เราคิดว่าประเพณีที่สืบทอดกันมามีแง่งามตามยุคสมัย การคงไว้ซึ่งประเพณีเป็นเรื่องที่งดงาม ขบวนขันหมากถ้าจัดให้ครบเครื่องตามอย่างโบราณจะสนุกสนาน สวยงาม และมีข้อคิดแฝงอยู่ในนั้นมากมาย
ยุคก่อนลูกผู้หญิงได้แต่ร่ำเรียนวิชาการเรือน เพื่อที่จะมีความรู้ในการดูแลบ้านเรือน ลูกและสามีให้พรักพร้อมบริบูรณ์ในยามออกเรือน ไม่ได้ไปออกทำมาหากินนอกบ้านเพราะนั่นคือหน้าที่ผู้ชาย ดังนั้นจึงได้แต่เรียนรู้วิชากุลสตรีทั้งหลายที่พึงมีอยู่กับบ้าน รอวันและเวลาที่เหมาะสมจึงได้ออกเรือนไปปรนนิบัติสามี เมื่อลูกจะต้องออกจากอกพ่อแม่ที่เฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟัก จึงตั้งให้มีการเรียกสินสอดเพื่อที่จะให้เป็นข้อพิสูจน์ว่าฝ่ายชายจะสามารถเลี้ยงดูลูกรักให้มีความสุขต่อไปได้หรือไม่ สำหรับข้อนี้ถ้ามองในแง่เศรษฐศาสตร์ ฝ่ายหญิงจะต้องเสียแรงงานไปในบ้านไป ไม่ว่าจะเป็นบ่าวหรือนาย มันก็เป็นการสูญเสียทรัพยากรของครอบครัวไปหนึ่งคน ดังนั้นจึงมีคำว่าค่าน้ำนมเกิดขึ้น เพื่อทดแทนคุณที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงฟูมฟักเลี้ยงดูมา แต่พอโตมาต้องไปอยู่บ้านคนอื่น จึงเป็นหน้าที่ฝ่ายชายที่ต้องตอบแทนคุณในข้อนี้
ปัจจุบันสภาพสังคมได้เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีความเท่าเทียม สามารถทำงานเพื่อเลี้ยงชีพได้อย่างเท่าเทียม ฝ่ายหญิงจึงไม่ต้องรอให้ใครหาเลี้ยงอีกต่อไป และในแง่ของเศรญฐศาสตร์ ยุคสมัยนี้ส่วนมากจะเป็นครอบครัวเดี่ยว ถึงจะมีครอบครัวใหญ่อยู่บ้างแต่คงไม่มากเท่าสมัยก่อนที่นิยมมีลูกมากๆเพื่อสืบสกุล เอาแค่คิดว่า แต่ละครอบครัวต่างมีลูกคนเดียว แล้วสุดท้ายจะต้องเลือกไปอยู่ครอบครัวไหนแค่นี้ก็ปวดหัวแล้ว บางคู่ยังต้องทำงานคนละจังหวัดกับพ่อแม่อีก ดังนั้นเราจึงคิดว่า ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องของแรงงานแล้วล่ะ เพราะการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ต่างเป้นหน้าที่ของทั้งหญิงและชาย เพราะทุกคนต่างมีความสามารถที่จะทำมาหาได้เพื่อเลี้ยงครอบครัวอย่างเท่าเทียมแล้ว
แต่เราก็ยังคิดว่าควรจะรักษาประเพณีสวยๆนี้ต่อไป ส่วนตัวชอบขบวนขันหมาก เป็นส่วนหนึ่งของงานหมั้น งานแต่ง ที่มีสีสันมากที่สุด พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนพ้อง ต่างได้มีส่วนร่วมกันถ้วนหน้า แต่เราคิดว่า ถ้าเราจะแต่งงาน เราจะร่วมรับผิดชอบค่าสินสอดกับฝ่ายชายด้วยตัวเอง ซึ่งฝ่ายชายจะต้องหาด้วยตัวเองเช่นกัน เช่น
ตั้งสินสอดเอาไว้ที่ 1 ล้านบาท เราจะหาเอง 5 แสนบาท ฝ่ายชายก็จะต้องหาเอง 5 แสนบาทเช่นกัน สำหรับสินสอดนี้ จะแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยจะนำไปกราบมอบให้พ่อแม่แต่ละฝ่าย เพราะเราถือว่า ไม่ใช่แค่พ่อแม่เราที่เฝ้าถนอมฟูมฟักเรามา พ่อแม่ของฝ่ายชายก็รักลูกของท่านปานแก้วตาดวงใจเช่นเดียวกัน จะกราบขอให้ท่านรับเพื่อประสิทธิ์ประสาทพรอันเป็นมหามงคลให้ชีวิตคู่ของเราเริ่มต้นด้วยความกตัญูกตเวที เพราะนั่นคือความตั้งใจและภูมิใจที่ลูกคนหนึ่งปรารถนาจะทำเพื่อขอพรตอนเริ่มต้นชีวิตคู่
ส่วนท่านจะคืนมาให้เพื่อเป็นทุนชีวิตนั้น ไม่ว่าจะเป็นของรับไหว้หรือเงินสินสอด จะขอรับไม่เกินครึ่งหนึ่งของแต่ละส่วนที่เรากราบมอบให้ไปแล้ว เพราะท่านได้ให้เรามาทั้งชีวิตแล้ว ลมหายใจที่ยังชีวิตอยุ่ได้จนแต่งงานแต่งการท่านก็มอบให้ ขอให้ลูกได้ทำอะไรให้พ่อแม่บ้างเพียงเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี
งานหมั้นเรายังคงให้ความสำคัญสำหรับพิธี แต่งานแต่ง เราคิดว่าจะไม่รบกวนเพื่อนๆหรือญาติให้ต้องลำบากในการคิดว่าจะใส่ซองเท่าไหร่ดี 5555 หลังจากหมั้นแล้วเราจะไปทำบุญเลี้ยงพระทั้งวัด ทำบุญมหาสังฆทานให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว พร้อมทั้งบอกกล่าวให้ท่านรับรู้และร่วมยินดีกับเราในสัมปรายภพ จบด้วยการจดทะเบียน
สำหรับเราการจัดพิธีเป็นการให้เกียรติครอบครัวทั้งสองฝ่าย จะละเว้นไปเสียคงจะไม่งาม ดังนั้นทำแล้วไม่เบียดเบียนใคร ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนครอบครัว จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่เป็นมงคลที่สุด ไม่ต้องไปกูหนี้ยืมสินที่ไหนมาจัดงาน ไม่ต้องขนสินสอดมาวางแล้วตกลงลับหลังกันว่าจะต้องเอาคืน เป็นการจัดการที่ทำเมื่อพร้อม ถ้าคนสองคนทำไม่ได้นั่นก็แสดงว่ายังไม่พร้อมสำหรับจะเริ่มต้นชีวิตด้วยกัน
จากการติดตามกระทู้สินสอด อยากจะแสดงความคิดเห็นจากใจของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง
ยุคก่อนลูกผู้หญิงได้แต่ร่ำเรียนวิชาการเรือน เพื่อที่จะมีความรู้ในการดูแลบ้านเรือน ลูกและสามีให้พรักพร้อมบริบูรณ์ในยามออกเรือน ไม่ได้ไปออกทำมาหากินนอกบ้านเพราะนั่นคือหน้าที่ผู้ชาย ดังนั้นจึงได้แต่เรียนรู้วิชากุลสตรีทั้งหลายที่พึงมีอยู่กับบ้าน รอวันและเวลาที่เหมาะสมจึงได้ออกเรือนไปปรนนิบัติสามี เมื่อลูกจะต้องออกจากอกพ่อแม่ที่เฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟัก จึงตั้งให้มีการเรียกสินสอดเพื่อที่จะให้เป็นข้อพิสูจน์ว่าฝ่ายชายจะสามารถเลี้ยงดูลูกรักให้มีความสุขต่อไปได้หรือไม่ สำหรับข้อนี้ถ้ามองในแง่เศรษฐศาสตร์ ฝ่ายหญิงจะต้องเสียแรงงานไปในบ้านไป ไม่ว่าจะเป็นบ่าวหรือนาย มันก็เป็นการสูญเสียทรัพยากรของครอบครัวไปหนึ่งคน ดังนั้นจึงมีคำว่าค่าน้ำนมเกิดขึ้น เพื่อทดแทนคุณที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงฟูมฟักเลี้ยงดูมา แต่พอโตมาต้องไปอยู่บ้านคนอื่น จึงเป็นหน้าที่ฝ่ายชายที่ต้องตอบแทนคุณในข้อนี้
ปัจจุบันสภาพสังคมได้เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีความเท่าเทียม สามารถทำงานเพื่อเลี้ยงชีพได้อย่างเท่าเทียม ฝ่ายหญิงจึงไม่ต้องรอให้ใครหาเลี้ยงอีกต่อไป และในแง่ของเศรญฐศาสตร์ ยุคสมัยนี้ส่วนมากจะเป็นครอบครัวเดี่ยว ถึงจะมีครอบครัวใหญ่อยู่บ้างแต่คงไม่มากเท่าสมัยก่อนที่นิยมมีลูกมากๆเพื่อสืบสกุล เอาแค่คิดว่า แต่ละครอบครัวต่างมีลูกคนเดียว แล้วสุดท้ายจะต้องเลือกไปอยู่ครอบครัวไหนแค่นี้ก็ปวดหัวแล้ว บางคู่ยังต้องทำงานคนละจังหวัดกับพ่อแม่อีก ดังนั้นเราจึงคิดว่า ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องของแรงงานแล้วล่ะ เพราะการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ต่างเป้นหน้าที่ของทั้งหญิงและชาย เพราะทุกคนต่างมีความสามารถที่จะทำมาหาได้เพื่อเลี้ยงครอบครัวอย่างเท่าเทียมแล้ว
แต่เราก็ยังคิดว่าควรจะรักษาประเพณีสวยๆนี้ต่อไป ส่วนตัวชอบขบวนขันหมาก เป็นส่วนหนึ่งของงานหมั้น งานแต่ง ที่มีสีสันมากที่สุด พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนพ้อง ต่างได้มีส่วนร่วมกันถ้วนหน้า แต่เราคิดว่า ถ้าเราจะแต่งงาน เราจะร่วมรับผิดชอบค่าสินสอดกับฝ่ายชายด้วยตัวเอง ซึ่งฝ่ายชายจะต้องหาด้วยตัวเองเช่นกัน เช่น
ตั้งสินสอดเอาไว้ที่ 1 ล้านบาท เราจะหาเอง 5 แสนบาท ฝ่ายชายก็จะต้องหาเอง 5 แสนบาทเช่นกัน สำหรับสินสอดนี้ จะแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยจะนำไปกราบมอบให้พ่อแม่แต่ละฝ่าย เพราะเราถือว่า ไม่ใช่แค่พ่อแม่เราที่เฝ้าถนอมฟูมฟักเรามา พ่อแม่ของฝ่ายชายก็รักลูกของท่านปานแก้วตาดวงใจเช่นเดียวกัน จะกราบขอให้ท่านรับเพื่อประสิทธิ์ประสาทพรอันเป็นมหามงคลให้ชีวิตคู่ของเราเริ่มต้นด้วยความกตัญูกตเวที เพราะนั่นคือความตั้งใจและภูมิใจที่ลูกคนหนึ่งปรารถนาจะทำเพื่อขอพรตอนเริ่มต้นชีวิตคู่
ส่วนท่านจะคืนมาให้เพื่อเป็นทุนชีวิตนั้น ไม่ว่าจะเป็นของรับไหว้หรือเงินสินสอด จะขอรับไม่เกินครึ่งหนึ่งของแต่ละส่วนที่เรากราบมอบให้ไปแล้ว เพราะท่านได้ให้เรามาทั้งชีวิตแล้ว ลมหายใจที่ยังชีวิตอยุ่ได้จนแต่งงานแต่งการท่านก็มอบให้ ขอให้ลูกได้ทำอะไรให้พ่อแม่บ้างเพียงเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี
งานหมั้นเรายังคงให้ความสำคัญสำหรับพิธี แต่งานแต่ง เราคิดว่าจะไม่รบกวนเพื่อนๆหรือญาติให้ต้องลำบากในการคิดว่าจะใส่ซองเท่าไหร่ดี 5555 หลังจากหมั้นแล้วเราจะไปทำบุญเลี้ยงพระทั้งวัด ทำบุญมหาสังฆทานให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว พร้อมทั้งบอกกล่าวให้ท่านรับรู้และร่วมยินดีกับเราในสัมปรายภพ จบด้วยการจดทะเบียน
สำหรับเราการจัดพิธีเป็นการให้เกียรติครอบครัวทั้งสองฝ่าย จะละเว้นไปเสียคงจะไม่งาม ดังนั้นทำแล้วไม่เบียดเบียนใคร ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนครอบครัว จะเป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่เป็นมงคลที่สุด ไม่ต้องไปกูหนี้ยืมสินที่ไหนมาจัดงาน ไม่ต้องขนสินสอดมาวางแล้วตกลงลับหลังกันว่าจะต้องเอาคืน เป็นการจัดการที่ทำเมื่อพร้อม ถ้าคนสองคนทำไม่ได้นั่นก็แสดงว่ายังไม่พร้อมสำหรับจะเริ่มต้นชีวิตด้วยกัน