สวัสดีครับ
เป็นกระทู้แรกสำหรับล็อคอินที่สมัครเอง ก็อยากจะมีสาระหน่อย วันนี้ผมจะขอแชร์ประสบการณ์สำหรับคนที่มีความฝันเป็นนักเขียนการ์ตูนแต่วาดรูปไม่เก่งนะครับ
จริงๆแล้วมีอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยนะครับ นั่นคือการเป็นผู้แต่งเรื่อง ซึ่งคนรุ่นใหม่ที่อยากเป็นนักเขียนการ์ตูนมักคิดว่าการนำเสนอสำนักพิมพ์ต้องเป็นงานที่สมบูรณ์ แต่งเอง วาดเอง ลงเส้น ลงสกรีนอะไรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งค่านิยมส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น นั่นคือ ผลงานควรจะเป็นของเราทั้งหมดทั้งเรื่องและภาพ ทำให้เด็กรุ่นใหม่บางคนส่งงานให้สำนักพิมพ์พิจารณา เนื้อเรื่องดี แต่ภาพไม่ผ่านรู้สึกท้อไปตามๆกัน จริงๆแล้วถ้าเนื้อเรื่องมันดีจริง สนพ. เค้าก็อาจรับพิจารณาไปวาดใหม่โดยนักเขียนมืออาชีพนะครับ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ผ่านเพราะมีข้อจำกัดบางประการซึ่งผมจะพูดในรายละเอียดต่อไป
บอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์ ดังนั้น มันอาจไม่ใช่วิธีที่ถูก ไม่ใช่วิธีที่ดี แต่มันเป็นวิธีที่ผมทำครับ และผมก็ไม่ได้เรียนและมีความรู้ด้านงานวาดเขียนหรือแต่งนิยายอะไรด้วย ทุกอย่างที่นำมาเล่ามาจากประสบการณ์จริงครับ
1. ก่อนอื่นเราก็ควรพอมีพื้นฐานการวาดรูปมาบ้างนะครับ คือวาดดูออกว่าอะไรเป็นอะไร เพราะการที่เราจะขายเนื้อเรื่องให้สำนักพิมพ์พิจารณา ถ้าส่งโดยพิมพ์เป็นร้อยแก้ว เป็นนวนิยายไปให้เนี่ย โอกาสผ่านริบหรี่มากครับ
2. งั้นก็หมายความว่า เรากำลังเขียนเนม หรือ Storyboard ให้ สนพ. พิจารณาใช่ไหม??? ตอบได้เลยว่าใช่ครับ ผมมองว่างานเขียนการ์ตูน ต่างจากเขียนนิยายพอสมควรนะครับ แต่งนิยายคนอ่านจินตนาการจากตัวอักษรที่เราสื่อ แต่เขียนการ์ตูนมันออกมาเป็นภาพโต้งๆเลย ถ้าจะให้เทียบนะครับ ผมมองว่างานเขียนการ์ตูนเหมือนงานกำกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเลยนะครับ(ดูโอเว่อร์มาก 555) แต่มันคือเรื่องจริงครับสำหรับผม
3. ทำไมถึงมองว่าเหมือนการกำกับภาพยนตร์ อย่างแรกเลยต้องมีบทครับ บทดีมีชัยไปกว่าครึ่ง พอมีบทแล้วก็ต้องออกแบบตัวนักแสดง ออกแบบคาแรคเตอร์
4. ได้บท ได้ตัวแสดงแล้ว ต่อไปเราก็ทำหน้าที่ผู้กำกับ เอาล่ะ ที่ผมเคยเอ่ยไว้ตอนต้นว่านักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่ที่ส่งงานให้ สนพ. พิจารณาทำไมไม่ผ่านกัน สมมติว่าลายเส้นห่วยละกันนะครับ แต่เนื้อเรื่องก็พอใช้ได้นี่หว่า...ทำไมไม่เอาเนื้อเรื่องไปวาดใหม่ เหตุผลหนึ่งก็คือ การกำกับเนื้อเรื่องและการกำกับภาพ(มุมกล้อง)มันถูกจำกัดด้วยการวาดครับ คนวาดไม่เก่งมักจะเลี่ยงมุมที่ตนไม่ถนัด บางทีถึงกับเลี่ยงฉากที่เราไม่ถนัดจะวาด บางทีเปลี่ยนการดำเนินเรื่องไปเฉยเลยจากที่ตั้งใจไว้เพราะวาดออกมาไม่ดี คล้ายๆกับหนังต้นทุนต่ำ โปรดักชั่นไม่ดี ก็ไม่กล้าจัดเต็มน่ะครับ
5. ถ้าวันหนึ่งเรารู้ตัวเองแล้วว่าเราไม่ถนัดด้านวาดจริงๆในระดับที่ตีพิมพ์ออกมาได้ แต่เนื้อเรื่องเราพอไหว เราก็มาทุ่มให้เนื้อเรื่องดีกว่าครับ จินตนาการแบบไหน มุมกล้องแบบไหน ใส่ไปเลย วาดให้พอรู้เรื่อง ไม่สวยช่างมัน ยังไงก็โดนเอาไปวาดใหม่อยู่แล้ว ถ้าวาดไม่ไหวจริงๆก็ใส่คำพูดอธิบายไปด้วยว่าเป็นมุมกล้องแบบนี้นะ มีตึกแบบนี้นะ จัดเต็มไปเลยครับ โปรดัคชั่นเรามีทุนให้ไม่อั้น อิอิ
6. อย่าเสียเวลากับการวาดมากเกินไป ผมเป็นบ่อยครับ มันติดนิสัย ถ้าจะวาดก็อยากวาดออกมาดีๆ จนลืมนึกไปว่า เฮ้ย กรูขายเนื้อเรื่องนี่หว่า ก็วาดพอรู้เรื่องพอครับ ทุ่มสมาธิให้กับเนื้อเรื่อง การวางกรอบ วางมุมกล้อง เอ้อ ลืมไป เวลาเขียนกรอบผมไม่ใช้ไม้บรรทัดนะครับ ใช้มือเขียนนี่แหละ แต่ถ้าบางคนไม่ถนัดหรือรู้สึกขัดๆก็ใช้ไม้บรรทัดก็ได้ครับ
7. อย่าคิดว่าจะนำเสนอเป็นบางส่วน หรือเป็นตอนๆ ถ้าเนื้อเรื่องไม่ดีจริงจน บก.อ่านแล้วมือสั่น แล้วถามถึงตอนต่อไปแล้วเนี่ย แนะนำว่าเขียนให้จบเรื่องเลยดีกว่าครับ จะเรื่องสั้น 30 -50 หน้า หรือเรื่องเล่มเดียวจบ 160 – 180 หน้า เอาให้จบครับ บก.พิจารณาได้ง่ายกว่า เพราะการนำเสนองานของหน้าใหม่ บก.คงไม่อยากเสี่ยงเอาไปตีพิมพ์เป็นตอนๆหรอกครับจนกว่าเราจะมีผลงานประจำกับเขา
8. เขียนเสร็จแล้วลองอ่านดูครับว่าไหลลื่นไหม เข้าใจไหม แล้วให้เพื่อนหรือคนรู้จักลองอ่านดู เพราะบางทีเราอาจรู้เรื่องคนเดียวก็ได้ ถึงจะเป็นภาพเขี่ยๆแต่อย่างน้อยที่สุด คนอื่นต้องอ่านรู้เรื่องครับ ไม่เขี่ยจนเกินไป(ถ้านำเสนอ สนพ.ใหม่ๆ ขอวาดสวยพอประมาณตามฝีมือเรานะครับ แต่ไม่ถึงกับตั้งใจมาก เพราะ บก. อาจยังไม่คุ้นตัวละคร และอาจกระทบต่อความไหลลื่นในการอ่านได้)
9. เสร็จแล้วนำเสนอสำนักพิมพ์เลยครับ ไปด้วยตัวเองได้ก็ไปเลย ส่งเมลล์ถึง บก.ได้ก็ส่ง ไม่ต้องรอให้เขาจัดประกวดแต่งเนื้อเรื่องนะครับ แทบไม่มี สนพ.ไหนๆก็อยากได้คนที่ทั้งแต่งและวาดเก่งทั้งนั้นครับ ลดขั้นตอนและต้นทุนไปเยอะ แต่อย่าไปเชื่อ สนพ.ครับ หากประกาศว่าไม่รับเฉพาะแต่งเรื่อง ถ้าเป็น Storyboard ที่อ่านรู้เรื่องผมเชื่อว่ายังไงเค้าก็หยิบมาอ่าน แล้วถ้าเนื้อเรื่องดี เค้าอ่านจนจบและสนใจนำไปวาดใหม่แน่นอน จะได้ผลดีเนี่ยต้องเดินถืองานเข้าหา บก.เลยครับ ผมว่า บก.การ์ตูนไทยหลายเจ้าไม่ใช่คนเข้าถึงตัวยากนะ ออกจะเป็นกันเองด้วยซ้ำ
10. เรื่องเงินๆทองๆแรกๆอย่าไปใส่ใจครับ เค้าให้หน้าละร้อยก็เอาไปเหอะ แค่เรื่องของเราถูกนำไปวาดและตีพิมพ์ก็ภูมิใจแล้ววววววว ดังแล้วค่อยว่ากัน อิอิ
ถ้ายังไม่ผ่าน ก็พยายามต่อไปนะครับ อย่าท้อ จนถึงจุดๆหนึ่งที่วาดก็ไม่ผ่าน แต่งเรื่องก็ไม่ผ่าน ไม่ใช่ทางของเราจริงๆ ก็มาวาดแบ่งปันเพื่อนๆใน pantip เป็นงานอดิเรกก็ได้นะครับ
ป.ล. ผมเองใฝ่ฝันอยากเป็นนักวาดการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กครับ แต่มันไม่ใช่ทางจริงๆ เราก็ปรับเปลี่ยนแนวทางให้เข้าใกล้ฝันมากที่สุด สู้ๆครับ
แชร์ประสบการณ์มือใหม่นำเสนอเนื้อเรื่องกับสำนักพิมพ์ครับ
เป็นกระทู้แรกสำหรับล็อคอินที่สมัครเอง ก็อยากจะมีสาระหน่อย วันนี้ผมจะขอแชร์ประสบการณ์สำหรับคนที่มีความฝันเป็นนักเขียนการ์ตูนแต่วาดรูปไม่เก่งนะครับ
จริงๆแล้วมีอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยนะครับ นั่นคือการเป็นผู้แต่งเรื่อง ซึ่งคนรุ่นใหม่ที่อยากเป็นนักเขียนการ์ตูนมักคิดว่าการนำเสนอสำนักพิมพ์ต้องเป็นงานที่สมบูรณ์ แต่งเอง วาดเอง ลงเส้น ลงสกรีนอะไรเรียบร้อยแล้ว ซึ่งค่านิยมส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น นั่นคือ ผลงานควรจะเป็นของเราทั้งหมดทั้งเรื่องและภาพ ทำให้เด็กรุ่นใหม่บางคนส่งงานให้สำนักพิมพ์พิจารณา เนื้อเรื่องดี แต่ภาพไม่ผ่านรู้สึกท้อไปตามๆกัน จริงๆแล้วถ้าเนื้อเรื่องมันดีจริง สนพ. เค้าก็อาจรับพิจารณาไปวาดใหม่โดยนักเขียนมืออาชีพนะครับ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ผ่านเพราะมีข้อจำกัดบางประการซึ่งผมจะพูดในรายละเอียดต่อไป
บอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์ ดังนั้น มันอาจไม่ใช่วิธีที่ถูก ไม่ใช่วิธีที่ดี แต่มันเป็นวิธีที่ผมทำครับ และผมก็ไม่ได้เรียนและมีความรู้ด้านงานวาดเขียนหรือแต่งนิยายอะไรด้วย ทุกอย่างที่นำมาเล่ามาจากประสบการณ์จริงครับ
1. ก่อนอื่นเราก็ควรพอมีพื้นฐานการวาดรูปมาบ้างนะครับ คือวาดดูออกว่าอะไรเป็นอะไร เพราะการที่เราจะขายเนื้อเรื่องให้สำนักพิมพ์พิจารณา ถ้าส่งโดยพิมพ์เป็นร้อยแก้ว เป็นนวนิยายไปให้เนี่ย โอกาสผ่านริบหรี่มากครับ
2. งั้นก็หมายความว่า เรากำลังเขียนเนม หรือ Storyboard ให้ สนพ. พิจารณาใช่ไหม??? ตอบได้เลยว่าใช่ครับ ผมมองว่างานเขียนการ์ตูน ต่างจากเขียนนิยายพอสมควรนะครับ แต่งนิยายคนอ่านจินตนาการจากตัวอักษรที่เราสื่อ แต่เขียนการ์ตูนมันออกมาเป็นภาพโต้งๆเลย ถ้าจะให้เทียบนะครับ ผมมองว่างานเขียนการ์ตูนเหมือนงานกำกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเลยนะครับ(ดูโอเว่อร์มาก 555) แต่มันคือเรื่องจริงครับสำหรับผม
3. ทำไมถึงมองว่าเหมือนการกำกับภาพยนตร์ อย่างแรกเลยต้องมีบทครับ บทดีมีชัยไปกว่าครึ่ง พอมีบทแล้วก็ต้องออกแบบตัวนักแสดง ออกแบบคาแรคเตอร์
4. ได้บท ได้ตัวแสดงแล้ว ต่อไปเราก็ทำหน้าที่ผู้กำกับ เอาล่ะ ที่ผมเคยเอ่ยไว้ตอนต้นว่านักเขียนการ์ตูนรุ่นใหม่ที่ส่งงานให้ สนพ. พิจารณาทำไมไม่ผ่านกัน สมมติว่าลายเส้นห่วยละกันนะครับ แต่เนื้อเรื่องก็พอใช้ได้นี่หว่า...ทำไมไม่เอาเนื้อเรื่องไปวาดใหม่ เหตุผลหนึ่งก็คือ การกำกับเนื้อเรื่องและการกำกับภาพ(มุมกล้อง)มันถูกจำกัดด้วยการวาดครับ คนวาดไม่เก่งมักจะเลี่ยงมุมที่ตนไม่ถนัด บางทีถึงกับเลี่ยงฉากที่เราไม่ถนัดจะวาด บางทีเปลี่ยนการดำเนินเรื่องไปเฉยเลยจากที่ตั้งใจไว้เพราะวาดออกมาไม่ดี คล้ายๆกับหนังต้นทุนต่ำ โปรดักชั่นไม่ดี ก็ไม่กล้าจัดเต็มน่ะครับ
5. ถ้าวันหนึ่งเรารู้ตัวเองแล้วว่าเราไม่ถนัดด้านวาดจริงๆในระดับที่ตีพิมพ์ออกมาได้ แต่เนื้อเรื่องเราพอไหว เราก็มาทุ่มให้เนื้อเรื่องดีกว่าครับ จินตนาการแบบไหน มุมกล้องแบบไหน ใส่ไปเลย วาดให้พอรู้เรื่อง ไม่สวยช่างมัน ยังไงก็โดนเอาไปวาดใหม่อยู่แล้ว ถ้าวาดไม่ไหวจริงๆก็ใส่คำพูดอธิบายไปด้วยว่าเป็นมุมกล้องแบบนี้นะ มีตึกแบบนี้นะ จัดเต็มไปเลยครับ โปรดัคชั่นเรามีทุนให้ไม่อั้น อิอิ
6. อย่าเสียเวลากับการวาดมากเกินไป ผมเป็นบ่อยครับ มันติดนิสัย ถ้าจะวาดก็อยากวาดออกมาดีๆ จนลืมนึกไปว่า เฮ้ย กรูขายเนื้อเรื่องนี่หว่า ก็วาดพอรู้เรื่องพอครับ ทุ่มสมาธิให้กับเนื้อเรื่อง การวางกรอบ วางมุมกล้อง เอ้อ ลืมไป เวลาเขียนกรอบผมไม่ใช้ไม้บรรทัดนะครับ ใช้มือเขียนนี่แหละ แต่ถ้าบางคนไม่ถนัดหรือรู้สึกขัดๆก็ใช้ไม้บรรทัดก็ได้ครับ
7. อย่าคิดว่าจะนำเสนอเป็นบางส่วน หรือเป็นตอนๆ ถ้าเนื้อเรื่องไม่ดีจริงจน บก.อ่านแล้วมือสั่น แล้วถามถึงตอนต่อไปแล้วเนี่ย แนะนำว่าเขียนให้จบเรื่องเลยดีกว่าครับ จะเรื่องสั้น 30 -50 หน้า หรือเรื่องเล่มเดียวจบ 160 – 180 หน้า เอาให้จบครับ บก.พิจารณาได้ง่ายกว่า เพราะการนำเสนองานของหน้าใหม่ บก.คงไม่อยากเสี่ยงเอาไปตีพิมพ์เป็นตอนๆหรอกครับจนกว่าเราจะมีผลงานประจำกับเขา
8. เขียนเสร็จแล้วลองอ่านดูครับว่าไหลลื่นไหม เข้าใจไหม แล้วให้เพื่อนหรือคนรู้จักลองอ่านดู เพราะบางทีเราอาจรู้เรื่องคนเดียวก็ได้ ถึงจะเป็นภาพเขี่ยๆแต่อย่างน้อยที่สุด คนอื่นต้องอ่านรู้เรื่องครับ ไม่เขี่ยจนเกินไป(ถ้านำเสนอ สนพ.ใหม่ๆ ขอวาดสวยพอประมาณตามฝีมือเรานะครับ แต่ไม่ถึงกับตั้งใจมาก เพราะ บก. อาจยังไม่คุ้นตัวละคร และอาจกระทบต่อความไหลลื่นในการอ่านได้)
9. เสร็จแล้วนำเสนอสำนักพิมพ์เลยครับ ไปด้วยตัวเองได้ก็ไปเลย ส่งเมลล์ถึง บก.ได้ก็ส่ง ไม่ต้องรอให้เขาจัดประกวดแต่งเนื้อเรื่องนะครับ แทบไม่มี สนพ.ไหนๆก็อยากได้คนที่ทั้งแต่งและวาดเก่งทั้งนั้นครับ ลดขั้นตอนและต้นทุนไปเยอะ แต่อย่าไปเชื่อ สนพ.ครับ หากประกาศว่าไม่รับเฉพาะแต่งเรื่อง ถ้าเป็น Storyboard ที่อ่านรู้เรื่องผมเชื่อว่ายังไงเค้าก็หยิบมาอ่าน แล้วถ้าเนื้อเรื่องดี เค้าอ่านจนจบและสนใจนำไปวาดใหม่แน่นอน จะได้ผลดีเนี่ยต้องเดินถืองานเข้าหา บก.เลยครับ ผมว่า บก.การ์ตูนไทยหลายเจ้าไม่ใช่คนเข้าถึงตัวยากนะ ออกจะเป็นกันเองด้วยซ้ำ
10. เรื่องเงินๆทองๆแรกๆอย่าไปใส่ใจครับ เค้าให้หน้าละร้อยก็เอาไปเหอะ แค่เรื่องของเราถูกนำไปวาดและตีพิมพ์ก็ภูมิใจแล้ววววววว ดังแล้วค่อยว่ากัน อิอิ
ถ้ายังไม่ผ่าน ก็พยายามต่อไปนะครับ อย่าท้อ จนถึงจุดๆหนึ่งที่วาดก็ไม่ผ่าน แต่งเรื่องก็ไม่ผ่าน ไม่ใช่ทางของเราจริงๆ ก็มาวาดแบ่งปันเพื่อนๆใน pantip เป็นงานอดิเรกก็ได้นะครับ
ป.ล. ผมเองใฝ่ฝันอยากเป็นนักวาดการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กครับ แต่มันไม่ใช่ทางจริงๆ เราก็ปรับเปลี่ยนแนวทางให้เข้าใกล้ฝันมากที่สุด สู้ๆครับ