ต้องเข้าใจก่อนว่าปริมาณหุ้นที่ซื้อขายกันแต่ละวันนั้นมีสัดส่วนน้อยมากต่อหุ้นทั้งหมดที่มี ยกตัวอย่างเช่น จำนวนทั้งตลาดมี 100 หุ้น
แต่ที่ซื้อขายในแต่ละวันอาจมีเพียง 5% เท่านั้น ซึ่งหุ้นส่วนที่เหลืออยู่ในมือเจ้าของกิจการ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นักลงทุน VI
ที่จะไม่มาตั้งซื้อขายในแต่ละวัน ดังนั้นเวลานักลงทุนต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองทุนจากต่างประเทศ ซึ่งถือหุ้นอยู่จำนวนมาก เวลาขาย
เขาไม่อาจจะมารินขายที่ละช่องสองช่องได้ เมื่อได้รับคำสั่งมา เขาจะเทขายทุกช่อง หรือซื้อทุกช่อง จนได้เป้า ซึ่งมันมีผลกระทบต่อ
ราคาหุ้นมาก เพราะจำนวนหุ้นที่ซื้อขายในแต่ละวัน อาจมีเพียงแค่ 2-5 % เท่านั้น

โดยที่ราคาหุ้นไม่ได้ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเปลี่ยนไปแต่อย่างใด กองทุนต่างชาติพวกนี้มักจะเคลื่อนย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์
ทางการลงทุนที่เขาคิดว่าให้ผลตอบแทนสูงสุด เช่น สหรัฐอเมริกามีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย กองทุนพวกนี้ก็จะขายหุ้นแล้วเอาเงินไปซื้อตราสารหนี้
แทนเพราะให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับความเสี่ยง ซึ่งในสหรัฐผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยมักจะผกผันกับผลตอบแทนจากหุ้น

ผิดกับประเทศไทยที่ดอกเบี้ยขณะนี้มักจะในระดับต่ำ ไม่ว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นจะดีหรือไม่ดี

ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นักลงทุนควรพิจารณาว่าพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนไปหรือไม่ หากไม่ นั่นคือโอกาส