นักค้าหุ้นมือใหม่มักได้ยินจากรุ่นพี่สอนว่า ให้ดูวอลุ่มประกอบราคาในการดูกราฟ เพื่อช่วยตัดสินใจ
แล้วดูกันอย่างไร คำว่า วอลุ่มมาก ๆ ดู value หรือ volume ก็จะมาเผยแค่พอสังเขป
volume ที่หมายถึงจำนวน หุ้น เราควรใช้เมื่อตลาดซบเซา ดีกว่า ตลาดhot เพราะตอนตลาดซบเซา จำนวนหุ้นในตลาด ใน บจ จะคงที่ ไม่มีใครเอาไปทิ้งทะเล หรือ สละทิ้ง แต่เกิดการสะสมเก็บไว้ เพราะราคาตกต่ำ ขาดทุนบ้าง กำไรไม่อยากขายบ้างเพราะราคาต่ำมาก เราจึงควรสังเกตุที่ จำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในแต่ละวัน จะทำให้มองภาพว่า คนเอาออกมาซื้อขายมากน้อยแค่ไหน เช่น เมื่อวานราคา 10 บาท มีหมุนเวียน 5 ล้านหุ้น แต่วันนี้ ราคา 8 บาท กลับมีหมุนเวียน (ตกลงซื้อขายได้สำเร็จ) 15 ล้านหุ้น ตัวอย่างแบบนี้มองได้ว่า มีการออกมาเขย่าให้คนกลัวขายออกมาเพราะราคา ณ 8 บาทบริเวณนี้ น่าสนเก็บแต่ไม่มีคนขาย จึงอาจมีรายใหญ่นำออกมาทุบ และรับคืนเพิ่มขึ้น ยอมเสียค่าคอมมิชั่นเป็นทุน แต่เชื่อว่าอนาคตต้องสูงกว่าราคานี้ คุ้มค่าคอมฯ แน่นอน ถ้าเจอแบบนี้ ก็เข้าไปสะสมตามเขาบ้าง
แต่ถ้าเราจะมองภาพใหญ่ ก็ต้องดู value ที่คือ จำนวนเงิน เช่น วันนี้ 19 สค 56 ปิด 1398 เงิน 45200 ล้านบาท(ประมาณ) แสดงว่า 45200 /1398 ณ ราคาปิด ใช้เงิน 32 ล้านบาทต่อ ดัชนี 1 จุด เมื่อปิด
โดยปกติเราต้องเก็บสถิติ ประมาณ 3 เดือน เศษมา 36 ล้าบาทต่อจุดถือว่าแข็งแกร่งดี แต่เดือนนี้ สค 56 เฉลี่ย แค่ 27 ล้านบาทต่อ ดัชนี 1 จุด แสดงว่า เงินได้หายออกจากตลาดไปมากพอสมควร มันจึงส่อแววว่า อนาคตอันใกล้นี้หาก วอลุ่มเงินยังไม่เข้าตลาดมาเติมอีก ความผันผวนของดัชนีก็จะรุนแรง และโอกาสดัชนีซึมลงก็สูง
สมมติว่า สูตรคำนวณแนวรับแนวต้านของแต่ละคน เช่น นาย nowya บอกว่าพรุ่งนี้ ดัชนีมีแนวต้าน + 19 จุด และแนวรับ - 21 จุด และหากพรุ่งนี้ 20 สค เกิดดัชนีไป + 19 จุดจริง = 1398+19 = 1417 จุด X 36 (ล้านบาทต่อจุดที่ว่าแข็งแรง) = 51000 ล้านบาท แล้วเกิดมีวอลุ่มเงินน้อยกว่านี้ + - 5 % คือ (53500 - 48400) แสดงว่า 1417 ยืนไม่อยู่แน่ ต้องมีอาการ เซโรงัง ล้มลงมาในไม่กี่วันถัดไป
แต่หากกลายเป็น - 21 จุด ไปอยู่ที่ 1377 แล้วดันมีวอลุ่ม 51000 ล้านบาท แสดงว่าใกล้จะรีบาวน์แล้ว ซื้อเก็บไว้ได้ กัดฟันให้แน่น ๆ รอรับทรัพย์อีกไม่กี่วันข้างหน้า
อย่าลืมว่า กำไรตลาดเป็นผู้ให้ ขาดทุนเราทำเอง เสมอ เสมอแล
ดูวอลุ่ม ได้ยินมานาน แล้วดูอย่างไรใช้ตัดสินอย่างไร
แล้วดูกันอย่างไร คำว่า วอลุ่มมาก ๆ ดู value หรือ volume ก็จะมาเผยแค่พอสังเขป
volume ที่หมายถึงจำนวน หุ้น เราควรใช้เมื่อตลาดซบเซา ดีกว่า ตลาดhot เพราะตอนตลาดซบเซา จำนวนหุ้นในตลาด ใน บจ จะคงที่ ไม่มีใครเอาไปทิ้งทะเล หรือ สละทิ้ง แต่เกิดการสะสมเก็บไว้ เพราะราคาตกต่ำ ขาดทุนบ้าง กำไรไม่อยากขายบ้างเพราะราคาต่ำมาก เราจึงควรสังเกตุที่ จำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในแต่ละวัน จะทำให้มองภาพว่า คนเอาออกมาซื้อขายมากน้อยแค่ไหน เช่น เมื่อวานราคา 10 บาท มีหมุนเวียน 5 ล้านหุ้น แต่วันนี้ ราคา 8 บาท กลับมีหมุนเวียน (ตกลงซื้อขายได้สำเร็จ) 15 ล้านหุ้น ตัวอย่างแบบนี้มองได้ว่า มีการออกมาเขย่าให้คนกลัวขายออกมาเพราะราคา ณ 8 บาทบริเวณนี้ น่าสนเก็บแต่ไม่มีคนขาย จึงอาจมีรายใหญ่นำออกมาทุบ และรับคืนเพิ่มขึ้น ยอมเสียค่าคอมมิชั่นเป็นทุน แต่เชื่อว่าอนาคตต้องสูงกว่าราคานี้ คุ้มค่าคอมฯ แน่นอน ถ้าเจอแบบนี้ ก็เข้าไปสะสมตามเขาบ้าง
แต่ถ้าเราจะมองภาพใหญ่ ก็ต้องดู value ที่คือ จำนวนเงิน เช่น วันนี้ 19 สค 56 ปิด 1398 เงิน 45200 ล้านบาท(ประมาณ) แสดงว่า 45200 /1398 ณ ราคาปิด ใช้เงิน 32 ล้านบาทต่อ ดัชนี 1 จุด เมื่อปิด
โดยปกติเราต้องเก็บสถิติ ประมาณ 3 เดือน เศษมา 36 ล้าบาทต่อจุดถือว่าแข็งแกร่งดี แต่เดือนนี้ สค 56 เฉลี่ย แค่ 27 ล้านบาทต่อ ดัชนี 1 จุด แสดงว่า เงินได้หายออกจากตลาดไปมากพอสมควร มันจึงส่อแววว่า อนาคตอันใกล้นี้หาก วอลุ่มเงินยังไม่เข้าตลาดมาเติมอีก ความผันผวนของดัชนีก็จะรุนแรง และโอกาสดัชนีซึมลงก็สูง
สมมติว่า สูตรคำนวณแนวรับแนวต้านของแต่ละคน เช่น นาย nowya บอกว่าพรุ่งนี้ ดัชนีมีแนวต้าน + 19 จุด และแนวรับ - 21 จุด และหากพรุ่งนี้ 20 สค เกิดดัชนีไป + 19 จุดจริง = 1398+19 = 1417 จุด X 36 (ล้านบาทต่อจุดที่ว่าแข็งแรง) = 51000 ล้านบาท แล้วเกิดมีวอลุ่มเงินน้อยกว่านี้ + - 5 % คือ (53500 - 48400) แสดงว่า 1417 ยืนไม่อยู่แน่ ต้องมีอาการ เซโรงัง ล้มลงมาในไม่กี่วันถัดไป
แต่หากกลายเป็น - 21 จุด ไปอยู่ที่ 1377 แล้วดันมีวอลุ่ม 51000 ล้านบาท แสดงว่าใกล้จะรีบาวน์แล้ว ซื้อเก็บไว้ได้ กัดฟันให้แน่น ๆ รอรับทรัพย์อีกไม่กี่วันข้างหน้า
อย่าลืมว่า กำไรตลาดเป็นผู้ให้ ขาดทุนเราทำเอง เสมอ เสมอแล