ซาลามัดดาตัง..........วันนี้ผมเข้ามาเร็วหน่อย เพราะเข้าสายมา2วันแล้ว.......
ขอย้อนกลับมาในรายละเอียดตามถนนด้านล่างของมาเลเซียบ้าง เนื่องจากบนทางด่วนที่ผมพาพรรคพวกขี่กลับไปกลับมาอย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้ว ยังไม่มีปั๊มน้ำมันแบบแน่นอนครับ บางส่วนก็กำลังก่อสร้าง
ผมมักจะเอาถังน้ำมันของเครื่องตัดหญ้ามัดซ้อนไปบนถังน้ำมันติดรถแล้วก็ทำก็อกสามตา เชื่อมให้น้ำมันทั้งสองถังทะลุถึงกัน พอถังประจำรถหมดก็อก 1 ผมก็เปิดถังที่มัดซ้อนไป(โดยปิดก็อกของถังน้ำมันจริงซะก่อน เพื่อไม่ให้มันไหลเข้าไปหากัน…ทำให้คำนวณการเติมครั้งต่อไปไม่ถูก)) พอถังน้ำมันพิเศษหมดอีก ผมก็เปลี่ยนเป็นไปเปิดก็อกสำรองของถังติดรถ แล้วรีบมองหาป้ายบอกทาง เพื่อลงจากทางด่วนลงไปเติมน้ำมันข้างล่าง.....
เนี่ย….ทำอย่างนี้ เราก็จะได้ระยะทางเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 100 กม.ต่อการเติมน้ำมัน 1 ครั้ง
ส่วนอาหารการกินนั้น ส่วนมากผมก็จะกินข้าวราดแกงแขกตามร้านริมถนน.....ข้าวแกงแขกนี่ ก็เหมือนข้าวแกงแบบไทยๆเรานี่แหละครับ คือจะมีอาหารสำเร็จปรุงใส่หม้อเอาไว้ เช่นแกงฉู่ฉี่ปลาทู.....แกงส้ม....ต้มยำ....แล้วก็มีน่องไก่ทอดและไข่ต้มยืนพื้น จะกินอะไรก็ไปชี้กับข้าวในหม้อแกง คนขายเขาก็ตักข้าวใส่จานแล้วก็ราดกับข้าวให้เรา.....ราคาจะตกเป็นเงินไทยประมาณ 25 บาท(พ.ศ. 2542)
มีอยู่คราวหนึ่ง ผมขี่รถคาวาซากิ เอเอ็กซ์- 1(เป็นรถครอบครัวรุ่นที่2ของเขา...รุ่นแรกนั้นเป็นคาวาซากิจอย 80ซี.ซี. มีนักแสดงสาวชื่อปาหนัน ณ.พัทลุงเป็นนางแบบ-แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำตลาด เนื่องจากรถรุ่นนั้นมีข้อเสียเยอะ-ไว้จะเล่าแยกให้ฟังต่างหากนะครับ)
ผมไปเมืองกัวลาลัมเปอร์แบบคราวนี้แหละ ไปแวะกินข้าวกลางทางแบบร้านเพิงหมาแหงน.....เห็นฉู่ฉี่ปลาทูร้านข้าวแกงแขกเข้าให้ เลยเดินไปชี้สั่งให้เขาราดข้าวมาให้กิน.....กะว่าจะกินให้หายอยากซะหน่อย
พอตักข้าวเข้าปากได้ ผมก็

ข้าวคำนั้นพรวดออกมาจากปากแทบไม่ทัน......
จะอะไรซะอีกล่ะครับ.....คุณน้าแกแกงแบบฉู่ฉี่แขกจริงๆ คือมันมีแต่กลิ่นเครื่องเทศฉุนงั่กไปหมดทั้งปาก...รับประกันสามปีเต็มเลยว่ากลืนยังไงผมก็คงฝืนกลืนไม่เข้าครับ...มันเหม็น.....
จะว่าเหม็นก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าเราไม่คุ้นกับกลิ่นเครื่องเทศแบบมิดคันเร่งอย่างนั้นมาก่อนจะดีกว่า .....ประมาณว่าเอากลิ่นเครื่องเทศในชามผมไปผสมกับข้าวเปล่าอีก 5-6 จาน เพื่อให้กลิ่นมันกระจายออกไปบ้าง จึงจะกลืนได้ลงคอ
บ้านเรานั้นจะปรุงอาหารที่มีกลิ่นเครื่องเทศผสมก็คือแกงมัสหมั่น.....ที่ใส่ลูกผักชีและยี่หร่า ผสมกับกลิ่นโป้ยกั้กบ้าง กระวานบ้าง กานพลูบ้าง......เอาพอให้รู้ถึงกลิ่นแห่งการปรุงด้วยเครื่องเทศแบบไทยๆเรา......กลิ่นที่เราคุ้นอยู่นี้เมื่อเอามาเทียบกับกลิ่นข้าวแกงแขกของคุณป้าริมถนนในเมืองมาเลย์แล้ว มันจางกว่าแกงแขกประมาณ 51 เท่าเห็นจะได้
คุณลองเอาดอกโป้ยกั้กที่อยู่ในน้ำก๋วยเตี๋ยวมาเคี้ยวแบบเปล่าๆดูบ้างก็จะรู้ว่าความฉุนของมันเป็นยังไง......นั่นแหละครับแกงฉู่ฉี่แขก
สรุปแล้วผมต้องเอาปลาทูในแกงไปล้างน้ำให้หมดกลิ่นเครื่องเทศ แล้วก็เอาไปคลุกกับข้าวที่พอมีน้ำแกงแบบเฉียดๆกินเป็นอาหารกลางวันไปอย่างทุลักทุเล....ก็ไม่มีปัญหาอะไร

แต่ปัจจุบันนี้ เมื่อทางด่วนของมาเลย์เสร็จครบตามเป้าหมาย สมบูรณ์ดีแล้ว ทั้งปั๊มน้ำมันและร้านอาหาร รวมไปถึงที่พักจอดรถนอนจะมีให้เห็นทุกๆ 50 กม.ทั้งขาไปและขากลับเลยทีเดียว ผมเคยขี่รถกลับมาจากสิงคโปร์บนเส้นทางด่วนสายนี้ตอนตี 1 ยังมาแวะนอนพักเอาแรงบนจุดพักรถเขาเลย....สบายดีมากครับ ไฟฟ้าสว่างตลอดเส้นทาง 800 กม.นั่นแหละ
อยากให้กระทู้นี้มีสาระ(ไปเจาะรายละเอียดในเมืองมาเลเซียกันหน่อย)
ขอย้อนกลับมาในรายละเอียดตามถนนด้านล่างของมาเลเซียบ้าง เนื่องจากบนทางด่วนที่ผมพาพรรคพวกขี่กลับไปกลับมาอย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้ว ยังไม่มีปั๊มน้ำมันแบบแน่นอนครับ บางส่วนก็กำลังก่อสร้าง
ผมมักจะเอาถังน้ำมันของเครื่องตัดหญ้ามัดซ้อนไปบนถังน้ำมันติดรถแล้วก็ทำก็อกสามตา เชื่อมให้น้ำมันทั้งสองถังทะลุถึงกัน พอถังประจำรถหมดก็อก 1 ผมก็เปิดถังที่มัดซ้อนไป(โดยปิดก็อกของถังน้ำมันจริงซะก่อน เพื่อไม่ให้มันไหลเข้าไปหากัน…ทำให้คำนวณการเติมครั้งต่อไปไม่ถูก)) พอถังน้ำมันพิเศษหมดอีก ผมก็เปลี่ยนเป็นไปเปิดก็อกสำรองของถังติดรถ แล้วรีบมองหาป้ายบอกทาง เพื่อลงจากทางด่วนลงไปเติมน้ำมันข้างล่าง.....
เนี่ย….ทำอย่างนี้ เราก็จะได้ระยะทางเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 100 กม.ต่อการเติมน้ำมัน 1 ครั้ง
ส่วนอาหารการกินนั้น ส่วนมากผมก็จะกินข้าวราดแกงแขกตามร้านริมถนน.....ข้าวแกงแขกนี่ ก็เหมือนข้าวแกงแบบไทยๆเรานี่แหละครับ คือจะมีอาหารสำเร็จปรุงใส่หม้อเอาไว้ เช่นแกงฉู่ฉี่ปลาทู.....แกงส้ม....ต้มยำ....แล้วก็มีน่องไก่ทอดและไข่ต้มยืนพื้น จะกินอะไรก็ไปชี้กับข้าวในหม้อแกง คนขายเขาก็ตักข้าวใส่จานแล้วก็ราดกับข้าวให้เรา.....ราคาจะตกเป็นเงินไทยประมาณ 25 บาท(พ.ศ. 2542)
มีอยู่คราวหนึ่ง ผมขี่รถคาวาซากิ เอเอ็กซ์- 1(เป็นรถครอบครัวรุ่นที่2ของเขา...รุ่นแรกนั้นเป็นคาวาซากิจอย 80ซี.ซี. มีนักแสดงสาวชื่อปาหนัน ณ.พัทลุงเป็นนางแบบ-แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำตลาด เนื่องจากรถรุ่นนั้นมีข้อเสียเยอะ-ไว้จะเล่าแยกให้ฟังต่างหากนะครับ)
ผมไปเมืองกัวลาลัมเปอร์แบบคราวนี้แหละ ไปแวะกินข้าวกลางทางแบบร้านเพิงหมาแหงน.....เห็นฉู่ฉี่ปลาทูร้านข้าวแกงแขกเข้าให้ เลยเดินไปชี้สั่งให้เขาราดข้าวมาให้กิน.....กะว่าจะกินให้หายอยากซะหน่อย
พอตักข้าวเข้าปากได้ ผมก็
จะอะไรซะอีกล่ะครับ.....คุณน้าแกแกงแบบฉู่ฉี่แขกจริงๆ คือมันมีแต่กลิ่นเครื่องเทศฉุนงั่กไปหมดทั้งปาก...รับประกันสามปีเต็มเลยว่ากลืนยังไงผมก็คงฝืนกลืนไม่เข้าครับ...มันเหม็น.....
จะว่าเหม็นก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าเราไม่คุ้นกับกลิ่นเครื่องเทศแบบมิดคันเร่งอย่างนั้นมาก่อนจะดีกว่า .....ประมาณว่าเอากลิ่นเครื่องเทศในชามผมไปผสมกับข้าวเปล่าอีก 5-6 จาน เพื่อให้กลิ่นมันกระจายออกไปบ้าง จึงจะกลืนได้ลงคอ
บ้านเรานั้นจะปรุงอาหารที่มีกลิ่นเครื่องเทศผสมก็คือแกงมัสหมั่น.....ที่ใส่ลูกผักชีและยี่หร่า ผสมกับกลิ่นโป้ยกั้กบ้าง กระวานบ้าง กานพลูบ้าง......เอาพอให้รู้ถึงกลิ่นแห่งการปรุงด้วยเครื่องเทศแบบไทยๆเรา......กลิ่นที่เราคุ้นอยู่นี้เมื่อเอามาเทียบกับกลิ่นข้าวแกงแขกของคุณป้าริมถนนในเมืองมาเลย์แล้ว มันจางกว่าแกงแขกประมาณ 51 เท่าเห็นจะได้
คุณลองเอาดอกโป้ยกั้กที่อยู่ในน้ำก๋วยเตี๋ยวมาเคี้ยวแบบเปล่าๆดูบ้างก็จะรู้ว่าความฉุนของมันเป็นยังไง......นั่นแหละครับแกงฉู่ฉี่แขก
สรุปแล้วผมต้องเอาปลาทูในแกงไปล้างน้ำให้หมดกลิ่นเครื่องเทศ แล้วก็เอาไปคลุกกับข้าวที่พอมีน้ำแกงแบบเฉียดๆกินเป็นอาหารกลางวันไปอย่างทุลักทุเล....ก็ไม่มีปัญหาอะไร