจัดแก้ว จาน สักพักมยุรียกจานแฮมทอดมาวางข้างจานไส้กรอกย่างและนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆฉัน
"เธอเป็นไงบ้างช่วงนี้ การงานโอเคมั้ย" มยุรีเอ่ยทักทายไต่ถามเพื่อนรัก
"จ้า ช่วงนี้งานยุ่งนิดหน่อย ต้องคอยบริการลูกค้าเยอะแต่ก็สนุกดี แล้วเธอล่ะช่วงนี้งานเป็นไงบ้าง" ฉันถามกลับ
"ของฉันเหรอสบายดี งานตำแหน่งหัวหน้าคนนี่สบายนะแค่คุมคนเอง แต่มันคุมไม่ค่อยจะอยู่น่ะสิเลยปวดหัวหน่อย" มยุรีตอบอย่างอารมณ์ดีทำให้ฉันยิ้ม
"อ้อ แล้วเธอกับรุจน์ตอนนี้กลับมาคบกันหรือยัง จำได้ว่าเจอกันเมื่อปีที่แล้วเธอบ่นว่าเบื่อรุจน์มากหลังจากนั้นไม่นานก็โทรมาร้องห่มร้องไห้กับพวกเราหลายครั้ง มีแค่ช่วง 4-5 เดือนมานี้ที่เธอเลิกโทรมาบ่นคงจะดีกันแล้วใช่มั้ยจ้ะ" มยุรีถาม
"ใช่แล้ว ตอนนี้ชั้นกับรุจน์ก็ใช้ชีวิตกันตามปกติเหมือนคนทั่วไปแหละ ช่วงก่อนที่ชั้นเป็นบ้าเพราะน้อยใจเขานิดหน่อยน่ะ" ฉันตอบ
"ที่เธอบอกว่าเธอกับเค้าวันๆนึงไม่ค่อยได้คุยกัน สรุปว่าเป็นเพราะอะไรเหรอ" มยุรีถามต่อ
"เรื่องนั้นเหรอ ตอนแรกชั้นก็ไม่รู้หรอกรู้เพียงแต่ว่ารุจน์มีความสนใจอะไรซักอย่างที่ชั้นไม่รู้ แต่ตอนนี้ชั้นรู้แล้วล่ะว่าเค้ามุ่งความสนใจไปที่อะไร จึงทำให้ดูเหมือนเค้าไม่ค่อยสนใจชั้น"
"อะไรเหรอที่รุจน์เค้าสนใจ หวังว่าคงจะไม่ใช่ผู้หญิงคนใหม่นะ"
"ไม่ใช่หรอก คบกันมานาน 3 ปีเพิ่งจะมารู้ว่ารุจน์ติดหนังสือวรรณกรรมงอมแงมก็เมื่อชั้นถามเค้าอย่างจริงจังว่ากำลังทำอะไรอยู่ เค้าบอกว่าเค้ากำลังศึกษางานเขียนวรรณกรรมอยู่"
"ยังไง ไม่เข้าใจ รุจน์จะเรียนต่อโทเหรอ"
"คือรุจน์เนี่ยเค้ากำลังตะลุยศึกษางานเขียนของ 'เอ็ดมันด์ สเปนเซอร์' อยู่น่ะ"
"นายสเปนเซอร์เป็นใคร"
"สเปนเซอร์คือนักกวีสมัยของพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 สันนิษฐานว่าสเปนเซอร์เป็นหนึ่งในกลุ่มนักเขียนที่ร่วมมือกันแต่งบทละครของเชกสเปียร์"
"แล้วมันทำให้รุจน์ถึงกับไม่สนใจเธอเลยเหรอ" มยุรีถาม
"คือว่าเวลาว่างทั้งหมดของรุจน์นอกเหนือจากการทำงานของเค้าแล้วเนี่ย รุจน์ทุ่มเทให้กับการอ่านวรรณคดีอย่างจริงจัง เหมือนกับว่าเค้ามีโลก 2 ใบ ใบแรกคือโลกแห่งความเป็นจริง และใบที่ 2 คือโลกจากหนังสือที่เค้าอ่านอยู่น่ะ" ฉันพยายามอธิบายให้มยุรีฟัง แต่ท่าทางเธอยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
"แล้วยังไง ชั้นก็ชอบอ่านนิยายรักเป็นประจำ" มยุรีสงสัย
เสียงรถจอดหน้าบ้านมยุรี ราตรีเดินเข้ามาพร้อมถุงผลไม้ไปที่บาร์ครัว จัดแจงหยิบมีดเตรียมปลอกสับปะรดพลันเอ่ยทักทายมยุรีและสายสุนีย์
"คุยอะไรกันอยู่เหรอสาวๆ" ราตรีถาม
"ก็กำลังคุยเรื่องยัยสายสุนีย์กับรุจน์น่ะสิ ตอนนี้ทั้งคู่คืนดีกันแล้วนะ" มยุรีตอบ
"อ๋อๆ เรื่องที่ทั้งคู่หมางเมินห่างห่างกันตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" ราตรีถามต่อ
"ราตรีเพิ่งจะค้นพบว่ารุจน์ติดหนังสือ ยัยสายยังเล่าให้ฟังแค่นี้" มยุรีตอบสายสุนีย์
"แค่นี้เองเหรอ แล้วไงล่ะ" ราตรีสงสัยบ้าง
"คือรุจน์ไม่ใช่แค่ติดอย่างเดียว แต่เค้ามีอาการที่เรียกว่าเสพวรรณคดีในทางที่ผิดด้วยล่ะ ชั้นเอาพฤติกรรมที่แปลกๆของเค้าไปเล่าให้หมอฟัง หมอแนะนำว่าเค้าอาจจะมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย" ฉันอธิบายให้เพื่อนฟังอย่างตั้งใจ
"และอาการที่ว่านั่นเป็นยังไงบ้างเหรอ" ราตรีสงสัยอีก
"เริ่มจากรุจน์จะอ่านนวนิยายเมื่อเกิดความเครียด หรืออ่านเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้น เช่นตอนนี้เค้าโดนเจ้านายตำหนิเรื่องงาน รุจน์กลับมาบ้านมาหมกตัวอยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือเรื่องปาฏิหาริย์บันทึกรัก The Notebook ของนิโคลัส สปาร์กส์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวความรักที่พลิกโศกนาฏกรรมให้กลายเป็นปาฏิหาริย์ จนถึงดึกดื่นเที่ยงคืนก็หลับไปเลย พอตื่นมาก็ไปทำงานอย่างอารมณ์ดี" ฉันเล่าอาการแรกให้เพื่อนฟัง
"เหรอ ฟังแล้วไม่น่าเสียหายตรงไหน น่าจะเป็นเรื่องดีซะอีก" มยุรีงงกับเรื่องที่เล่า
"ถ้าแค่นี้มันก็คงไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติหรอก แต่ยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่ทำให้ดูน่าสงสัย รุจน์ชอบตะลุยอ่านหนังสือรวดเดียวจบ ถ้าเป็นวันหยุดเวลาที่เค้าจะวางหนังสือก็คือปวดเข้าห้องน้ำแบบสุดๆหรือหิวแบบสุดๆ คิดดูละกันว่าเสาร์กับอาทิตย์เค้าจะตื่นเช้ามาอ่านหนังสือจนถึงตอนเย็นถึงจะพักกินข้าว เค้าอ่านหนังสือชุด Chesapeake Bay ของ นอร่า โรเบิร์ตส์ 4 เล่มจบภายในวันเดียว และยิ่งเวลาอ่านนะ เค้าจะอ่านอย่าง 'ตะกรุมตะกราม'" ฉันอธิบายต่อ
"เหรอ แล้วอ่านอย่าง 'ตะกรุมตะกราม' มันอ่านกันยังไงเหรอ" ราตรีถาม
"ก็คงเหมือนกินข้าวอย่าง 'มูมมาม' มั้ง" มยุรีเดา
"เท่านั้นไม่พอนะ รุจน์จะตื่นนอนตั้งแต่ตี 4 ครึ่งทุกวันเพื่อมาอ่านหนังสือในตอนเช้าจนถึง 6 โมงครึ่งถึงจะเตรียมตัวไปทำงาน และเวลาอยู่ในโบกี้รถไฟฟ้าเค้าก็จะใช้เวลานี้อ่านหนังสือโดยไม่ยอมเสียเวลาทิ้งไป" ฉันอธิบายพฤติกรรมแปลกๆนี้ให้เพื่อนฟัง
"ชั้นว่าอาการเริ่มหนักแล้วนะ" ราตรีมองหน้ามยุรี ทั้งคู่ทำสีหน้าเป็นห่วงรุจน์
"ยังไม่จบนะยังมีอีก"
"หา! ยังมีอีกเหรอ" ทั้งคู่ประหลาดใจ
"คือตอนนี้รุจน์ไม่มีเพื่อนคบแล้ว เพราะเค้ามักจะหลีกเลี่ยงเพื่อนฝูงเพื่อที่จะให้ได้มีเวลามาอ่านหนังสือ และรุจน์ก็ห่างเหินกับครอบครัวไปนานจนจำไม่ได้แล้วว่าพบกันล่าสุดเมื่อไหร่"
"อาการที่เล่ามาทั้งหมดนี้น่าเป็นห่วงนะ" ราตรีพูด
"รุจน์ชอบอ่านหนังสือเพียงคนเดียว บางทีเชื่อมั้ยเค้าเปิดทีวีทิ้งไว้แต่จริงๆแล้วเค้าเปิดหนังสืออ่าน"
"หา! ยังมีอีกเหรอ"
เสียงรถยนต์จอดหน้าบ้านมยุรี เพื่อนอีกคนเข้าและสอบถามว่าคุยอะไรกันอยู่ มยุรีเล่าบทสนทนาก่อนหน้านี้ให้เพื่อนที่มาทีหลังฟัง จากนั้นทั้งสามก็นั่งฟังต่อ
"เวลาที่เราสองคนออกไปข้างนอกกัน รุจน์มันจะซุกซ่อนหนังสือในที่ต่างๆ เพื่อลอบอ่านหนังสือได้โดยไม่มีใครเห็น"
"ในบางครั้งเวลาที่คนอื่นเห็นรุจน์อ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่งมักจะหัวเราะเยาะ แต่เค้าไม่เคยแคร์เลย"
"มีครั้งนึงตอนที่เราไปเที่ยวทะเลกัน รุจน์รู้สึกหงุดหงิดไม่สนุกสนานจนต้องแวะร้านหนังสือหาอะไรมาอ่าน"
"หากรุจน์จะเดินทางไปไหนไกลๆอย่างน้อยจะต้องนำหนังสือหรือนิตยสารติดตัวไปด้วยเสมอ"
"ในกระเป๋าเดินทางรุจน์จะขนเสื้อผ้าและของใช้ไปให้น้อยที่สุด เพื่อจะได้มีเนื้อที่เหลือใส่หนังสือเยอะๆ
"ในงานเลี้ยงบริษัทประจำปีที่ถูกบังคับไป รุจน์ปลีกตัวออกมาจากงานทั้งคืนเพื่อที่จะได้ไปแอบหลบมุมอ่านหนังสือ"
"รุจน์มักจะละเลยสุขลักษณะส่วนตัวหรืองานบ้านหากยังอ่านหนังสือไม่จบ ยิ่งการบ้านไม่ต้องพูดถึง"
"เสื้อผ้า สิ่งของจำเป็นรุจน์มักจะใช้ของแต่ของเก่าๆไม่ค่อยจะซื้อของใหม่ เพราะเค้าต้องการเก็บเงินไว้เพื่อซื้อหนังสือ"
"บางครั้งที่ไปยังห้องสมุด รุจน์มักยืมหนังสือมากเกินกว่าปริมาณที่ทางห้องสมุดอนุญาติ"
"คนกลุ่มเดียวที่รุจน์มักจะติดต่อด้วยคือพวกบ้าหนังสือด้วยกัน"
"บ่อยครั้งที่รุจน์เป็นลมหมดสติไปเนื่องจากอ่านหนังสือเกินขนาด บางครั้งถึงกับขั้นจำความไม่ได้ เสียความทรงจำก่อนหน้านี้ไปช่วงนึงจากการอ่านหนัก"
"รุจน์มักจะมีอารมณ์คล้อยตามในขณะที่อ่านนิยายเรื่องไหนอยู่ เช่นเค้าอ่าน ตราบหัวใจอุ่นไอรัก Perfect ของจูดิธ แมคนอธ เค้าจะอ่อนหวานโรแมนติก แต่เมื่ออ่าน Red Dragon ของโธมัส แฮร์ริส เค้าดูจะหวาดระแวงโหดร้ายไปเลย"
"รุจน์ชอบบ่นว่าตัวเองอ่านมากเกินไปและควบคุมไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยหยุดอ่าน"
"เฮ้ย! นี่มันเรียกว่าป่วยแล้วมั้ยนี่ เยอะเกินไปแล้ว" ราตรีอุทานตกใจกับสิ่งที่ฉันพูดให้ฟัง
เสียงรถยนต์จอดหน้าบ้านมยุรี เพื่อนอีกคนเข้าและสอบถามว่าคุยอะไรกันอยู่ มยุรีเล่าบทสนทนาก่อนหน้านี้ให้เพื่อนที่มาทีหลังฟัง จากนั้นทั้งสี่ก็นั่งฟังต่อ
เพื่อนคนที่เข้ามาล่าสุดเอ่ยถามสายสุนีย์ว่า
"เธอคงพารุจน์ไปรักษาจนหายขาดแล้วใช่มั้ย ถึงกลับมาคบกันได้อย่างปกติ" เพื่อนถาม
"ไม่ใช่หรอกจ้ะ รุจน์ไม่เคยได้รับการรักษาใดๆ" ฉันตอบ
"อ้าว อาการหนักขนาดนั้นแล้วพวกเธออยู่ด้วยกันได้ยังไงกัน ฮึ?"มยุรีสงสัยหนัก
"คือว่าชั้นลองหยิบหนังสือเรื่องสายลับเดวิลส์ฟู้ดเค้ก Devil's Food Cake Murder ของโจแอน ฟลุคมาอ่าน หลังจากนั้นชั้นก็เริ่มติดวรรณกรรมอย่างบ้าคลั่งแล้ว ชั้นอ่านหนังสือทุกเล่มที่รุจน์อ่านจบ ตอนนี้ชั้นกับรุจน์คุยกันมากกว่าเดิม ในเรื่องหนังสือนะ เวลาว่างหลังจากงานเราจะหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือด้วยกัน สถานที่ๆเรามักจะไปด้วยกันเสมอคือร้านหนังสือหรือไม่ก็ห้องสมุด นานๆทีเราจะไปเที่ยวต่างจังหวัดเราก็จะขนแต่หนังสือไปนอนอ่านริมหาดบ้าง นอนอ่านแช่ในน้ำตกบ้าง อ่านกลางดอย โชคดีนะที่ชั้นยังมีพวกเธอ 4 คนเป็นเพื่อนแต่รุจน์ไม่มีเพื่อนเหลือเลย" ชั้นอธิบายสิ่งต่างๆให้เพื่อนฟัง
"หา! เธอก็เป็นกับเค้าด้วยเหรอเนี่ย" ราตรีตกใจอุทานออกมา
"เนี่ย วันนี้ชั้นก็หยิบรหัสลับหลังคาโลก The Tibet Code เล่ม 8 มาอ่านด้วย เหลืออีกนิดเดียวเองจะจบ วางไม่ลงจริงๆ เดี๋ยวพวกเธอนั่งคุยกันไปก่อนนะ ขอเวลาไม่เกิน 20 นาที อ้าว? หนังสืออยู่ไหนเนี่ย ว้าย! ลืมไว้ที่ถุงไวน์ในตู้เย็นถูกแช่แข็งไปแล้ว เดี๋ยวชั้นขอตัวไปนอนอ่านแปร๊บนะ" ฉันเดินไปหยิบขวดไวน์ออกมาจากตู้เย็นพร้อมหนังสือที่ลืมไว้ในถุง จากนั้นจึงไปนอนอ่านหนังสือยังโซฟายาว แว่วๆได้ยินเสียงเพื่อนๆบ่น
"เฮ่อ! สงสัยเธอคงจะเลิกคบพวกเรา 4 คนไปแล้วแน่ๆเลย" หนึ่งในสี่ของเพื่อนๆบ่นออกมา แต่ฉันไม่แคร์หรอกว่าพวกเธอจะคิดยังไงกับฉัน ขอแค่มีหนังสือเล่มโปรดในมือก็พอแล้ว ไม่ต้องการอะไรจากโลกใบนี้อีกแล้ว ความอภิรมย์ของชีวิตฉันก็มีเพียงแค่นี้แหละ