คุณจักรภพ เพ็ญแข วิจารย์การยุติบทบาทของ พธม น่าสนใจค่ะ

กระทู้ข่าว
August 24, 2013

เมื่อวานนี้ที่ห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี แกนนำ ๘ คนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พธม. ได้ประกาศยุติการดำรงอยู่ของกล...ุ่มตน โดยอ่านแถลงการณ์ค่อนข้างยาวที่มีข้อสรุปว่าพวกตนได้รับความลำบากเดือดร้อนจากคดีความต่างๆ ที่ส่วนใหญ่ได้รับในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจนต้องตกเป็นจำเลยถึง ๙๖ คน ขณะนี้จึงไม่อาจเคลื่อนไหวในทางการเมืองได้โดยสะดวก และเชื่อว่าเคลื่อนไหวไปก็ไร้ประโยชน์ เนื่องจากประชาชนเสียงข้างมากยังคงเลือกพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทยรักไทยในอดีตเข้ามาเป็นรัฐบาลอยู่ดี จึงขอยุติบทบาทของตนเอง ซึ่งหากเป็นธุรกิจก็แปลว่าขอเลิกกิจการอย่างเด็ดขาด

ผมไม่ได้มองอวสานของ พธม. ในเชิงเทคนิคทางการเมืองว่าขาดเงินสนับสนุนหรือพ่ายแพ้ศึกคนรับใช้กับฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับเห็นว่าเป็นการปรับโครงสร้างทางการเมืองที่ใหญ่และสำคัญกว่านั้น ลำพัง พธม. เองไม่ได้มีความสำคัญนักหรอกครับ หมดสภาพไปก่อนจะประกาศเลิกกิจการนานแล้ว แต่ สัญลักษณ์ที่ พธม. เป็นมาแต่ต้นและเปลี่ยนแปลงไปนั้นน่าคิด น่าจะนำมาวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตได้มาก พธม. เป็นกลุ่มที่เริ่มจากยุทธวิธีทางการเมืองของนายสนธิ ลิ้มทองกูล ซึ่งตั้งกลุ่มเรารักในหลวงขึ้นมาเป็นต้นทุนในการต่อต้านรัฐบาลไทยรักไทยในขณะนั้น

นายสนธิฯ ซึ่งเป็นนักประกอบชิ้นส่วนภาพต่อ (jigsaw puzzle) ที่ชำนาญคนหนึ่ง ได้คาดคะเนอย่างถูกต้องว่า เขาสามารถหาทางใช้ประโยชน์จากต้นทุนของกลุ่ม “เรารักในหลวง” (ซึ่งเป็นการตั้งชื่อกลุ่มเพื่อสื่อสารอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมว่ารัฐบาลกับในหลวงอยู่คนละข้างกัน) โดยทำให้แตกตัวออกเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ขึ้น โดยประคองให้เติบโตไปทั้งในด้านบนคือ ชนชั้นกลางในเมือง มวลชนอนุรักษ์นิยม (โดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกจัดตั้งโดยเครือข่าย กอ.รมน. ทั้งตรงและอ้อม ซึ่งก็ได้แก่เครือข่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์เดิมเป็นส่วนใหญ่) ข้าราชการอนุรักษ์นิยม นักธุรกิจที่จ่ายค่าหัวคิวและปันผลให้กับผู้คนในเครือข่ายอำนาจหลักของประเทศและไม่ต้องการการแข่งขันที่แท้จริง และสำคัญอย่างยิ่งคือ หวังให้งอกขึ้นไปสู่ขั้นสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในสังคมไทย ที่กำลังมองรัฐบาลในขณะนั้นอย่างหวาดระแวงไม่ไว้ใจ

“ความรัก” ที่มีมาแต่เดิมเกิดพลิกผันมาเป็นมุมมองของ “พ่อแม่ผู้ถูกทรยศ” ภายในเวลาเพียงสี่ปี (ความวิตกจริตมาหนักที่สุดในวันที่พรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งซ้ำด้วยเสียงข้างมากเด็ดขาดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับการยกระดับตัวเองของกลุ่มเรารักในหลวงนั่นเอง) ซึ่งทำให้นายสนธิฯ เห็นช่องทางใช้ประโยชน์ได้ง่ายและเขาก็ใช้ผ่านกลไกที่เป็นจุดอ่อนของระบบทั้งระบบ นั่นคือผ่านฝ่ายหญิงที่กำลังมึนงงว่ารัฐบาลที่เข้ามารอบสองนี้ เป็นตัวช่วยหรือเป็นตัวทำลายตน ข้อมูลที่ส่งให้กันในบ้านแถวเทเวศร์ เป็นการคำนวณว่าได้รับแล้วจะนั่งเฉยอยู่ต่อไปไม่ได้ ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น

นายสนธิฯ จึงได้รับ “ไฟเขียว” ที่ตัวต้องการและนำสิ่งนั้นเองมาเป็นกาวประสานชิ้นส่วนภาพต่อหลายๆ ชิ้นที่ได้รวบรวมมาก่อนหน้านั้น ทั้งกลุ่มมวลชนอย่างสันติอโศก สหภาพแรงงานบางส่วน นักแสดง นักร้อง และศิลปินที่เกิดภาวะสับสนต่อสภาพการณ์ใหม่ กองทัพสายเทเวศร์ ฯลฯ ไปจนกระทั่งถึงพรรคประชาธิปัตย์ ที่ดวงตกอยู่ในตอนนั้น และไม่มีอาวุธใดๆ ไปสู้รบปรบมือกับพรรคไทยรักไทยได้เลย และเขาก็ยังทำให้เติบโตในด้านล่าง คือมวลชนที่ถูกจัดตั้งมาหลายสิบปีผ่านกลไกความมั่นคงของรัฐ จนใจยอมรับสภาพความแน่นิ่ง (status quo) ของสังคมไทยและกลัวความเปลี่ยนแปลง

ขบวนการใหม่ที่นายสนธิฯ สร้างขึ้นตามความเข้าใจอันลึกซึ้งในระบบสังคมอันขลาดเขลาของไทย จึงเป็นหัวหอกสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไทยรักไทยถึงกับซวนเซ และล้มลงในที่สุด คำ “เตือน” รัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีครั้งใหญ่ๆ ในปี พ.ศ.๒๕๔๙ และความผันผวนอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนตลอดทั้งปีนั้น ล้วนมาจากพล็อตเรื่องที่นายสนธิฯ ใช้ความเป็นสื่อเขียนหรือพูดก่อนหน้านั้นมาแล้วทั้งสิ้น

ต้องบันทึกไว้เลยว่านายสนธิฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการจูงจมูกชนชั้นนำของไทย แต่ไม่ได้หมายความว่า ชนชั้นนำนั้นจะไม่ใช้ประโยชน์กลับจากนายสนธิฯ เราจึงเห็นได้ว่าเรื่องนี้อาจเริ่มต้นที่นายสนธิฯ

แต่สุดท้ายก็เกิดการปล้นสะดมชุลมุนหลายครั้งในหมู่โจร จนนายสนธิฯ และ พธม. สูญเสียอำนาจนำไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นหมดสิ้นลง เราตั้งชื่อนิยายเรื่องนี้ได้ว่า พายเรือให้โจรนั่ง เพียงแต่โจรในเรือมีหลายคนและหลายระดับชั้น โจรจึงทะเลาะกันเอง ปล้นกันเอง แต่ก็เก่งที่ประคองเรือเอาไว้ได้ไม่ล่ม แต่สุดท้ายโจรก็ต้องแพ้มาเฟียผู้บริหารเป็นระบบแบบองค์กรอาชญากรรม ซึ่งมีอิทธิพลสูงกว่านายสนธิฯ ในการเรียกคนทั้งหลายมาใช้งาน ก่อนจะถ่มทิ้งไปเมื่อไร้ประโยชน์แบบชานอ้อยที่หมดน้ำแล้ว

ผมจึงมองปัญหา พธม. ในเชิงระบบและระบอบ นึกห่วงมวลชนที่เคยสนับสนุนเขามาก่อนว่าจะรู้สึกว่าหลักลอยขนาดไหน ขอให้มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยค่อยๆ โน้มน้าวให้มวลชนเหล่านี้เห็นโลกแบบเรามากขึ้น อย่าคาดหวังว่าเขาจะมาทันที บางทีเป็นเรื่องสติปัญญา ซึ่งต้องใช้เวลา บางทีเขาอาจรู้สึกเสียหน้า และต้องการหลบเลียแผลใจระยะหนึ่งก่อน หรือบางทีก็เป็นความดื้อรั้นในบุคลิกภาพ ซึ่งไม่มีใครช่วยเขาได้ยกเว้นทุกข์ที่เขาต้องเผชิญในชีวิตนั้นเอง เพียงอย่าคิดแบบตัดเชือกเท่านั้น

โอกาสที่เหลืองจะกลายมาเป็นแดงในระดับมวลชนมีมากขึ้นแล้ว ส่วนระดับผู้นำและแกนนำนั้น ผมไม่หวังว่าเขาจะได้สำนึกและเปลี่ยนใจ ชัยชนะที่สมบูรณ์ของปวงชนเท่านั้นคือกรอบหรือกรงที่จะควบคุมคนสายพันธุ์นี้ได้.

จากface คุณจักรภพ เพ็ญแข

...................................................................................................................................
ก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่าโอกาสที่เหลืองจะกลายมาเป็นแดงในระดับมวลชนจะมีมากขึ้น
เพราะพวกเขาถูกฝังหัว ถูกสะกดจิตหมู่ จนเชื่อในสิ่งที่ พธม.ยัดใส่หัว
ทุกๆวันมาเป็นเวลา6-7ปีแล้ว คงยากที่เขาจะเปลี่ยนมาเป็นแดง
น่าจะ..จนกว่าวันใดก็ตามในอนาคต
ความจริงทั้งหลายจะสามารถเปิดออกมาได้ว่า
ปัญหาของประเทสนี้ แท้จริงแล้วต้นตออยู่ตรงไหนและพวกเขาจะสามารถ
ได้รับรู้ถึงรายละเอียดของความจริงแห่งต้นตอของปัญหานั้น
ถึงตอนนั้น
พวกเหลืองคงเปลี่ยนมาเป้นแดงไม่ทันเพราะ.........ช๊อคตายเสียก่อน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่