August 23, 2013
ต้องขอขอบพระคุณครับ สำหรับคำแนะนำของท่านผู้อ่านหลายท่านว่า ผมน่าจะเขียนบทความให้สั้นลงหน่อย เท่าที่ผ่านมายาวมากจนบางทีอ่านแทบไม่ไหว หรืออ่านจบแ...ล้วหมดแรงไปเลย ผมย้อนกลับไปดูข้อเขียนที่แล้วๆ ก็จริงทีเดียวครับ ส่วนมากก็เกินหนึ่งหน้า (A4) และบางครั้งยาวไปถึงสามหน้าก็มี ครั้งที่ตอบคำถามเรื่องสถาบันกษัตริย์เมื่อไม่นานนี้ ก็สามหน้าเต็มๆ ผมรับคำแนะนำของท่านครับ จากวันนี้ไปจะเขียนให้อยู่ภายในหนึ่งหน้า ท่านจะได้อ่านและช่วยกรุณาเผยแพร่ต่อได้เร็วขึ้น ยกเว้นในบางครั้งที่จำเป็นต้องอธิบายความกันมากหน่อย หรือมีการยกข้อความจากคนอื่นมาประกอบซึ่งต้องใช้เนื้อที่มาก ก็อาจต้องขอให้ท่านอ่านยาวหน่อยครับ อีกวิธีการหนึ่ง ผมกำลังหาเวลามาอ่านบทความของตัวเองเพื่อให้ท่านที่ไม่ชอบอ่าน หรือสายตาไม่ดีนัก ใช้วิธีฟังแทน เมื่อไหร่ที่ทำได้จะรีบแจ้งให้ท่านทราบ เจตนาผมคือ อยากให้ท่านได้รับสารที่ผมส่งไปด้วยความปรารถนาดีให้กว้างขวางที่สุดเท่านั้นเอง แต่การทำคลิปแบบเห็นตัวนั้นยังไม่สะดวกนัก เพราะเดินทางอยู่เสมอ เอาเป็นว่าเมื่อไหร่สบโอกาสก็จะทำคลิปสลับในบางครั้ง ส่วนสาระของบทความนั้น ผมคงเขียนในรูปความเรียงต่อไปเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งอาจร่ายมาเป็นกลอนบ้างอย่างเมื่อวานนี้บ้างครับ
วันนี้ยังนึกขำภาพของการประชุมร่วมของรัฐสภาเมื่อวานนี้ ตอนที่ คุณสามารถ แก้วมีชัย ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ลงท้ายคำอภิปรายตอนหนึ่งของท่าน ด้วยการแนะนำให้สมาชิกไปอ่านจดหมายเปิดผนึกของ ศาสตราจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ผู้เป็นอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จ่าหน้าถึง คุณชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ การแนะนำให้ไปอ่านจดหมายสักฉบับเพื่อประดับสติปัญญานั้น ความจริงไม่น่าจะเป็นเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจของใครเลย แต่เมื่อเห็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นมาอย่างเดือดดาล และท้ารบเป็นการใหญ่ เราจึงเกิดสนใจขึ้นมาว่า โดนอะไรจี้ใจดำเข้า ผมจึงรีบหาจดหมายฉบับนั้นมาอ่านทันที อ่านแล้วก็นึกขำอยู่ในใจว่า อาจารย์ชาญวิทย์ท่านแค่ไปยกประวัติศาสตร์การเมืองที่สาธารณชนรับรู้กันอยู่แล้วมาเตือนสติคุณชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นนักศึกษาเรียนร่วมสถาบันกับท่านมาเท่านั้นเอง
ท่านเล่าถึงบทบาทการเมืองซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนั้นเลือกที่จะเล่น นั่นคือออกมาใช้สิทธิประท้วงนอกรัฐสภาแบบหาเรื่อง ซึ่งในครั้งนั้นต้องสู้กับระบอบ “เผด็จการครึ่งใบ” ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในห้วงเวลาหลังจากบทบาทในรัฐสภา บวกกับการรัฐประหาร ๘ พ.ย. พ.ศ.๒๔๙๐ ได้โค่นอำนาจของ นายปรีดี พนมยงค์ลงแล้ว ท่านชี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์มีประวัติศาสตร์ที่ใช้วิธีการตีคู่อย่างนี้มาตลอด นั่นคือประชาธิปไตย (ในรัฐสภา) และอนาธิปไตยหรืออำนาจใหญ่อยู่กับฝูงชนไร้ระเบียบ (การชุมนุมนอกรัฐสภา) ซึ่งอาจนำไปสู่ “กลียุค” ได้ ผมสงสัยว่าข้อความพื้นๆ เท่านั้น ไปจุดไฟในหัวใจอะไรนักหนาในใจของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ อารมณ์โกรธแค้นจนลุกขึ้นมาเต้นเร่าๆ อย่างนั้น มาจากไหนหรือ แล้วผมก็ค่อยๆ เกิดข้อสรุปขึ้นมาเองว่า ชะรอยพรรคประชาธิปัตย์จะรู้ที่มาของตัวเองไม่น้อยไปกว่าผู้คนที่เขาวิพากษ์พรรคประชาธิปัตย์อยู่ รู้ตัวดีทีเดียวว่าเป็นตัวแทนของระบอบอะไรที่สิงสู่อยู่ในสังคมไทย คำเตือนเนิบๆ ในสไตล์ของอาจารย์ชาญวิทย์จึงเสมือนน้ำมนต์ที่สาดไล่ผีได้ชะงัดนัก มโนภาพของผมคือ อาจารย์ชาญวิทย์นั่งเป็นหลวงตาอยู่หน้าคนที่เขาจับตัวมาให้รักษาในทางผี ท่านสาดธรรมะเข้าให้เพียงคำสองคำ ผีก็กระโดดผึงถลึงตาใส่หลวงตาในทันที แต่ก็ทำอะไรหลวงตาไม่ได้เพราะหลวงตาท่านเล่นยกสัจธรรมมากำหลาบ เรื่องนี้น่าขำตรงที่ว่าหลวงตาชาญวิทย์ท่านไม่ได้ไปยกงานวิจัยที่ใช้ข้อมูลใหม่อะไรมาเลย ท่านเอาของเดิมๆ มาเตือนใหม่ แต่ดูจะถูกจังหวะเวลาเท่านั้นเอง ภาพนี้น่าจะทำให้มวลชนประชาธิปไตยสบายใจได้ว่า ยุคที่คนไทยส่วนมากไม่รู้ประวัติศาสตร์การเมืองของตนเอง จนเผลอให้ผู้ร้ายยุคสงครามเย็นทุบตีทำลายผู้ที่กำลังมุ่งมั่นพัฒนาระบอบประชาธิปไตย น่าจะหมดไปแล้ว จากนี้ไปเราจะให้ความรู้แก่กันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัญญามาแทนที่อวิชชา และจนความสว่างเข้ามาแทนความมืด ถึงต้องคลื่นเหียนกันบ้างเมื่อได้เห็นซากเดนเผด็จการพยายามลากเกวียนเล่มเดิมกันต่อไปอย่างข้างๆ คูๆ ก็เถิด เลือกมองแบบตลกขบขันเสียบ้างก็อาจจะพอทนไหว
ใครดิ้นเร่าๆ อยากสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปนัก ลองถามแบบ คุณอำพล ลำพูน ที่เขียนเหน็บในทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาว่า ส.ว.สรรหา ชาวบ้านไม่เข้าใจ ใครหา ใครสรร การสรรหาเป็นอำนาจของใครกันแน่ ก็จะใกล้คำตอบกลางใจของประเทศไทยเข้าไปทุกทีครับ.
จาก Face คุณจักรภพ
................................................................................................................
คำตอบกลางใจของประเทศไทยน่ะ
ประชาชนชาวไทยเขามีกันอยู่แล้วละค่ะ
แต่พูดมะด้ายยย
คุณจักรภพ เพ็ญแขมาแล้วค่ะ
ต้องขอขอบพระคุณครับ สำหรับคำแนะนำของท่านผู้อ่านหลายท่านว่า ผมน่าจะเขียนบทความให้สั้นลงหน่อย เท่าที่ผ่านมายาวมากจนบางทีอ่านแทบไม่ไหว หรืออ่านจบแ...ล้วหมดแรงไปเลย ผมย้อนกลับไปดูข้อเขียนที่แล้วๆ ก็จริงทีเดียวครับ ส่วนมากก็เกินหนึ่งหน้า (A4) และบางครั้งยาวไปถึงสามหน้าก็มี ครั้งที่ตอบคำถามเรื่องสถาบันกษัตริย์เมื่อไม่นานนี้ ก็สามหน้าเต็มๆ ผมรับคำแนะนำของท่านครับ จากวันนี้ไปจะเขียนให้อยู่ภายในหนึ่งหน้า ท่านจะได้อ่านและช่วยกรุณาเผยแพร่ต่อได้เร็วขึ้น ยกเว้นในบางครั้งที่จำเป็นต้องอธิบายความกันมากหน่อย หรือมีการยกข้อความจากคนอื่นมาประกอบซึ่งต้องใช้เนื้อที่มาก ก็อาจต้องขอให้ท่านอ่านยาวหน่อยครับ อีกวิธีการหนึ่ง ผมกำลังหาเวลามาอ่านบทความของตัวเองเพื่อให้ท่านที่ไม่ชอบอ่าน หรือสายตาไม่ดีนัก ใช้วิธีฟังแทน เมื่อไหร่ที่ทำได้จะรีบแจ้งให้ท่านทราบ เจตนาผมคือ อยากให้ท่านได้รับสารที่ผมส่งไปด้วยความปรารถนาดีให้กว้างขวางที่สุดเท่านั้นเอง แต่การทำคลิปแบบเห็นตัวนั้นยังไม่สะดวกนัก เพราะเดินทางอยู่เสมอ เอาเป็นว่าเมื่อไหร่สบโอกาสก็จะทำคลิปสลับในบางครั้ง ส่วนสาระของบทความนั้น ผมคงเขียนในรูปความเรียงต่อไปเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งอาจร่ายมาเป็นกลอนบ้างอย่างเมื่อวานนี้บ้างครับ
วันนี้ยังนึกขำภาพของการประชุมร่วมของรัฐสภาเมื่อวานนี้ ตอนที่ คุณสามารถ แก้วมีชัย ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ลงท้ายคำอภิปรายตอนหนึ่งของท่าน ด้วยการแนะนำให้สมาชิกไปอ่านจดหมายเปิดผนึกของ ศาสตราจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ผู้เป็นอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จ่าหน้าถึง คุณชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ การแนะนำให้ไปอ่านจดหมายสักฉบับเพื่อประดับสติปัญญานั้น ความจริงไม่น่าจะเป็นเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจของใครเลย แต่เมื่อเห็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นมาอย่างเดือดดาล และท้ารบเป็นการใหญ่ เราจึงเกิดสนใจขึ้นมาว่า โดนอะไรจี้ใจดำเข้า ผมจึงรีบหาจดหมายฉบับนั้นมาอ่านทันที อ่านแล้วก็นึกขำอยู่ในใจว่า อาจารย์ชาญวิทย์ท่านแค่ไปยกประวัติศาสตร์การเมืองที่สาธารณชนรับรู้กันอยู่แล้วมาเตือนสติคุณชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นนักศึกษาเรียนร่วมสถาบันกับท่านมาเท่านั้นเอง
ท่านเล่าถึงบทบาทการเมืองซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนั้นเลือกที่จะเล่น นั่นคือออกมาใช้สิทธิประท้วงนอกรัฐสภาแบบหาเรื่อง ซึ่งในครั้งนั้นต้องสู้กับระบอบ “เผด็จการครึ่งใบ” ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในห้วงเวลาหลังจากบทบาทในรัฐสภา บวกกับการรัฐประหาร ๘ พ.ย. พ.ศ.๒๔๙๐ ได้โค่นอำนาจของ นายปรีดี พนมยงค์ลงแล้ว ท่านชี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์มีประวัติศาสตร์ที่ใช้วิธีการตีคู่อย่างนี้มาตลอด นั่นคือประชาธิปไตย (ในรัฐสภา) และอนาธิปไตยหรืออำนาจใหญ่อยู่กับฝูงชนไร้ระเบียบ (การชุมนุมนอกรัฐสภา) ซึ่งอาจนำไปสู่ “กลียุค” ได้ ผมสงสัยว่าข้อความพื้นๆ เท่านั้น ไปจุดไฟในหัวใจอะไรนักหนาในใจของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ อารมณ์โกรธแค้นจนลุกขึ้นมาเต้นเร่าๆ อย่างนั้น มาจากไหนหรือ แล้วผมก็ค่อยๆ เกิดข้อสรุปขึ้นมาเองว่า ชะรอยพรรคประชาธิปัตย์จะรู้ที่มาของตัวเองไม่น้อยไปกว่าผู้คนที่เขาวิพากษ์พรรคประชาธิปัตย์อยู่ รู้ตัวดีทีเดียวว่าเป็นตัวแทนของระบอบอะไรที่สิงสู่อยู่ในสังคมไทย คำเตือนเนิบๆ ในสไตล์ของอาจารย์ชาญวิทย์จึงเสมือนน้ำมนต์ที่สาดไล่ผีได้ชะงัดนัก มโนภาพของผมคือ อาจารย์ชาญวิทย์นั่งเป็นหลวงตาอยู่หน้าคนที่เขาจับตัวมาให้รักษาในทางผี ท่านสาดธรรมะเข้าให้เพียงคำสองคำ ผีก็กระโดดผึงถลึงตาใส่หลวงตาในทันที แต่ก็ทำอะไรหลวงตาไม่ได้เพราะหลวงตาท่านเล่นยกสัจธรรมมากำหลาบ เรื่องนี้น่าขำตรงที่ว่าหลวงตาชาญวิทย์ท่านไม่ได้ไปยกงานวิจัยที่ใช้ข้อมูลใหม่อะไรมาเลย ท่านเอาของเดิมๆ มาเตือนใหม่ แต่ดูจะถูกจังหวะเวลาเท่านั้นเอง ภาพนี้น่าจะทำให้มวลชนประชาธิปไตยสบายใจได้ว่า ยุคที่คนไทยส่วนมากไม่รู้ประวัติศาสตร์การเมืองของตนเอง จนเผลอให้ผู้ร้ายยุคสงครามเย็นทุบตีทำลายผู้ที่กำลังมุ่งมั่นพัฒนาระบอบประชาธิปไตย น่าจะหมดไปแล้ว จากนี้ไปเราจะให้ความรู้แก่กันและกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัญญามาแทนที่อวิชชา และจนความสว่างเข้ามาแทนความมืด ถึงต้องคลื่นเหียนกันบ้างเมื่อได้เห็นซากเดนเผด็จการพยายามลากเกวียนเล่มเดิมกันต่อไปอย่างข้างๆ คูๆ ก็เถิด เลือกมองแบบตลกขบขันเสียบ้างก็อาจจะพอทนไหว
ใครดิ้นเร่าๆ อยากสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปนัก ลองถามแบบ คุณอำพล ลำพูน ที่เขียนเหน็บในทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาว่า ส.ว.สรรหา ชาวบ้านไม่เข้าใจ ใครหา ใครสรร การสรรหาเป็นอำนาจของใครกันแน่ ก็จะใกล้คำตอบกลางใจของประเทศไทยเข้าไปทุกทีครับ.
จาก Face คุณจักรภพ
................................................................................................................
คำตอบกลางใจของประเทศไทยน่ะ
ประชาชนชาวไทยเขามีกันอยู่แล้วละค่ะ
แต่พูดมะด้ายยย