ไม่ทราบว่าแม่ชีที่มีพฤติกรรมเช่นนี้จะสามารถเอาผิดในทางพระธรรมวินัยและกฏหมายได้หรือไม่ อย่างไรคับ

กระทู้คำถาม
อาจจะยาวสักหน่อยต้องขอโทษไว้ด้วยน้ะคับ
คือแม่ผมได้ตั้งใจจะไปบวชชีที่วัดถ้ำขวัญเมืองในจังหวัดชุมพร ซึ่งวัดนั้นเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วขณะที่ท่านหลวงปู่สรวง ปริสุทโธ (เป็นพระอรหันต์) ท่านยังไม่มรณภาพท่านได้เน้นการสอนเรื่องการนั้งกรรมฐานและมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน จากคนรู้จักที่แนะนำมา แต่เมื่อไปถึงได้ไปรู้เรื่องราวเกี่ยวกับวัดจากชาวบ้านในพื้นที่ และได้ไปพบกับตัวเองว่าเดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยเข้าวัดเพราะในวัดมีแม่ชีท่านหนึ่งชื่อแม่ชีเชอรี่ ได้ทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมดังนี้
1. ความไม่เหมาะสมในการเป็นแม่ชีของแม่ชีเชอรี่
    1.1 การแต่งกายไม่เหมาะสม
        -  มีการใส่ยกทรงที่สวยงาม
        -  มีการใช้เครื่องประทินผิวทาให้หน้าขาว ทาปากแดง
        -  ผูกผ้าพันคอลายดอก
        -  ใช้กระเป๋าแบรนด์เนมสีฉูดฉาดราคาแพงไม่เหมาะกับผู้ปฏิบัติธรรม (เท่าที่สังเกตุดูจากภาพกิจกรรมในวัด ท่านมีหลายใบ)
        -  ใส่นาฬิกาข้อมือ
      1.2  พรมน้ำมนต์ในพิธีต่างๆ ซึ่งไม่แน่ใจว่าใช่กิจของแม่ชีหรือเหมาะสมหรือไม่ เพราะในวัดมีพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมาก
      1.3 ไม่ทำกิจของแม่ชี
        - ไม่ทำวัตรเช้า-เย็น
        - ไม่ขึ้นถวายสังฆทานซึ่งที่ทุกคนต้องทำ
      1.4 ไปกิจนิมนต์กับเจ้าอาวาสทุกงานซึ่งไม่เหมาะสมในด้านของความใกล้ชิดระหว่างพระสงฆ์และแม่ชี
      1.5 ไม่ทานอาหารที่โรงทานในวัดปรุง (ซึ่งทุกคนต้องทานอาหารจากส่วนนี้) แต่ท่านสั่งจากข้างนอกมาทาน
      1.6 วาจาไม่สุภาพ
2. อำนาจทุกอย่างขึ้นอยู่กับแม่ชี
    2.1 การบวชพระภิกษุ ให้อำนาจอยู่ที่แม่ชีเป็นผู้รับและมีอำนาจเด็ดขาดในการให้บวช ซึ่งตามจริงน่าจะเป็นกิจของสงฆ์ในการตัดสินใจ  
    2.2 แม่ชีเชอรี่มีการให้เงินเดือนแม่ชีในวัด แต่ต้องเชื่อฟังและรับคำสั่งจากท่าน และพระในวัดไม่สามารถว่ากล่าว ตักเตือน หรือแนะนำท่าน  
    2.3 พระทุกรูปในวัดจะต้องฟังคำสั่งจากแม่ชีเท่านั้น ใครผิดคำสั่งก็โดนแม่พูดด้วยถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ซึ่งดูแล้วเป็นการกระทำที่ไม่สมควร
3. มีการห้ามบุคคลเข้าวัด
    3.1 มีการห้ามบุคคลอื่นเข้าวัดโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน ซึ่งโดยมากเป็นผู้ที่มีความเห็นไม่ตรงกับท่าน และพยายามขุดคุ้ยข้อสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างแม่ชีและเจ้าอาวาส ท่านจึงมีประกาศห้ามบุคคลเหล่านั้นเข้ามาวัดอีก
4. ออกกฏระเบียบของการมาถือศีลที่ไม่สมควร
    4.1 ให้มาถือศีลอยู่ได้ไม่เกิน 7วัน เมื่อครบ 7 วันต้องออกจากวัดห้ามอยู่เกิน
    4.2 ห้ามซักผ้าโดยเด็ดขาด โดยมีการออกกฏว่าถ้าจะอยู่วัดในจำนวนกี่วันต้องซื้อชุดเท่าที่จะอยู่ซึ่งราคาชุดละ 300 บาท (ในขณะที่ แม่ชี ผู้ถือศลีบางคนซักได้) ซึ่งถ้าจับได้ว่าใครซักในวัดคนนั้นต้องโดนไล่ออกจากวัด
    4.3 ชุดที่ซื้อต้องเป็นของที่วัดเท่านั้น ห้ามใส่ชุดอื่น
    4.4 ใครอยู่ไม่ครบจำนวนที่ลงทะเบียน เช่นบอกว่าจะอยู่ 7 วันก็ต้องอยู่ให้ครบ แต่ถ้าอยู่ไม่ครบแล้วมีเหตุให้ต้องออกจากวัดก่อน ไม่ว่ามีเหตุผลใดก็ตาม ห้ามบุคคลนั้นเข้ามาถือศลีในวัดอีกเด็ดขาด
    4.5 ผู้ถือศีลต้องทำงานตามคำสั่ง  ถ้าไม่ทำก็ห้ามเข้ามาถือศีลอีกเด็ดขาด
    4.6 ถ้าแม่ชีเชอรี่ไม่พอใจใคร คนนั้นก็ไม่สามารถเข้ามาถือศีลในวัดได้อีก
5. ระเบียบการปฏิบัติตัวในการอยู่วัด
    - ห้ามผู้ที่มาถือศีลในวัดใส่บาตรพระในเขตวัดโดยเด็ดขาด
    - มีกฏข้อห้ามไม่ให้ผู้ถือศลีเดินไปยังที่ต่างๆ (ที่ๆห้ามไม่ใช่ที่ๆเป็นเขตของสงฆ์)
    - ห้ามจำหน่าย หรือแจกจ่าย หนังสือและซีดีบันทึกเสียงเทศน์และคำสอนของหลวงพ่อสรวง ปริสุทโธ(พระอรหันต์) ซึ่งท่านเป็นผู้ริเริ่มการสร้างวัด และเป็นครูผู้สอนกรรมฐาน

เมื่อแม่ผมเห็นว่าวัดนี้มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสมจึงได้ไปบวชชีที่วัดพะเนียดที่อยู่ใกล้ๆกันแทน ซึ่งวัดนั้นก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่สรวง เช่นกัน ผมเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายผู้ที่อยู่ในศาสนา แต่ถ้าบุคคลนั้นประพฤติในสิ่งอันไม่สมควร ซึ่งไม่เพียงแต่คนนั้นจะเสียหายเพียงคนเดียว แต่จะทำให้พระพุทธศศาสนาต้องหม่นหมองไปด้วย ผมจึงอยากรู้ว่าพอจะมีวิธีไหนบ้างในการเข้าไปตรวจสอบ หรือแจ้งผู้ที่เกียวข้องที่ไหน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ผมเป็นคนหนึ่งที่ค้นหาเส้นทางปฏิบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อหวังจะออกจากวัฏสงสารอันน่าเบื่อนี้
ทั้งเดินตามคำสอนครูบาอาจารย์มากมายหลายท่าน แต่ด้วยความโง่เขลา จึงยังไม่สามารถเข้าถึงธรรมของครูบาอาจารย์เหล่านั้นได้ลึกซึ้งเห็นผล

หลังจากมีผู้แนะนำ หลวงปู่สรวงให้ ทางปฏิบัติท่านแปลกกว่าที่เคยเห็นมา ด้วยศรัทธา ผมจึงดั้นด้น พันกว่ากิโลเมตรเพื่อไปถึงวัดของหลวงปู่
ผมไปคนเดียว ไม่รู้จักใคร จึงเป็นเรื่องที่รู้สึกแปลกอยู่บ้าง ทั้งไม่เคยเข้าไปถือศีลค้างที่วัดเลย
ครั้งแรกที่เข้าไป เนื่องจากไม่รู้จักใคร ผมรู้สึกว่า ระเบียบข้อปฏิบัติทั้งหลาย มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดแทนที่จะโปร่งโล่งสบาย
เหมือนวัดหลายๆวัดที่เป็นสายปฏิบัติธรรมยุตินิกาย ด้วยข้อกำหนดหลายอย่างที่หาเหตุผลรองรับตามสมควรไม่ค่อยได้

เพียงอยู่ผ่านได้ 1 คืน ผมรู้สึกว่า การปฏิบัติผม ไม่ได้ดีขึ้น และการคลุกคลีรวมอยู่กับหมู่คณะ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าการปฏิบัติดีขึ้นกว่าอยู่บ้าน
และไม่ได้สงบสักเท่าไร แม้จะพิจารณาว่า การปฏิบัติ เราเอง เป็นตัวปัญหา ต้องแก้ที่ตัวเองเป็นหลัก
แถมยังเกิดโทสะมากขึ้น เพราะเรารู้สึกว่า เรามาวัด เรามารับธรรม เราก็ไม่ได้อยู่เฉย เราก็มาให้วัด เราก็มาทำนุบำรุงวัด แต่เจ้าหน้าที่บางท่าน
ทำให้ผมรู้สึกเหมือน ผมไปเป็นขี้ข้าเขา เขาจะสั่งอย่างไรผมต้องทำ และเมื่อผมมีปัญหา เจ้าหน้าที่ทำให้ผมรู้สึกว่า วัดไม่ได้ใส่ใจกับผู้มาปฏิบัติธรรม
ไม่ได้นึกว่า ก็ฆราวาสทั้งหลายนี้แล เป็นผู้ทำนุบำรุงศาสนา และเชิดชูวัด
แต่ก็ด้วยเพื่อนๆพี่ๆลุงป้านาอาที่มาปฏิบัติเช่นกันในวัด
ทำให้ผม คลายโทสะลง และนึกในใจตลอดว่า เรามาเพื่อธรรม เราต้องอดกลั้นเพื่อชนะใจตนเอง
เราต้องอยู่เพื่อธรรม ไม่ใช่อยู่เพื่อกิเลสของเรา จึงทำให้ผมอยู่ได้ครบตามกำหนด

ข้อบังคับหลายอย่างในวัด ผมหาเหตุผลไม่ได้ พอคิดแล้ว ข้อห้ามดูจะแรงกว่า ผลร้ายที่จะเกิด
อุปมา เหมือนบอกว่า อย่าใช้มีดอย่าใช้ขวาน เพราะมีดมันคมมันอันตราย เขาจึงให้เอาหินบ้าง เอาเข่าบ้าง มือบ้าง เท้าบ้างเพื่อเข้าป่าไปตัดฟืนมาก่อกองไฟ ฉันใดก็ฉันนั้น

ข้อห้ามของวัด มิอาจแก้ปัญหาในสิ่งที่ต้องการได้เลย แต่กลับส่งผลอีกด้านมากกว่า




เรื่องเล็กๆน้อยๆ บางครั้งเจ้าหน้าที่ก็ดูแข็งกร้าวมาก
ถ้าเป็นพระหรือไม่เป็นพระก็ตาม ถ้ามีเหตุผล ผมยอม แต่นี่ไม่มีเหตุผลรองรับสักเท่าไร
ผมเป็นกังวลว่า ถ้าเกิดมีใครล้มป่วย หรือเสียหายหนักไปเพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่
บุคคลนั้น ไม่ได้เป็นที่รู้จักของคนในวัดที่จะมีคนยื่นมือช่วยเหลือ การที่อ้างข้อบังคับแล้ว เจ้าหน้าของวัดจะรับผิดชอบอย่างไร?
ทำไมต้องทำกันถึงขนาดนั้น!? กฏจำเป็นต้องเคร่ง ไม่ว่า จะเกิดผลอย่างไรตามมากระนั้นหรือ?
ซึ่งถ้าผมเล่า หลายท่านในที่นี่คงตอบว่า ทำเกินไปมาก ทั้งที่ไม่ได้ขัดระเบียบอะไรร้ายแรง แต่ผมขอยกไว้ ไม่เล่าในรายละเอียด
เพราะเมื่อกระทบวัด  ย่อมกระทบคนดีในวัดไปด้วย สาธุชนท่านที่ไปวัด ย่อมโดนกระทบกันหมด


ผมจึงมองว่า ทางเดินของหลวงปู่ เมื่อผมพอทราบแล้ว ผมจึงขอนำไปปฏิบัติเอง
ในที่ที่สบายใจ ในที่ที่เงียบสงบ ในที่ไม่พลุกพล่าน ในที่สมถะในแบบของผม น่าจะเหมาะกับจริตผมมากกว่าจะไปวัด
เมื่อถึงคราวคับข้องใจ จึงค่อยไปสอบถามพระอาจารย์ แต่จะไม่อยากถือศีลปฏิบัติธรรม อยู่ที่วัด ใจผมคิดไปอย่างนี้

อนึ่งสำหรับเรื่องที่เจ้าของกระทู้ตั้ง
ผมมีความเห็นจำกัด เนื่องจากผมเอง ไม่ได้พูดคุยกับชีที่ท่านว่าเป็นการส่วนตัว
และผมก็ไม่ทราบว่า ชี ท่านถือศีล 5 หรือ 8  แต่ผมเดาว่า น่าจะไม่ใช่ 8 เพราะชีท่านนี้ดูมีการแต่งตัว ไม่เหมือนชีปกติทั่วไปที่มีแต่เครื่องนุ่งห่ม
เพียงเท่านั้น ไม่ได้มีการเสริมแต่งร่างกายอื่นใด แปลกที่ท่านยอมโกนหัว แต่ท่านยังแต่งตัวไปเพื่ออะไร

แต่แม้ว่าเป็นชี ผมมีความเห็นทางสิทธิส่วนบุคคลว่า การที่ท่านจะเลือกใช้ของแพงเป็นการส่วนตัว ก็ถือเป็นสิทธิส่วนตัว แต่ถ้าท่านเอาเงินบริจาคของฆราวาสไปใช้ล่ะก็ นรกแน่ๆ และไม่ต่างกับพระที่เป็นข่าวกันโครมๆ กรณีนี้ คงให้ DSI เข้าไปสืบราชการได้ เพราะช่วงนี้  DSI ขยันทำข่าวผิดปกติ จนผมนึกว่า DSI เป็นเจ้าหน้าที่การข่าวเสียอีก


และในทางจารีตของสังคม จะมองว่าไม่ดี ไม่งาม เพราะการบวชชี ก็ตาม พระก็ตาม ถือศีล 5 8 10  227 ก็ตาม เข้ามาในพระพุทธศาสนา
ย่อมทำเพื่อการทำลายกิเลส ย่อมทำเพื่อล้างความชั่วในจิตใจตัวเองให้สะอาด การใช้ของเหล่านั้น จึงไม่ตรงกับทางของศาสนานัก
ที่ให้งามข้างใน ไม่ใช่เพื่องามข้างนอก
หรือถ้าสิ่งที่เจ้าของกระทู้พูดเป็นเรื่องจริง การที่เดินทาง ชีต้องหาวิธีในการแยกตัวออกจากพระสงฆ์ ทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้สตรี และพระ ออกห่างจากกัน เพราะก็เป็นจารีตประเภณีอันดีงามอีกนั่นแล
และผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ว่าถือศีลใด ไม่เพียงระบุแต่ชี นะครับ

ย่อมควรเป็นบุคคลเลี้ยงง่าย เขามีอะไรก็กิน เขามีให้แค่ไหนก็แค่นั้น ถ้าไม่ไหวจริงๆ หิวมาก ทนไม่ได้ก็ค่อยขนขวายหาเอาตามสมควรตามแต่
ศีลที่ท่านถือ
เขานอนกันอย่างไรก็นอนอย่างนั้น เว้นเสียแต่ ท่านมีเหตุอันสมควรที่ไม่นั่ง ไม่นอน ไม่รับประทานเหมือนคนทั่วไป เช่นมีโรคประจำตัว อันนี้ก็ควรยกเว้นผ่อนปรนตามสมควร ไม่ใช่เคร่งแต่กฏ

แต่ไม่สมควรยิ่งในการขวนขวายเพื่อการอยู่กินให้มากเกิน ไม่ใช่ว่า อยู่วัด เขาทำแกงจืด
ท่านรับประทานไม่ได้ ท่านโทรสั่ง Pizza  KFC มาทาน อย่างนี้เขาเรียกว่าเลี้ยงกิเลส ไม่ใช่ลดกิเลส
อย่างนี้ ผมก็ไม่รู้ว่า จะไหว้ท่านผู้ถือศีลเหล่านี้ เพื่อความดีส่วนใด




ส่วนเรื่องว่า พระต้องฟังคำสั่งแม่ชี อันนี้ผมคิดว่าน่ากลัวมาก ถ้าเป็นจริง เพราะขัดกับหลักศาสนามาก
แม้ว่าสมัยพุทธกาล ผมเคยได้ยินว่า แม้ภิกษุณี ผู้ถือศีลถึง 311 ข้อ แม้จะพรรษาร้อยปี
แต่หากมีภิกษุบวชใหม่แม้พรรษา 1 วัน ภิกษุณีเหล่านั้น ก็ย่อมต้องทำความเคารพต่อภิกษุนั้น
ถ้าผมผิดถูกประการใด ขอชี้แนะให้ชัดเจนในข้อนี้ต่อไป

ซึ่งเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ภิกษุณีผู้ถือศีลถึง 311 ข้อยังต้องเคารพพระภิกษุ  
แล้วชีจะบังคับบัญชาภิกษุย่อมเป็นเรื่องที่บาปและขัดกับสิ่งที่
พระพุทธองค์บัญญัติไว้อย่างร้ายแรง แต่อันนี้ผมไม่ทราบความจริงว่าเรื่องเกิดกับวัดเรื่องนี้เท็จจริงประการใด
ไม่ทราบศิษย์วัดท่านใดเคยบวช จริงหรือไม่อย่างไร หน้าที่ควรเป็นของเจ้าอาวาสในการว่ากล่าวตักเตือนพระลูกวัดของท่านมากกว่าชี
ถึงแม้จะได้รับมอบจากเจ้าอาวาสให้ดูแลวัดก็ตามที







สำหรับเรื่องการที่แม่ชีให้เงินกับเจ้าหน้าที่ต่างๆ อันนี้คงไม่แปลกเท่าใด เพราะทุกคนก็ต้องกินต้องใช้เป็นปกติ
ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ก็ยังเป็นฆราวาส ก็ยังต้องกินใช้ ยังมีครอบครัวได้ แต่ก็ต้องให้ตามสมควรแก่เหตุ ไม่เกินกว่าเหตุ

ยิ่งเงินที่รับมานั้น จากฆราวาสทั้งหลาย ต้องระลึกได้ว่า เป็นเงินเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา บำรุงความดี
ถ้าเกินพอดี ย่อมเป็นบาป หากการใช้จ่ายข้าวของ ประดับประดาต่างๆ
ข้าวของ ของชีที่ท่านเจ้าของกระทู้ว่า หากเป็นเงินส่วนตัว การก้าวล่วงคงลำบาก
คงได้แต่ว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อจารีตอันดีงามเท่านั้น แต่คงไม่ได้มีความผิดถึงขั้นเอาผิดได้


แต่ผมว่า เรื่องบังคับพระได้นี่ ถ้าเป็นจริง บาปมากๆ ถึงเอาผิดไม่ได้ แต่ผมว่า อันตรายต่อพระศาสนาเรามากๆ
คงต้องรอความเห็นท่านที่เคยบวชวัดนี้ ว่าจริงไม่จริงอย่างไร




ส่วนเรื่องห้ามคนเข้าวัดนี่ผมสงสัยมากพอสมควร เห็นมีภาพถ่ายแปะตามตึกไว้เลย
ซึ่งผมมองว่า ถ้าคนเหล่านี้ ทำอะไรไม่ถูกน่าจะแจ้งไปทางตำรวจให้จัดการ การที่ไปแปะไว้อย่างนั้น
ตามกฏหมายอาจจะมองว่าไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำให้มองเหมือนว่าก่อให้เกิดความเกลียดชังได้
แต่ผมก็ยังไม่ทราบ ว่าเหตุผลของการขึ้น Black list เหมือน 7-11 ขึ้นภาพขโมยนั้น มีเหตุผลแท้จริงคืออะไร
ได้รับทราบแต่เพียงให้ผมเข้าใจว่า เขาสร้างปัญหา หรือความแตกแยกในวัด ซึ่งผมมองว่า แรงไปสักหน่อย
ท่านอื่นไม่สงสัย แต่ผมสงสัย และผมยอมรับว่าแคลงใจในความจริง เพราะถ้ามันไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ถือว่า วัดไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเขา
และเป็นผลลบกับวัดมากกว่า เช่นว่า ถ้าผมแสดงตัวในที่นี้ เพื่อให้วัดปรับปรุงในบางแง่ แล้วอยู่ๆเกิดมีใครไปใส่ไฟต่อ ว่าผมจะทำวัดแตกแยก

ผมก็ซวย ผมจะต้องไปถูกตราหน้าบนบอร์ด ว่าเป็นคนไม่ดี ต่อศาสนา ผมรู้สึกว่าจะแรงไป
ถ้าผิดตามตัวบทกฏหมาย จับส่งตำรวจดำเนินคดีเลยน่าจะดีกว่า ส่วนเรื่องว่าทำไม วัดจึงมี Black list ร้ายแรงขนาดนั้น ผมจนใจ ถามหลายท่าน ก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนสมเหตุผล และเกิดว่า เจ้าตัวเขามาพบเข้า เขาเกิดฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท
วัดก็จะลำบากอีก ต้องเสียเงินเสียทองแทนที่จะเอาไปทำนุบำรุงศาสนา ต้องมาใช้เป็นทุนคดีความขึ้นโรงศาล
เป็นการที่วัดสร้างศรัตรูโดยใช่เหตุผมว่า
ถ้าคนไม่ดีมา ท่านก็เรียกเจ้าหน้าที่ ให้ช่วยเชิญออก ลงบันทึกประจำวัน จะเหมาะสมกว่ามาก และการดำเนินการ
ไปอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ วัดไม่เกี่ยวข้อง อย่างนี้ดีต่อวัดมากกว่า ผมสนับสนุน



ครั้งแรกที่ผมมาวัด ผมก็เจอคำว่ามาติกาชุด ทีแรกผมว่าจะเอาชุดไป ผมแปลคำว่ามาติกาไม่ออก
ถ้าเอาชุดไปเองผมก็คงใส่ไม่ได้อีก ก็แปลกใจว่า ถ้าอย่างนั้น บอกว่า ทางวัดมีจำหน่าย ก็ไม่มีใครว่า แค่ชุดละ 300 ไม่ได้แพงอะไรมากมาย
การใช้ความหมาย บางทีเอาง่ายกับฆราวาสก็ดีครับ เพราะคนไปวัดจริงๆ ไม่มีคนคิดเล็กคิดน้อยหรอกครับ ส่วนใหญ่ไปก็ไปให้วัดทั้งนั้น ไอ้ที่ไปเอาคงมี แต่น้อยกว่าไปให้อยุ่ล้ว ยังไงให้ก็เกินกว่าพวกไปรับ

เพราะเราไป ข้าวเราก็พึ่งวัด นอนเราก็พึ่งวัด แต่ก็แปลกใจว่า แล้วถ้าผมมีชุดแล้ว แต่ผมไม่ค่อยมีเงิน
ผมเข้าวัดไม่ได้เหรอนี่? แต่ผมไม่ใช่มิจฉาชีพนะ
แม้ผมจะตั้งใจมา แต่ถ้าผมไม่มีชุดวัด ผมเข้าพักวัดไม่ได้ ในขณะที่โจร ถ้าจะแฝงมา แค่ 300 ลงทุนมาขโมยของคนปฏิบัติธรรม ทำไมจะทำไม่ได้  อันนี้ผมก็ยังมองไม่เห็นว่า จะมีเหตุผลอันสมควรสักเท่าใด คิดแต่ว่า คนเฒ่าคนแก่ เงินทองไม่มาก จะถือศีลเข้าวัดนี้ก็ไม่ได้เสียอีก น่าเสียดายธรรมของหลวงปู่มาก แต่ในทางปฏิบัติ วัดอาจจะอลุ่มอล่วยรึเปล่า อันนี้ผมไม่ทราบ แต่เห็นใส่ของวัดกันหมด
ผมก็ไม่ได้ยากจนขัดสนอะไรมาก ก็ถือว่าช่วยวัดไป แต่ก็เป็นความเห็นเผื่อท่านที่ไม่ค่อยมีทุนทรัพย์ แต่ใจอยากมาปฏิบัติกัน



ส่วนสำคัญมาก การที่บอกว่า สื่อของหลวงปู่ ไม่ให้แจกจ่าย ผมเองก็แปลกใจนะ  การที่บอกว่า จะต้องให้พระอาจารย์ควบคุม
ผมมีความเห็นว่า สติปัญญาแต่ละท่านไม่เท่ากัน บารมีไม่เท่ากัน การที่บางคนไม่เคยฟัง ได้ฟังแล้วศรัทธา ก็จะวิ่งเข้ามาที่วัดมากขึ้น
ดีเสียอีก ชวนคนเข้าวัด
ส่วนพวกฟังแล้วไม่ศรัทธา ก็พระพุทธท่านว่า คนไม่โดนตำหนิในโลกไม่มี แล้ววัดจะไปสนใจทำไม สนใจแต่คนดีๆ ที่เห็นค่าของธรรมก็พอ
ถ้าคิดเสียว่า ธรรมของหลวงปู่ลึกซึ้งมาก คนธรรมดาเข้าใจไม่ได้ อย่างนี้มันไม่น่าจะสมเหตุผลเท่าไร เพียงแค่มีให้ฟัง อาจเรียกศรัทธาและพากันมาปฏิบัติมากขึ้น ก็ยิ่งดีนะครับผมว่า  ส่วนที่เป็นศิษย์วัด ก็จะได้ฟังทบทวนว่า ที่ปฏิบัติมา มีพร่องตรงไหน ยังไง จะได้แก้ไขได้ เกิดวันดีคืนดี
ไฟไหม้วัด สื่อเหล่านี้ หมดเลยนะครับ ทางไปพระนิพพานของหลวงปู่สูญเลยนะครับ เพราะไม่มีการเผยแพร่ เก็บรวมไว้ที่เดียว จะเปิดหาฟังก็ยากเต็มที


อนึ่งข้อคิดเห็นทั้งหมด ในฐานะที่ผมไปวัดมาแล้วรู้สึกสลดใจ และไม่ค่อยสงบเท่าที่คาดหวัง ดั่งวัดธรรมยุตินิกายหลายวัด
และสิ่งที่พบเห็น ถ้าวัดจะปรับปรุงแก้ไขได้ คงเป็นเรื่องดี เพราะคำสอนของหลวงปู่ คงเป็นประโยชน์กับมหาชนมากกว่านี้
ปัจจุบันผมคิดแต่เพียงว่า ถ้าผมจะบวช อาจบวชในสำนักวัดอื่นทั่วไป ที่มีบรรยากาศสงบ ร่มรื่น ไม่วุ่นวายแต่กิจของฆราวาส
และสงฆ์ได้ทำหน้าที่ของสงฆ์เหมือนตอนรับผ้าไตร ที่กล่าวใจความว่า ผ้ากาสาวพัตรนี้ รับไป"เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน"
ซึ่งเป็นหัวใจหลักของพระศาสนานี้  กิจหลักของสงฆ์จึงมีอย่างเดียว เพียงพระนิพพาน ส่วนกิจหลักท่านได้แล้ว กิจรองท่านจะทำอะไรจึงแล้วสงฆ์ท่านจะสงเคราะห์เมตตา แต่ไม่ใช่เพื่องานแต่ง งานบวช งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ สารพัดงานของฆราวาส
แล้วฆราวาสยุ่งกับสงฆ์ขนาดนี้  สงฆ์ท่านมีแต่กิจนิมนต์ จะมีเวลาปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ให้เป็นเนื้อนาบุญของโลกที่เราควรกราบไหว้ได้อย่างไรกัน

ไปหาพระ ก็ไปรับศีล รับแนวการปฏิบัติ
อย่าไปเพื่อ ขอหวย ขอพร ขอโชคลาภ ขอๆๆๆๆ  ขอมันเข้าไป แต่ตนเองมิได้
ความคิดเห็นที่ 14
ขอบคุณมากๆครับสำหรับความเห็นที่ 13 สิ่งที่คุณคิดก็คล้ายๆกับผมซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากคุณได้เคยเข้าไปพบเห็นอย่างที่ผมเจอเหมือนกัน เราทั้งสองต่างไม่ได้มุ่งจะทำร้ายหรือโจมตีศาสนา แต่แค่เห็นว่าสิ่งมันเกิดขึ้นไม่สมควร แม้มันไม่ได้ถึงขั้นผิดกฏหมายที่ร้ายแรง แต่ในด้านความประพฤติ จารีต และความเหมาะสมนั้นมันผิด แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปแก้ไขหรือช่วยปรับปรุงได้อย่างไร อย่างที่หลาบๆคนสงสัยว่าทำไมไม่ไปแจ้งเจ้าอาวาส ก็ถ้าจะให้พูดกันตรงๆคนแถวนั้นส่วนใหญ่จะรู้ดีว่าเจ้าอาวาสและแม่ชี นั้นมีความสัมพันธ์กัน แล้วเราเอาเรื่องของภรรยาเค้าไปแจ้งกับสามีเค้า เค้าจะจัดการให้เราหรือ มีแต่เค้าจะหันมาเล่นงานเรา แล้วทุกท่านไม่สงสัยหรือว่าพระในวัดนั้นมีมากมายตั้งหลายสิบรูป แถมแม่ชีคนอื่นๆก็มี แต่เวลาไปกิจนิมนทำไมต้องพาแม่ชีไปด้วย ซึ่งไปทีนึงก็หลายวัน ถึงแม้ว่าพระจะไปหลายรูป และไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายกันจริง แต่ๆๆๆๆ การที่พระและชีไปด้วยกันแบบนั้นย่องสร้างความเคลือบแคลง และข้อครหาต่อตัวทั้งสองท่านเอง


แล้วคำถามที่ว่าแม่ชีท่านถือศีลอะไร ท่านถือศีล 10 ครับ เป็นชีที่โกนหัว แต่ท่านแต่งห้นา ทาปาก ใช้กระเป๋าสวยงาม ลองคิดดูว่ามันผิดมั้ย เพราะแค่ศีล 8 ยังทำไม่ได้เลย อ่อลืมบอกอีกอย่างนึงแม่ชีท่านนี้บางครั้งก็ใส่รองเท้าส้นสูง  ตรงนี้แหล่ะครับที่มีคนตำหนิ่ แล้วอีกอย่างท่านมาอยู่วัดเป็นเวลานานนับสิบปี ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร แล้วท่านจะเอารายได้จากไหนมาซื้อของแบรนเนมเหล่านั้น ก็เงินที่มาจากการบริจาคทำบุญของเหล่าญาติโยมทั้งนั้น

ส่วนเรื่องการไล่คนออกจากวัดมันก็มีที่มาจากคนเหล่านั้นก็เป็นศิษย์เดิมของหลวงปู่สรวง อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ครั้งที่วัดยังสมบูรณ์ด้วยธรรม แต่พอมาถึงยุคของเจ้าอาวาสองค์นี้ แล้วคนเหล่านั้นรับรู้ได้ถึงความตกต่ำเค้าจึงรวมตัวกันเพื่อจะขจัดคนไม่ดีออกไป แต่คนที่มีอำนาจมากที่สุดของวัดดันเป็นคนทำไม่ดีเสียเอง คนเหล่านั้นจึงถูกกำจัดออกไปจากวัด ซึ่งถ้าทำผิดตามกฏหมายจริงก็ควรจะแจ้งตำรวจมาดำเนินคดี แล้วเดี๋ยวผมจะหารูปของคนเหล่านั้นมาให้ดู แม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้บอกว่าใครดีใครเลว แต่ที่ดูคร่าวแต่ละคนก้ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายอะไรเลย ทำไมเค้าต้องถูกขับไล่ออกจากวัดโดยที่ห้ามกลับมาเหยียบที่นั่นอีก

สืบเนื่องมาจากการไล่คนเหล่านั้นออกจากวัดได้สำเร็จ ทางวัดจึงมีมาตรการที่ให้คนบวชชีอยู่ได้แค่ 7 วันเพื่อป้องกันการรวมตัวกันของคนที่จะมาขุดคุ้ยเรื่องของแม่ชี และต้องซื้อชุดในราคา 300 บาท ซึ่งถ้าอยู่ 7 วัน วันละ 2 ชุด 300 x 7 x 2 = 4200 บาท นี่คือค่าชุดที่จะต้องเสีย แล้วถ้าเป็นชาวบ้านตาสีตาสา ใครจะมีปัญญามาถือศีลคับ เรื่องนี้แม้มันจะไม่ผิดกฏหมาย แต่คุณๆทั้งหลายคิดว่ามันสมควรรึเปล่า เพราะแต่เดิมที่วัดจะมีชาวบ้าน แกบ้าง รุ่นๆบ้าง มาอยู่วัด ซึ่งบางคนที่ไม่มีที่พึ่งก็มาอยู่เพราะถือว่าวัดเป็นที่พึ่ง แต่สุดท้ายแล้วทำไมทุกคนต้องถูกไล่ออกจากวัด  

แล้วอีกอย่างคนที่บอกว่าแม่ชีท่านเป็นคนพูดตรง คือผมก็เป็นคนที่มีการศึกษาน้ะครับ จึงแยกออกว่าอันไหนที่เรียกว่าพูดตรง อันไหนคือหยาบคายและไม่มีมารยาท  เพราะขณะที่หูผมฟังสมองผมก็ประมวลผลไม่ได้เชื่ออะไรงมงาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่