เห็นเด็กๆน้องๆหลายคนตั้งกระทู้ถามบ่อยๆว่าเศรษฐศาสตร์คืออะไร? เกี่ยวกับการเล่นหุ้นไหม? ในฐานะที่ผมเรียนจบเศรษฐศาสตร์มาแบบง่อยๆ (และกำลังตะบันให้จบป.โทเศรษฐศาสตร์อยู่) ผมขอมาตอบน้องๆทุกคนว่าเศรษฐศาสตร์คืออะไรแบบคร่าวๆละกันนะครับ
เศรษฐศาสตร์มีนิยามที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด (โดยเปรียบเทียบกับความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์) ให้เกิดประโยชน์ (ในทางเศรษฐศาสตร์ใช้คำว่าสวัสดิการ) สูงที่สุด นิยามนี้เป็นอะไรที่กินความหมายกว้างมาก และแสดงให้เห็นว่าในความเป็นจริงคนเราก็แทบเป็นนักเศรษฐศาสตร์โดยธรรมชาติอยู่แล้วตราบเท่าที่คนเราคิดทำอะไรบนฐานของ"ความคุ้มค่า"
จากนิยามข้างต้น แล้วมันเกี่ยวกับสิ่งที่เค้าเรียกว่าหุ้นยังไง? คำตอบมันก็อยู่ที่ตราสารทางการเงินทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นตราสารทุน, ตราสารหนี้, พันธบัตร, อนุพันธ์ ฯลฯ ล้วนสร้างมาจากปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ในการทำให้ผู้มีเงินทุน (แต่ไม่มีเวลาหรือศักยภาพในการใช้) กับผู้มีความต้องการเงินทุนที่มีศักยภาพในการเอาเงินไปสร้างดอกผล (แต่ไม่มีเงินทุน) สามารถจับคู่กันในตลาดและต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ แต่ด้วยความที่ตลาดการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องออกตราสารทางการเงินชนิดใหม่ๆมารองรับคนในตลาดที่หลากหลายขึ้นตามกัน
แต่ถึงเศรษฐศาสตร์เองเป็นต้นธารของทฤษฏีตราสารทางการเงิน (ซึ่งเป็นสับเซตของแขนงวิชาเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์การเงิน หรือ Financial Economics) แต่เวลาตั้งราคาตราสารหรือสร้างกลยุทธในการเลือกลงทุนในตราสารหรือหลักทรัพย์ต่างๆ นักการเงินเป็นคนเอาหลักการทางเศรษฐศาสตร์ข้างต้นไปประยุกต์หาวิธี"กึ่งสำเร็จรูป"ในการเลือกซื้อหรือขายหลักทรัพย์เพื่อทำให้เรามีความมั่งคั่งมากที่สุดภายใต้เงินทุนที่จำกัด และความเสี่ยงที่ต้องรับเมื่อลงทุน (และยิ่งลงทุนมากยิ่งเสี่ยงมากขึ้น จะเสี่ยงขึ้นมากหรือน้อยก็ขึ้นกับวิธีการกระจายความเสี่ยง) การประยุกต์ใช้ส่วนนี้เป็นวิชาแยกอีกหนึ่งวิชาเรียกว่า "การเงินและการลงทุน" ซึ่งแยกออกจากเศรษฐศาสตร์ไปอยู่ในกลุ่มวิชา"บริหารธุรกิจและการจัดการ" วิชากลุ่มนี้เป็นการเอาแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ไปประยุกต์ในการทำงานตามองค์กรมากขึ้น เช่น ทรัพยากรบุคคล, การตลาด, การเงิน, การจัดการอุตสาหกรรม ฯลฯ
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าคำว่าทั้งเศรษฐศาสตร์และเรื่องการเงินโดยตรง(หุ้น)เองก็มีตัวหลักการที่ไม่ค่อยเหมือนกัน (ถึงการเงินจะเอาเศรษฐศาสตร์ไปใช้ก็เหอะ) เศรษฐศาสตร์สนใจการเข้าใจกลไกที่ทำให้มีตราสารนั้นมา (ในแง่ของ Resource Allocation) แต่การเงินสนที่โจทย์ระดับจุลภาคมากๆ เช่น การตั้งราคาสิทนทรัพย์เป็นตัวๆ การเลือกลงทุนกระจายความเสี่ยงในทางปฏิบัติ ใครที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลือกคณะก็ควรที่จะพิจารณา"จุดต่าง"และ"จุดร่วมกัน"ของทั้ง 2 สายที่มีทั้งความเกี่ยวข้องและความแตกต่างของ"โจทย์"ที่ต่างฝ่ายสนใจโจทย์คนละแบบครับ ถ้าโจทย์ที่สนใจคือหุ้นเปล่าๆจริงๆ การเรียนต่อคณะบริหารธุรกิจเอกวิชาการเงินและการลงทุนตอบโจทย์ได้ตรง แต่ถ้าต้องการ"เข้าใจ"ตราสารต่างๆ โครงสร้างตลาดการเงิน และเผื่อไว้ว่าจะเรียนต่อโทเอาดีทางวิชาการจริงๆ การเรียนต่อเศรษฐศาสตร์ (หรือแม้กระทั่งวิศวะ) เพื่อเอาความเข้าใจเชิงโครงสร้างของการ"จัดการทรัพยากรจำกัด"เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเรียนต่อการเงินระดับสูง รวมถึงสายวิศวกรรมการเงิน (Financial Engineering) ด้วยครับ
ป.ล. เห็นไหนๆมีคนถามถึงเศรษฐศาสตร์มหภาคแล้ว ผมเลยถือโอกาสแยกความแตกต่างและความสัมพันธ์ของเศรษฐศาสตร์มหภาคและจุลภาคเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นนิดนึงนะครับ
1) เศรษฐศาสตร์จุลภาค: เป็นวิชาเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยหน่วยเศรษฐกิจเชิงปัจเจก เช่น ผู้ผลิต, ผู้บริโภค, ภาครัฐแบบเน้นๆ ดูพฤติกรรมการจัดการทรัพยากรจำกัดของแต่ละหน่วยเศรษฐกิจ ใหญ่ที่สุดที่จุลภาคมองก็คือตัวตลาดไม่กี่ตลาดสัมพันธ์กัน (สำหรับคนสนใจตรงนี้ลองไปดูพวกทฤษฎีดุลยภาพทั่วไป) ของที่หลายๆคนคงเคยได้ยินมาตั้งแต่ม.ปลายในทางจุลภาคก็คงเป็นกรอบคิดเรื่องอุปสงค์อุปทานครับ
2) เศรษฐศาสตร์มหภาค: ตามชื่อเลยครับ เศรษฐศาสตร์แขนงนี้ออกแนวเป็นการมองเศรษฐกิจในภาพที่ใหญ่ขึ้น เช่น ระดับประเทศ (ซึ่งเป็นการรวมทุกตลาดซึ่งมีทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคและภาครัฐเข้าด้วยกันอยู่แล้ว) หรือแม้กระทั่งโจทย์ใหญ่กว่าอย่างเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศฝั่งที่ดูนโยบายเศรษฐกิจโลกที่มีผลเชิงมหภาคเน้นๆเป็นหลัก (เช่นพวกที่ศึกษานโยบายการเงินระหว่างประเทศ) เวลาดูผลกระทบของอะไรก็จะดูในสเกลที่ใหญ่มากกว่าการดูผลกระทบในทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่อาจมองแค่ผลกระทบรายหน่วยเศรษฐกิจมากกว่า
การเข้าใจเศรษฐศาสตร์มหภาคก็จำเป็นต้องมีความรู้ทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคในระดับที่แม่นยำด้วย เพราะถ้าขนาดวิเคราะห์ผลกระทบระดับย่อยๆไม่ได้ การวิเคราะห์เศรษฐกินมหภาคที่สามารถมองได้ว่าเป็นการเอาหน่วยเศรษฐกิจปัจเจก (ในฐานะฟันเฟืองของเศรษฐกิจมหภาค) ก็คงทำได้อย่างไม่เข้าใจถ่องแท้ เหมือนหมอที่รักษาคนก็ต้องรู้จักอวัยวะทุกส่วนของร่างกายคนไข้เป็นอย่างดี ไม่สามารถมององค์รวมแต่มองข้ามองค์ประกอบย่อยได้เลย
ป.ล.2 ใครมีอะไรเสริมให้น้องๆทราบเกี่ยวกับการเลือกเรียนการเงินหรือเศรษฐศาสตร์เสริมได้นะครับ หรือถ้ามีมุมมองมาแชร์กันขอเรียนเชิญแบ่งปันกันด้วยความยินดีครับ
[ไขข้อข้องใจ] เศรษฐศาสตร์คืออะไร ตับไตไส้พุง
เศรษฐศาสตร์มีนิยามที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นการบริหารทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด (โดยเปรียบเทียบกับความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์) ให้เกิดประโยชน์ (ในทางเศรษฐศาสตร์ใช้คำว่าสวัสดิการ) สูงที่สุด นิยามนี้เป็นอะไรที่กินความหมายกว้างมาก และแสดงให้เห็นว่าในความเป็นจริงคนเราก็แทบเป็นนักเศรษฐศาสตร์โดยธรรมชาติอยู่แล้วตราบเท่าที่คนเราคิดทำอะไรบนฐานของ"ความคุ้มค่า"
จากนิยามข้างต้น แล้วมันเกี่ยวกับสิ่งที่เค้าเรียกว่าหุ้นยังไง? คำตอบมันก็อยู่ที่ตราสารทางการเงินทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นตราสารทุน, ตราสารหนี้, พันธบัตร, อนุพันธ์ ฯลฯ ล้วนสร้างมาจากปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ในการทำให้ผู้มีเงินทุน (แต่ไม่มีเวลาหรือศักยภาพในการใช้) กับผู้มีความต้องการเงินทุนที่มีศักยภาพในการเอาเงินไปสร้างดอกผล (แต่ไม่มีเงินทุน) สามารถจับคู่กันในตลาดและต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ แต่ด้วยความที่ตลาดการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องออกตราสารทางการเงินชนิดใหม่ๆมารองรับคนในตลาดที่หลากหลายขึ้นตามกัน
แต่ถึงเศรษฐศาสตร์เองเป็นต้นธารของทฤษฏีตราสารทางการเงิน (ซึ่งเป็นสับเซตของแขนงวิชาเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์การเงิน หรือ Financial Economics) แต่เวลาตั้งราคาตราสารหรือสร้างกลยุทธในการเลือกลงทุนในตราสารหรือหลักทรัพย์ต่างๆ นักการเงินเป็นคนเอาหลักการทางเศรษฐศาสตร์ข้างต้นไปประยุกต์หาวิธี"กึ่งสำเร็จรูป"ในการเลือกซื้อหรือขายหลักทรัพย์เพื่อทำให้เรามีความมั่งคั่งมากที่สุดภายใต้เงินทุนที่จำกัด และความเสี่ยงที่ต้องรับเมื่อลงทุน (และยิ่งลงทุนมากยิ่งเสี่ยงมากขึ้น จะเสี่ยงขึ้นมากหรือน้อยก็ขึ้นกับวิธีการกระจายความเสี่ยง) การประยุกต์ใช้ส่วนนี้เป็นวิชาแยกอีกหนึ่งวิชาเรียกว่า "การเงินและการลงทุน" ซึ่งแยกออกจากเศรษฐศาสตร์ไปอยู่ในกลุ่มวิชา"บริหารธุรกิจและการจัดการ" วิชากลุ่มนี้เป็นการเอาแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ไปประยุกต์ในการทำงานตามองค์กรมากขึ้น เช่น ทรัพยากรบุคคล, การตลาด, การเงิน, การจัดการอุตสาหกรรม ฯลฯ
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าคำว่าทั้งเศรษฐศาสตร์และเรื่องการเงินโดยตรง(หุ้น)เองก็มีตัวหลักการที่ไม่ค่อยเหมือนกัน (ถึงการเงินจะเอาเศรษฐศาสตร์ไปใช้ก็เหอะ) เศรษฐศาสตร์สนใจการเข้าใจกลไกที่ทำให้มีตราสารนั้นมา (ในแง่ของ Resource Allocation) แต่การเงินสนที่โจทย์ระดับจุลภาคมากๆ เช่น การตั้งราคาสิทนทรัพย์เป็นตัวๆ การเลือกลงทุนกระจายความเสี่ยงในทางปฏิบัติ ใครที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลือกคณะก็ควรที่จะพิจารณา"จุดต่าง"และ"จุดร่วมกัน"ของทั้ง 2 สายที่มีทั้งความเกี่ยวข้องและความแตกต่างของ"โจทย์"ที่ต่างฝ่ายสนใจโจทย์คนละแบบครับ ถ้าโจทย์ที่สนใจคือหุ้นเปล่าๆจริงๆ การเรียนต่อคณะบริหารธุรกิจเอกวิชาการเงินและการลงทุนตอบโจทย์ได้ตรง แต่ถ้าต้องการ"เข้าใจ"ตราสารต่างๆ โครงสร้างตลาดการเงิน และเผื่อไว้ว่าจะเรียนต่อโทเอาดีทางวิชาการจริงๆ การเรียนต่อเศรษฐศาสตร์ (หรือแม้กระทั่งวิศวะ) เพื่อเอาความเข้าใจเชิงโครงสร้างของการ"จัดการทรัพยากรจำกัด"เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเรียนต่อการเงินระดับสูง รวมถึงสายวิศวกรรมการเงิน (Financial Engineering) ด้วยครับ
ป.ล. เห็นไหนๆมีคนถามถึงเศรษฐศาสตร์มหภาคแล้ว ผมเลยถือโอกาสแยกความแตกต่างและความสัมพันธ์ของเศรษฐศาสตร์มหภาคและจุลภาคเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นนิดนึงนะครับ
1) เศรษฐศาสตร์จุลภาค: เป็นวิชาเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยหน่วยเศรษฐกิจเชิงปัจเจก เช่น ผู้ผลิต, ผู้บริโภค, ภาครัฐแบบเน้นๆ ดูพฤติกรรมการจัดการทรัพยากรจำกัดของแต่ละหน่วยเศรษฐกิจ ใหญ่ที่สุดที่จุลภาคมองก็คือตัวตลาดไม่กี่ตลาดสัมพันธ์กัน (สำหรับคนสนใจตรงนี้ลองไปดูพวกทฤษฎีดุลยภาพทั่วไป) ของที่หลายๆคนคงเคยได้ยินมาตั้งแต่ม.ปลายในทางจุลภาคก็คงเป็นกรอบคิดเรื่องอุปสงค์อุปทานครับ
2) เศรษฐศาสตร์มหภาค: ตามชื่อเลยครับ เศรษฐศาสตร์แขนงนี้ออกแนวเป็นการมองเศรษฐกิจในภาพที่ใหญ่ขึ้น เช่น ระดับประเทศ (ซึ่งเป็นการรวมทุกตลาดซึ่งมีทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคและภาครัฐเข้าด้วยกันอยู่แล้ว) หรือแม้กระทั่งโจทย์ใหญ่กว่าอย่างเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศฝั่งที่ดูนโยบายเศรษฐกิจโลกที่มีผลเชิงมหภาคเน้นๆเป็นหลัก (เช่นพวกที่ศึกษานโยบายการเงินระหว่างประเทศ) เวลาดูผลกระทบของอะไรก็จะดูในสเกลที่ใหญ่มากกว่าการดูผลกระทบในทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่อาจมองแค่ผลกระทบรายหน่วยเศรษฐกิจมากกว่า
การเข้าใจเศรษฐศาสตร์มหภาคก็จำเป็นต้องมีความรู้ทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคในระดับที่แม่นยำด้วย เพราะถ้าขนาดวิเคราะห์ผลกระทบระดับย่อยๆไม่ได้ การวิเคราะห์เศรษฐกินมหภาคที่สามารถมองได้ว่าเป็นการเอาหน่วยเศรษฐกิจปัจเจก (ในฐานะฟันเฟืองของเศรษฐกิจมหภาค) ก็คงทำได้อย่างไม่เข้าใจถ่องแท้ เหมือนหมอที่รักษาคนก็ต้องรู้จักอวัยวะทุกส่วนของร่างกายคนไข้เป็นอย่างดี ไม่สามารถมององค์รวมแต่มองข้ามองค์ประกอบย่อยได้เลย
ป.ล.2 ใครมีอะไรเสริมให้น้องๆทราบเกี่ยวกับการเลือกเรียนการเงินหรือเศรษฐศาสตร์เสริมได้นะครับ หรือถ้ามีมุมมองมาแชร์กันขอเรียนเชิญแบ่งปันกันด้วยความยินดีครับ