วันนี้ว่างงาน จึงขอมาแชร์ประสบการณ์น่าสนใจ แบบสดๆร้อนๆให้สมาชิกได้ช่วยกันพิจารณา
เมื่อวาน( วันอาทิตย์ )เช้าตรู่ พี่สาวได้ชวนผมไปร่วมกิจกรรมหนึ่ง บอกว่าเป็นการลงทะเบียนเกษตรกร รัฐจะแจกที่ดินคนละ 10 ไร่
ผมถามพี่ว่าใครแจก รู้มาไหน ใช้หลักฐานอะไรบ้าง แจกจริงหรือ
พี่ตอบว่า คนรู้จักเอามาบอกเมื่อวานตอนเย็น ห้ามบอกใคร เขาจับฉลาก ถ้าคนรู้เยอะ โอกาสเราได้ก็น้อย ใช้หลักฐาน แค่บัตร ปชป.และสำเนาทะเบียนบ้าน เมื่อ 2 ปีคนหลานคนที่มาบอกเคยได้มาแล้ว และขายไป 2 แสนแล้ว
ผมถามอีกว่า ที่ดินบริเวณที่เขาแจก อยู่ต่างอำเภอ ที่อยู่เราไม่ใกล้เคียงกับสถานที่ เราจะมีสิทธิ์หรือ ที่สำคัญเราไม่ใช่เกษตรกร
พี่ตอบว่าไม่เป็นไร มีสิทธิ์ทุกคน
ผมเก็บความสงสัยอื่นไว้ในใจ ตั้งใจว่าขอไปดูซะหน่อย ในตอนนั้นแม้จะสงสัยอยู่มาก แต่คำยืนยันที่ว่ามีคนได้มาแล้ว และคนที่พูดคือผู้ใหญ่คนนึงที่ผมรู้จัก มันทำให้ผมต้องไปดูกับตา
9 โมงเช้า พี่สาวมารับ เราเดินทางไปยังอำเภอที่ว่า พี่สาวเองก็ไม่รู้ว่าสถานที่จัดกิจกรรมอยู่ที่ไหน ต้องโทรคุยกับคนที่มาบอก มีการเปลี่ยนสถานที่ 2 ครั้ง
เมื่อไปถึงสถานที่จัดกิจกรรม พบว่าอยู่ใจกลางอำเภอ หน้าตลาดเลยทีเีดียว ใกล้โรงเรียนและธ.ยูโอบี ( เอ๊ะ หรือโอยูบี )
แต่ไม่ใช่สถานที่ราชการ ไม่ใช่โรงแรม ไม่ใช่หอประชุม
แต่เป็นเพิงชั่วคราวกึ่งไม้กึ่งปูน ที่ปกติเป็นร้านขายเสื้อผ้า!!! และก็ไม่ได้มีการเอาสินค้าออกไปแต่อย่างใด เพียงแต่ยกเสาแขวนเสื้อผ้าเหล่านั้นไปไว้ด้านหลัง และตั้งโต๊ะขนาด 1*2 ม.ไว้ประมาณ 2 โต๊ะ ติดกัน
เท่าที่สังเกตุขณะนั้นมีชาวบ้าน เกษตรกร จำนวนประมาณ 30 ราย กำลังเตรียมเอกสาร และลงชื่อกัน พี่สาวเดินเข้าไปเอาเอกสาร ส่วนผมก็เริ่มสำรวจ
มี ( อ้างว่าเป็น ) เจ้าหน้าที่ 3 คน คนแรกเป็นสาวแว่นผมยาวอายุประมาณ 35 ปี รับหน้าที่ตรวจเอกสาร และแนะนำผู้มาลงทะเบียน
คนที่สอง เป็นสาวแก่วัยน่าจะใกล้ 60 แต่งตัวจัดเต็มแบบคนต่างจังหวัด ( ลองนึกภาพคนบ้านนอกรุ่นป้าขึ้นไป แต่งตัวไปงานบวชหลานนั่นแหละ ) คนนี้อ้างเป็นเลขาเครือข่าย
คนที่สามเป็นหนุ่มใหญ่อายุประมาณ 45-50 แสดงตัวเป็นหัวหน้าทีม อ้าวว่าเป็น สท. ( แต่พี่เขยได้ยินว่าเป็น สจ. ) แน่นอน แต่งตัวแนวๆนักการเมืองท้องถิ่น ( ซึ่งผมมั่นใจว่าโกหก )
บนโต๊ะมีบ้านบอกว่ารับเอกสารตรงนี้ ลงทะเบียนโต้นี้ ( เขียนแบบนี้จริงๆ ไม่ทราบว่าเขียนผิดหรือจงใจให้เป็นสำเนียงถิ่น ) ใกล้ๆมีกองกฐินให้ร่วมทำบุญด้วย แต่ไม่ได้สังเกตุว่าของวัดไหน
พี่สาว+พี่เขยลงทะเบียนเรียบร้อย เป็นกระดาษ A4 ตีช่องให้ใส่ข้อมูลชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร มี 3 ชุด ต้องลงทะเบียนทั้งหมด
หลังจากนั้นก็เอาเอกสารใบสมัครมาให้ผมเขียน ก่อนเขียนผมก็ไปลงทะเบียน แต่ผมลงไปแค่ชุดเดียว ( เพราะเข้าใจว่ามันเหมือนๆกันหมด )
เมื่อเขียนใบสมัครเสร็จพี่สาว+พี่เขยก็ไปยื่นให้หญิงแว่นตรวจ ส่วนผมยังไม่ได้เขียน ตั้งใจว่าจะรอลอกของพี่เขย ช่วงเวลานั้นก็เลยไปยืนมุงๆอยู่แถวโต๊ะ มีชาวบ้านคนนึงเคยเป็นทหารผ่านศึก หญิงที่อ้างเป็นเลขาแต่แต่งตัวเหมือนมาขายเบอร์หุ้น บอกว่าให้ไปถ่ายเอกสารใบผ่านศึกมา จะมีสิทธิ์ได้ที่ดินถึง 30 ไร่ หนุ่มคนอื่นก็ถามบ้างว่าเคยเป็นทหารเกณฑ์มาแต่ไม่มีใบผ่านศึก ใช้ได้หรือไม่ เธอก็บอกให้ไปเอามา ( อยากถามเธอว่าผมไม่มีใบผ่านศึก แต่เป็นส.ต.กอง ขอ 15 ไร่ได้มั้ย

)
หลังจากตรวจเอกสารผ่าน พี่เขยก็มาแนะนำผม บอกให้ลงอาชีพว่าเป็นเกษตรกร ( ขุดหลุมปลูกมะเขือ 10 หลุม กรูขุดอยู่ชั่วโมงนึง

)
ในนั้นมีให้ระบุด้วยว่าครอบครองที่ดินหรือไม่ มีหลักฐานอะไร แต่ผมไม่ได้ระบุ เพราะพี่เขยไม่ระบุก็ผ่านมาได้
เมื่อเรียบร้อยแล้วผมจึงนำใบสมัครและหลักฐานไปยื่นให้หญิงแว่นตรวจ อธิบายก่อนว่าใบสมัครนี้คือ ใบสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิดเครือข่าย สุราษฎร์ร่วมใจ ( ซึ่งตอนนี้ก็ยังอยู่หน้าคอมป์ผม )
หลักฐานทุกอย่างผ่านหมด เธอเรียกเก็บเงินค่าสมัคร 40 บาท และจะนำเอกสารผมส่งใหญ่ท่านเลขา
ผมบอกว่าช้าก่อน ผมยังไม่ส่ง ผมจะเอาไปให้เพื่อนลอกก่อน เธอจึงส่งเอกสารคือให้ผม
ในใจผมขณะนั้นมันหมดความเชื่อถือไปตั้งแต่คุณป้าขายเบอร์หุ้น มาเปิดกิจกรรมในเพิงขายเสื้อผ้า และเขียนป้ายว่า "ลงทะเบียนโต้นี้" ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ยุทธการณ์สอดไส้จึงได้เกิดขึ้น
ผมนำเอกสารทั้งหมดพร้อมเงิน 40 บาทไปยื่นให้คุณป้า เธอดูใบสมัครผมที่อยู่หน้าแรก แล้วเปิดไปหน้าถัดไปซึ่งเป็นหลักฐานการสมัคร เปิดไปเพื่อเจอกับการสอดไส้ของผม
เธอเงียบไปประมาณ 3-4 วิเมื่อเปิดมาเจอสำเนาบัตรประชาชนผม แล้วถามขึ้นมาว่า
ป้าขายเบอร์หุ้น : ใครบอกให้คุณขีดคร่อมสำเนา แบบนี้ใช้ไม่ได้
ผม : ทำไมไม่ได้ละครับ ตอนผมไปเปิดบัญชีธนาคาร พนักงานแนะนำมาแบบนี้
ป้าขายเบอร์หุ้น : แต่ที่นี้ไม่ได้ เราเป็นหน่วยงานราชการ คุณไม่ต้องกลัวเราเอาเอกสารไปทำอะไร ( โธ่ อีป้า เครือข่ายป้าไปเป็นราชการตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าเป็นก็เอาบัตรประชาชนที่เหน็บไว้ตรงราวนมนั่นออก แล้วเอาบัตรข้าราชการมาเหน็บสิ )
ผมก็ยิ้มๆ แล้วรับเอกสารคืนจากเธอ แต่เธอดึงเงิน 40 บาท ออก ผมบอกว่าเอามาด้วย เดี๋ยวผมมายื่นใหม่ทีเดียว
ผมเดินออกมาด้านหน้ามาบอกพี่สาว + พี่เขยเรื่องไม่รับเอกสารขีดคร่อม พวกเขาเริ่มตกใจ เพราะจริงๆเรื่องนี้หลายๆคนก็รู้ แต่มักจะละเลย หลังจากนั้นก็ไปคุยกับผู้ใหญ่ที่เป็นคนบอกข่าวเรา แกบอกว่าแกเองก็รู้สึกแปลกๆ คราวที่แล้วที่แกบอกว่าหลานแกได้ มีพวก อบต.ผู้ใหญ่ กำนัน มาร่วมงานหลายคน แต่นี้ไม่มีเลย
ผมบอกให้พี่สาว+พี่เขยไปเอาเอกสารคืนมา ส่วนตัวผมกลับไปรอที่รถ ไม่สมัครแล้ว หลังจากนั้นเดินทางกลับ
และมาทราบภายหลังว่าพวกเขาไม่กล้าไปเอาเอกสารคืน ผมปรึกษากับเพื่อนตำรวจ ได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.ในพื้นที่
กลับมาถึงบ้านผมก็เชคในเนตเกี่ยวกับเครือข่ายนี้ พบว่ามีคำเตือนจากผู้ว่าสุราษฎร์ให้ระวังคนกลุ่มนี้ นอกจากนี้ยังพบว่าเครือข่ายมีการแสดงออกทางการเมืองด้วย ( นั่นเป็นเหตุผลที่ผม TAG การเมือง )
หลังจากนั่งวิเคราะ ผมก็มองว่าเหตุการณ์มีมีความเป็นไปได้ 2 กรณีคือ
1.เครือข่าย มีการรวบรวมรายชื่อและต้องการหลักฐานบุคคลเพื่อนำไปดำเนินการทางการเมือง หรือต่อรองในด้านที่กลุ่มต้องการ
2.ในเนตที่ผมเชค ใบสมัครมีการปั้มตราเครือข่ายไว้มุมซ้ายบน เป็นการปั้มตรายางด้วยหมึกสีน้ำเงิน ในขณะที่ใบสมัครในมือผม เป็นเอกสารที่นำใบสมัครที่ปั้มตรายางไปถ่ายเอกสารอีกที จึงเป็นไปได้ว่าคนกลุ่มนี้สวมรอยเครือข่ายอีกที และมีจุดมุ่งหมายที่จะเอารายชื่อ และเอกสารประจำตัวบุคคลไปใช้เพื่อการอื่นเช่นกัน ส่วนเงิน 40 บาท คาดว่าป้าอยากได้เงินไปซื้อชุดใหม่ ( ในเนตที่อื่นเก็บ 20 บาท )
ทั้งนี้และทั้งนั้นประเด็นหลักคือการที่ไม่รับเอกสารที่มีการขีดคร่อมของผม ซึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่าใช้สมัครสมาชิกเครื่อข่ายสุรายฎร์ร่วมใจ
นั่นหมายความว่าคนกลุ่มนี้มีจุดประสงค์สำคัญอยู่ที่เอกสารสำเนาบัตร ปชช. และ ทะเบียนบ้าน ที่มีการเซ็นต์สำเนาถูกต้อง ส่วนจะเอาไปใช้ทำอะไรนั้น สมาชิกย่อมมีวิจารณญาณพิจารณาได้เอง
ขอบคุณที่อ่านจนจบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ
ระวัง เครือข่ายสุราษฎร์ร่วมใจ
เมื่อวาน( วันอาทิตย์ )เช้าตรู่ พี่สาวได้ชวนผมไปร่วมกิจกรรมหนึ่ง บอกว่าเป็นการลงทะเบียนเกษตรกร รัฐจะแจกที่ดินคนละ 10 ไร่
ผมถามพี่ว่าใครแจก รู้มาไหน ใช้หลักฐานอะไรบ้าง แจกจริงหรือ
พี่ตอบว่า คนรู้จักเอามาบอกเมื่อวานตอนเย็น ห้ามบอกใคร เขาจับฉลาก ถ้าคนรู้เยอะ โอกาสเราได้ก็น้อย ใช้หลักฐาน แค่บัตร ปชป.และสำเนาทะเบียนบ้าน เมื่อ 2 ปีคนหลานคนที่มาบอกเคยได้มาแล้ว และขายไป 2 แสนแล้ว
ผมถามอีกว่า ที่ดินบริเวณที่เขาแจก อยู่ต่างอำเภอ ที่อยู่เราไม่ใกล้เคียงกับสถานที่ เราจะมีสิทธิ์หรือ ที่สำคัญเราไม่ใช่เกษตรกร
พี่ตอบว่าไม่เป็นไร มีสิทธิ์ทุกคน
ผมเก็บความสงสัยอื่นไว้ในใจ ตั้งใจว่าขอไปดูซะหน่อย ในตอนนั้นแม้จะสงสัยอยู่มาก แต่คำยืนยันที่ว่ามีคนได้มาแล้ว และคนที่พูดคือผู้ใหญ่คนนึงที่ผมรู้จัก มันทำให้ผมต้องไปดูกับตา
9 โมงเช้า พี่สาวมารับ เราเดินทางไปยังอำเภอที่ว่า พี่สาวเองก็ไม่รู้ว่าสถานที่จัดกิจกรรมอยู่ที่ไหน ต้องโทรคุยกับคนที่มาบอก มีการเปลี่ยนสถานที่ 2 ครั้ง
เมื่อไปถึงสถานที่จัดกิจกรรม พบว่าอยู่ใจกลางอำเภอ หน้าตลาดเลยทีเีดียว ใกล้โรงเรียนและธ.ยูโอบี ( เอ๊ะ หรือโอยูบี )
แต่ไม่ใช่สถานที่ราชการ ไม่ใช่โรงแรม ไม่ใช่หอประชุม
แต่เป็นเพิงชั่วคราวกึ่งไม้กึ่งปูน ที่ปกติเป็นร้านขายเสื้อผ้า!!! และก็ไม่ได้มีการเอาสินค้าออกไปแต่อย่างใด เพียงแต่ยกเสาแขวนเสื้อผ้าเหล่านั้นไปไว้ด้านหลัง และตั้งโต๊ะขนาด 1*2 ม.ไว้ประมาณ 2 โต๊ะ ติดกัน
เท่าที่สังเกตุขณะนั้นมีชาวบ้าน เกษตรกร จำนวนประมาณ 30 ราย กำลังเตรียมเอกสาร และลงชื่อกัน พี่สาวเดินเข้าไปเอาเอกสาร ส่วนผมก็เริ่มสำรวจ
มี ( อ้างว่าเป็น ) เจ้าหน้าที่ 3 คน คนแรกเป็นสาวแว่นผมยาวอายุประมาณ 35 ปี รับหน้าที่ตรวจเอกสาร และแนะนำผู้มาลงทะเบียน
คนที่สอง เป็นสาวแก่วัยน่าจะใกล้ 60 แต่งตัวจัดเต็มแบบคนต่างจังหวัด ( ลองนึกภาพคนบ้านนอกรุ่นป้าขึ้นไป แต่งตัวไปงานบวชหลานนั่นแหละ ) คนนี้อ้างเป็นเลขาเครือข่าย
คนที่สามเป็นหนุ่มใหญ่อายุประมาณ 45-50 แสดงตัวเป็นหัวหน้าทีม อ้าวว่าเป็น สท. ( แต่พี่เขยได้ยินว่าเป็น สจ. ) แน่นอน แต่งตัวแนวๆนักการเมืองท้องถิ่น ( ซึ่งผมมั่นใจว่าโกหก )
บนโต๊ะมีบ้านบอกว่ารับเอกสารตรงนี้ ลงทะเบียนโต้นี้ ( เขียนแบบนี้จริงๆ ไม่ทราบว่าเขียนผิดหรือจงใจให้เป็นสำเนียงถิ่น ) ใกล้ๆมีกองกฐินให้ร่วมทำบุญด้วย แต่ไม่ได้สังเกตุว่าของวัดไหน
พี่สาว+พี่เขยลงทะเบียนเรียบร้อย เป็นกระดาษ A4 ตีช่องให้ใส่ข้อมูลชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร มี 3 ชุด ต้องลงทะเบียนทั้งหมด
หลังจากนั้นก็เอาเอกสารใบสมัครมาให้ผมเขียน ก่อนเขียนผมก็ไปลงทะเบียน แต่ผมลงไปแค่ชุดเดียว ( เพราะเข้าใจว่ามันเหมือนๆกันหมด )
เมื่อเขียนใบสมัครเสร็จพี่สาว+พี่เขยก็ไปยื่นให้หญิงแว่นตรวจ ส่วนผมยังไม่ได้เขียน ตั้งใจว่าจะรอลอกของพี่เขย ช่วงเวลานั้นก็เลยไปยืนมุงๆอยู่แถวโต๊ะ มีชาวบ้านคนนึงเคยเป็นทหารผ่านศึก หญิงที่อ้างเป็นเลขาแต่แต่งตัวเหมือนมาขายเบอร์หุ้น บอกว่าให้ไปถ่ายเอกสารใบผ่านศึกมา จะมีสิทธิ์ได้ที่ดินถึง 30 ไร่ หนุ่มคนอื่นก็ถามบ้างว่าเคยเป็นทหารเกณฑ์มาแต่ไม่มีใบผ่านศึก ใช้ได้หรือไม่ เธอก็บอกให้ไปเอามา ( อยากถามเธอว่าผมไม่มีใบผ่านศึก แต่เป็นส.ต.กอง ขอ 15 ไร่ได้มั้ย
หลังจากตรวจเอกสารผ่าน พี่เขยก็มาแนะนำผม บอกให้ลงอาชีพว่าเป็นเกษตรกร ( ขุดหลุมปลูกมะเขือ 10 หลุม กรูขุดอยู่ชั่วโมงนึง
ในนั้นมีให้ระบุด้วยว่าครอบครองที่ดินหรือไม่ มีหลักฐานอะไร แต่ผมไม่ได้ระบุ เพราะพี่เขยไม่ระบุก็ผ่านมาได้
เมื่อเรียบร้อยแล้วผมจึงนำใบสมัครและหลักฐานไปยื่นให้หญิงแว่นตรวจ อธิบายก่อนว่าใบสมัครนี้คือ ใบสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิดเครือข่าย สุราษฎร์ร่วมใจ ( ซึ่งตอนนี้ก็ยังอยู่หน้าคอมป์ผม )
หลักฐานทุกอย่างผ่านหมด เธอเรียกเก็บเงินค่าสมัคร 40 บาท และจะนำเอกสารผมส่งใหญ่ท่านเลขา
ผมบอกว่าช้าก่อน ผมยังไม่ส่ง ผมจะเอาไปให้เพื่อนลอกก่อน เธอจึงส่งเอกสารคือให้ผม
ในใจผมขณะนั้นมันหมดความเชื่อถือไปตั้งแต่คุณป้าขายเบอร์หุ้น มาเปิดกิจกรรมในเพิงขายเสื้อผ้า และเขียนป้ายว่า "ลงทะเบียนโต้นี้" ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ยุทธการณ์สอดไส้จึงได้เกิดขึ้น
ผมนำเอกสารทั้งหมดพร้อมเงิน 40 บาทไปยื่นให้คุณป้า เธอดูใบสมัครผมที่อยู่หน้าแรก แล้วเปิดไปหน้าถัดไปซึ่งเป็นหลักฐานการสมัคร เปิดไปเพื่อเจอกับการสอดไส้ของผม
เธอเงียบไปประมาณ 3-4 วิเมื่อเปิดมาเจอสำเนาบัตรประชาชนผม แล้วถามขึ้นมาว่า
ป้าขายเบอร์หุ้น : ใครบอกให้คุณขีดคร่อมสำเนา แบบนี้ใช้ไม่ได้
ผม : ทำไมไม่ได้ละครับ ตอนผมไปเปิดบัญชีธนาคาร พนักงานแนะนำมาแบบนี้
ป้าขายเบอร์หุ้น : แต่ที่นี้ไม่ได้ เราเป็นหน่วยงานราชการ คุณไม่ต้องกลัวเราเอาเอกสารไปทำอะไร ( โธ่ อีป้า เครือข่ายป้าไปเป็นราชการตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าเป็นก็เอาบัตรประชาชนที่เหน็บไว้ตรงราวนมนั่นออก แล้วเอาบัตรข้าราชการมาเหน็บสิ )
ผมก็ยิ้มๆ แล้วรับเอกสารคืนจากเธอ แต่เธอดึงเงิน 40 บาท ออก ผมบอกว่าเอามาด้วย เดี๋ยวผมมายื่นใหม่ทีเดียว
ผมเดินออกมาด้านหน้ามาบอกพี่สาว + พี่เขยเรื่องไม่รับเอกสารขีดคร่อม พวกเขาเริ่มตกใจ เพราะจริงๆเรื่องนี้หลายๆคนก็รู้ แต่มักจะละเลย หลังจากนั้นก็ไปคุยกับผู้ใหญ่ที่เป็นคนบอกข่าวเรา แกบอกว่าแกเองก็รู้สึกแปลกๆ คราวที่แล้วที่แกบอกว่าหลานแกได้ มีพวก อบต.ผู้ใหญ่ กำนัน มาร่วมงานหลายคน แต่นี้ไม่มีเลย
ผมบอกให้พี่สาว+พี่เขยไปเอาเอกสารคืนมา ส่วนตัวผมกลับไปรอที่รถ ไม่สมัครแล้ว หลังจากนั้นเดินทางกลับ
และมาทราบภายหลังว่าพวกเขาไม่กล้าไปเอาเอกสารคืน ผมปรึกษากับเพื่อนตำรวจ ได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.ในพื้นที่
กลับมาถึงบ้านผมก็เชคในเนตเกี่ยวกับเครือข่ายนี้ พบว่ามีคำเตือนจากผู้ว่าสุราษฎร์ให้ระวังคนกลุ่มนี้ นอกจากนี้ยังพบว่าเครือข่ายมีการแสดงออกทางการเมืองด้วย ( นั่นเป็นเหตุผลที่ผม TAG การเมือง )
หลังจากนั่งวิเคราะ ผมก็มองว่าเหตุการณ์มีมีความเป็นไปได้ 2 กรณีคือ
1.เครือข่าย มีการรวบรวมรายชื่อและต้องการหลักฐานบุคคลเพื่อนำไปดำเนินการทางการเมือง หรือต่อรองในด้านที่กลุ่มต้องการ
2.ในเนตที่ผมเชค ใบสมัครมีการปั้มตราเครือข่ายไว้มุมซ้ายบน เป็นการปั้มตรายางด้วยหมึกสีน้ำเงิน ในขณะที่ใบสมัครในมือผม เป็นเอกสารที่นำใบสมัครที่ปั้มตรายางไปถ่ายเอกสารอีกที จึงเป็นไปได้ว่าคนกลุ่มนี้สวมรอยเครือข่ายอีกที และมีจุดมุ่งหมายที่จะเอารายชื่อ และเอกสารประจำตัวบุคคลไปใช้เพื่อการอื่นเช่นกัน ส่วนเงิน 40 บาท คาดว่าป้าอยากได้เงินไปซื้อชุดใหม่ ( ในเนตที่อื่นเก็บ 20 บาท )
ทั้งนี้และทั้งนั้นประเด็นหลักคือการที่ไม่รับเอกสารที่มีการขีดคร่อมของผม ซึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่าใช้สมัครสมาชิกเครื่อข่ายสุรายฎร์ร่วมใจ
นั่นหมายความว่าคนกลุ่มนี้มีจุดประสงค์สำคัญอยู่ที่เอกสารสำเนาบัตร ปชช. และ ทะเบียนบ้าน ที่มีการเซ็นต์สำเนาถูกต้อง ส่วนจะเอาไปใช้ทำอะไรนั้น สมาชิกย่อมมีวิจารณญาณพิจารณาได้เอง
ขอบคุณที่อ่านจนจบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ