ด้วยความบังเอิญครับที่ผมพิมพ์คำนี้ นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา
ในช่องค้นหารูป กลับเป็นภาพของท่านขึ้นมา (คือ อยากได้ภาพที่เป็นกลอนนี้) เลยนึกถึงท่านขึ้นมา
ในสายตาคนที่ไม่รู้เเละไม่สนใจการเมืองในสมัยนั้น เห็นท่านห่ามๆดี จนวันที่ท่านได้เป็น นายก เเละ ถูกปลดด้วยข้อกล่าวหาที่..........
สงสารที่บั้นปลายชีวิตท่านจะจบลงเเบบไม่สวยงามเท่าไร เพราะอะไร? ทุกคนคงรู้ ผมนับถือท่านด้วยใจจริง อย่างที่บอกผมไม่ค่อยสนใจ
การเมืองเเต่หากใครมีเรื่องน่าสนใจ เกี่ยวกับท่านกรุณาลงให้ด้วยนะครับ พอดีผมเจอเรื่องน่ารักเกี่ยวกับท่าน ขออนุญาตินำลงนะครับ
สมัคร สุนทรเวช กับชีวิตเบื้องลึก สตรีหมายเลข 1 ของ สมัคร
สมัคร เคยพูดถึง ภรรยา ไว้ในหนังสือ การเมืองเรื่องตัณหา ซึ่งเป็นหนังสืออัตชีวประวัติสมัคร สุนทรเวช โดย myst-man นำมาโพสต์ไว้ในเว็บไซต์ พันทิป ว่า ไปพบรักกับภรรยาที่มหาวิทยาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยขณะนั้นตนเองเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ ส่วนคุณหญิงสุรัตน์เรียนอยู่ทีคณะบัญชี
...ตอนที่ผมโตเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้ว ผมก็รู้จักชอบ รู้จักรักผู้หญิงเหมือนกับชายหนุ่มทั้งหลาย และสำหรับชายที่บังเอิญมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย คนที่ไปรักไปชอบนั้นก็เห็นจะไม่พ้นคนที่เรียนหนังสืออยู่สำนักเดียวกัน เพราะยังงั้นหลังจากที่ได้มีโอกาสรู้จักมักคุ้นมีเพื่อนมีฝูงทั้งใกล้ทั้งไกลมากมายอยู่พักหนึ่งแล้ว คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมจนถึงขั้นจะตกลงปรงใจกันก็เป็นชาวท่าพระจันทร์ด้วยกันนั่นแหละ ผมเรียนกฎหมาย คุณเธอเรียนบัญชี...
...ถึงตอนนี้ผมอยากจะขออนุญาตเล่าลงไปให้ถึงรายละเอียดสักนิดเพื่อให้ ไอ้บรรดาคอลัมนิสต์ เลวชาติ ทั้งหลายมันได้รู้กันว่าคนอย่างผมนั้น เริ่มก่อร่าง สร้างตัว ขึ้นมาจากความไม่มีอะไรโดยไม่ต้องทุจริตคดโกงอย่างที่พวกมันหลับหูหลับตาคิดกันอย่างไร...
หลังจากที่รักใคร่ชอบพอกันแล้ว สมัคร ก็ตัดสินใจขอหมั้น คุณหญิงสุรัตน์ ก่อนที่จะไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ โดยสัญญากันเป็นหมั่นเหมาะว่าหากเรียนจบกลับมาแล้วค่อยแต่งงานกัน
...ผมตกลงกันว่า เรียนหนังสือเสร็จแล้ว ผมจะทำงานเก็บเงิน เพื่อให้คู่หมั้นผมบินไปแต่งงานกันที่โน่น
แต่แล้วด้วยความที่ไม่ต้องการให้เกิดการสิ้นเปลือง จากเดิมที่วางไว้ว่าจะไปทำพิธีแต่งงานที่สหรัฐฯ ก็ได้เปลี่ยนแผนมาแต่งที่ญี่ปุ่นแทน เพราะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า โดยทั้งคู่จัดพิธีแต่งงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีท่านอุปทูตเป็นประธาน เมื่อปี 2511
...ท่านผู้อ่านคงจะนึกสงสัยว่าทำไมผมสองคนถึงได้ดิ้นรนอยากจะออกมาแต่งงานเมืองนอก คำตอบที่บอกได้โดยไม่ต้องอาย ก็คือเราไม่มีเงิน เพราะเราเคยนั่งคิดกันแล้วว่าในฐานะที่เคยเป็นชาวมหาวิทยาลัยที่ออกจะเป็นคนมีเพื่อนฝูงมากทั้งคู่ ถ้าแต่งงานแล้วมีเลี้ยงดูกันอย่างพอสมควรในเมืองไทย ค่าใช้จ่ายเห็นจะไม่หนี 4-5 หมื่นบาท เงินขนาดนั้นผมจะไปหากันมาจากที่ไหน แต่ถ้าเลือกไปแต่งงานที่สถานทูตในญี่ปุ่นตอนที่ผมเดินทางกลับจากเรียนหนังสือ คู่หมั้นผมเพียงแต่เสียค่าเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ-โตเกียว ราคา 7,300 บาท โดยวิธีซื้อแบบบินก่อนผ่อนที่หลัง เพียงเดือนละ 300 กว่าบาท เท่านั้นเอง...
ครั้งหนึ่ง นายสมัคร เคยให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสารสกุลไทย เมื่อครั้งรับรางวัล ครอบครัวส่งเสริมประชาธิปไตย ประจำปี 2544 ถึงการอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ว่า ดูแลเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่อย่างใกล้ชิดในช่วงอายุ 1-6 ปีแรก ให้ความเอาใจใส่เรื่องการเรียนของลูก ในช่วงชั้นประถมและมัธยมต้น ให้ลูกเป็นตัวของตัวเองในช่วงมัธยมปลาย รวมทั้งการตัดสินใจเข้าเรียนต่อในชั้นอุดมศึกษา ร่วมหาสถานที่เรียนให้ลูกในการเรียนต่อต่างประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ลูกโตแล้ว ก็ให้สิทธิเสรีภาพในการไปไหนมาไหน แต่ต้องบอกเวลาไปและประมาณเวลากลับ
ยามที่ปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว วิธีการแก้ไขปัญหาคือการตั้งวงสนทนาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งแสดงแนวคิดในการแก้ไขปัญหา และแสดงท่าทีให้ลูกเห็นว่า พ่อแม่พร้อมที่จะร่วมมือในการแก้ปัญหาเสมอ ลูกทั้งสองคนมีความคิดเป็นของตัวเอง ในขณะเดียวกันลูกทั้งสองก็ฟังความคิดเห็นของพ่อแม่ การได้กินข้าวพร้อมกัน ดูทีวีช่วงข่าวพร้อมกัน มีการแสดงความคิดเห็นต่อการรายงานข่าวก็ร่วมกันแสดงความเห็นของตนเอง เมื่อเห็นว่ามีสิ่งที่ควรแสดงความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ยังทำอยู่แม้จนปัจจุบันที่กินข้าวร่วมกันทั้ง 6 คน ในครอบครัว นายสมัคร กล่าว
เห็นการเมืองปัจจุบันเเล้วคิดถึง "คุณ สมัคร สุนทรเวช"
ในช่องค้นหารูป กลับเป็นภาพของท่านขึ้นมา (คือ อยากได้ภาพที่เป็นกลอนนี้) เลยนึกถึงท่านขึ้นมา
ในสายตาคนที่ไม่รู้เเละไม่สนใจการเมืองในสมัยนั้น เห็นท่านห่ามๆดี จนวันที่ท่านได้เป็น นายก เเละ ถูกปลดด้วยข้อกล่าวหาที่..........
สงสารที่บั้นปลายชีวิตท่านจะจบลงเเบบไม่สวยงามเท่าไร เพราะอะไร? ทุกคนคงรู้ ผมนับถือท่านด้วยใจจริง อย่างที่บอกผมไม่ค่อยสนใจ
การเมืองเเต่หากใครมีเรื่องน่าสนใจ เกี่ยวกับท่านกรุณาลงให้ด้วยนะครับ พอดีผมเจอเรื่องน่ารักเกี่ยวกับท่าน ขออนุญาตินำลงนะครับ
สมัคร สุนทรเวช กับชีวิตเบื้องลึก สตรีหมายเลข 1 ของ สมัคร
สมัคร เคยพูดถึง ภรรยา ไว้ในหนังสือ การเมืองเรื่องตัณหา ซึ่งเป็นหนังสืออัตชีวประวัติสมัคร สุนทรเวช โดย myst-man นำมาโพสต์ไว้ในเว็บไซต์ พันทิป ว่า ไปพบรักกับภรรยาที่มหาวิทยาธรรมศาสตร์และการเมือง โดยขณะนั้นตนเองเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ ส่วนคุณหญิงสุรัตน์เรียนอยู่ทีคณะบัญชี
...ตอนที่ผมโตเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้ว ผมก็รู้จักชอบ รู้จักรักผู้หญิงเหมือนกับชายหนุ่มทั้งหลาย และสำหรับชายที่บังเอิญมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย คนที่ไปรักไปชอบนั้นก็เห็นจะไม่พ้นคนที่เรียนหนังสืออยู่สำนักเดียวกัน เพราะยังงั้นหลังจากที่ได้มีโอกาสรู้จักมักคุ้นมีเพื่อนมีฝูงทั้งใกล้ทั้งไกลมากมายอยู่พักหนึ่งแล้ว คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมจนถึงขั้นจะตกลงปรงใจกันก็เป็นชาวท่าพระจันทร์ด้วยกันนั่นแหละ ผมเรียนกฎหมาย คุณเธอเรียนบัญชี...
...ถึงตอนนี้ผมอยากจะขออนุญาตเล่าลงไปให้ถึงรายละเอียดสักนิดเพื่อให้ ไอ้บรรดาคอลัมนิสต์ เลวชาติ ทั้งหลายมันได้รู้กันว่าคนอย่างผมนั้น เริ่มก่อร่าง สร้างตัว ขึ้นมาจากความไม่มีอะไรโดยไม่ต้องทุจริตคดโกงอย่างที่พวกมันหลับหูหลับตาคิดกันอย่างไร...
หลังจากที่รักใคร่ชอบพอกันแล้ว สมัคร ก็ตัดสินใจขอหมั้น คุณหญิงสุรัตน์ ก่อนที่จะไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ โดยสัญญากันเป็นหมั่นเหมาะว่าหากเรียนจบกลับมาแล้วค่อยแต่งงานกัน
...ผมตกลงกันว่า เรียนหนังสือเสร็จแล้ว ผมจะทำงานเก็บเงิน เพื่อให้คู่หมั้นผมบินไปแต่งงานกันที่โน่น
แต่แล้วด้วยความที่ไม่ต้องการให้เกิดการสิ้นเปลือง จากเดิมที่วางไว้ว่าจะไปทำพิธีแต่งงานที่สหรัฐฯ ก็ได้เปลี่ยนแผนมาแต่งที่ญี่ปุ่นแทน เพราะประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า โดยทั้งคู่จัดพิธีแต่งงานที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีท่านอุปทูตเป็นประธาน เมื่อปี 2511
...ท่านผู้อ่านคงจะนึกสงสัยว่าทำไมผมสองคนถึงได้ดิ้นรนอยากจะออกมาแต่งงานเมืองนอก คำตอบที่บอกได้โดยไม่ต้องอาย ก็คือเราไม่มีเงิน เพราะเราเคยนั่งคิดกันแล้วว่าในฐานะที่เคยเป็นชาวมหาวิทยาลัยที่ออกจะเป็นคนมีเพื่อนฝูงมากทั้งคู่ ถ้าแต่งงานแล้วมีเลี้ยงดูกันอย่างพอสมควรในเมืองไทย ค่าใช้จ่ายเห็นจะไม่หนี 4-5 หมื่นบาท เงินขนาดนั้นผมจะไปหากันมาจากที่ไหน แต่ถ้าเลือกไปแต่งงานที่สถานทูตในญี่ปุ่นตอนที่ผมเดินทางกลับจากเรียนหนังสือ คู่หมั้นผมเพียงแต่เสียค่าเครื่องบินไปกลับกรุงเทพฯ-โตเกียว ราคา 7,300 บาท โดยวิธีซื้อแบบบินก่อนผ่อนที่หลัง เพียงเดือนละ 300 กว่าบาท เท่านั้นเอง...
ครั้งหนึ่ง นายสมัคร เคยให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสารสกุลไทย เมื่อครั้งรับรางวัล ครอบครัวส่งเสริมประชาธิปไตย ประจำปี 2544 ถึงการอบรมเลี้ยงดูลูกๆ ว่า ดูแลเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่อย่างใกล้ชิดในช่วงอายุ 1-6 ปีแรก ให้ความเอาใจใส่เรื่องการเรียนของลูก ในช่วงชั้นประถมและมัธยมต้น ให้ลูกเป็นตัวของตัวเองในช่วงมัธยมปลาย รวมทั้งการตัดสินใจเข้าเรียนต่อในชั้นอุดมศึกษา ร่วมหาสถานที่เรียนให้ลูกในการเรียนต่อต่างประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ลูกโตแล้ว ก็ให้สิทธิเสรีภาพในการไปไหนมาไหน แต่ต้องบอกเวลาไปและประมาณเวลากลับ
ยามที่ปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว วิธีการแก้ไขปัญหาคือการตั้งวงสนทนาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งแสดงแนวคิดในการแก้ไขปัญหา และแสดงท่าทีให้ลูกเห็นว่า พ่อแม่พร้อมที่จะร่วมมือในการแก้ปัญหาเสมอ ลูกทั้งสองคนมีความคิดเป็นของตัวเอง ในขณะเดียวกันลูกทั้งสองก็ฟังความคิดเห็นของพ่อแม่ การได้กินข้าวพร้อมกัน ดูทีวีช่วงข่าวพร้อมกัน มีการแสดงความคิดเห็นต่อการรายงานข่าวก็ร่วมกันแสดงความเห็นของตนเอง เมื่อเห็นว่ามีสิ่งที่ควรแสดงความเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ยังทำอยู่แม้จนปัจจุบันที่กินข้าวร่วมกันทั้ง 6 คน ในครอบครัว นายสมัคร กล่าว