
ได้ไปงาน Hormones Fin Day ซึ่งเป็นงานที่ GTH จัดเพื่อให้ชม EP.13 ของซีรีส์ดัง Hormones The Series พร้อมกันในโรงหนังเมเจอร์รัชโยธินมาครับ พอดูจบเปิดทวิตเตอร์ เป็นเฟซบุก เปิดพันทิป แล้วตกใจ ที่กระแสตีไปด้านหนึ่งเยอะเลย จึงอยากแชร์ความรู้สึกตัวเองกับเขาบ้าง
ข้อควรทราบก่อนอ่านรีวิวนี้
1. Hormones EP.13 ที่ผมได้ดูนั้น ไม่มีการตัดเข้าโฆษณา ยิงม้วนเดียวจบ ฉะนั้นความต่อเนื่องของอารมณ์จะต่างกับคนดูทีวี แล้วมีโฆษณาคั่นชัดเจน
2. คนเขียนแทบไม่ติดฮอร์โมนเลย แต่พอทราบตัวละครในระดับหนึ่ง จากการดูย้อนหลังบางตอน และการสปอยสดทางทวิตเตอร์ (สปอยซะแทบไม่ต้องดูเอง)
3. คนเขียนชอบฟังเพลง โดยเฉพาะฟังคลื่น Fat Radio (บ้าขนาดดันไปสังเกตว่า วงที่เล่นอยู่ในฉาก See Scape ถึงเวทีคือ Street Funk Rollers)
4. คนเขียนชอบดูดนตรีสด ไปดูหลายงานในกรุงเทพ ต่างจังหวัดนานๆที แต่ไม่ได้กระตือรือร้นไปเทศกาลดนตรีบิ๊กเมาเท่นมากขนาดนั้น เคยไปแค่ครั้งแรก แม้จะไม่สวยเพราะเป็นลมนอนในรถพยาบาลคืนที่สอง (เลยไม่อยากไปอีก ฮาๆๆๆ)
ซึ่งสามข้อหลังนี้ ผมว่าเป็นฉันทาคติ (อคติจากความรัก ความพึงพอใจ) และอาจเป็นจุดที่อาจทำให้ผมมองตอนนี้ เหมือน หรือ ไม่เหมือน คนอื่นก็ได้ครับ โอเค เริ่มอ่านต่อเลยครับ
ได้ไปงาน Hormones Fin Day มาครับ เป็นงานที่ GTH จัดเพื่อให้ชม EP13 ของซีรีส์ดัง Hormones The Series พร้อมกันในโรงหนังเมเจอร์รัชโยธิน มีการชิงบัตรจากหลายแหล่งมากมาย ซึ่งผมเล่นเกมได้จากทวิตเตอร์ครับ ไปถึงงานรับบัตรสองทุ่ม คนเยอะมาก เพราะเขาปิดโรงใหญ่สองชั้นของที่นั่นจัดงาน เข้าโรงสามทุ่มครึ่งกว่า รอสักพัก มีพิธีกรมาพูดเข้างาน สัมภาษณ์พี่ย้งนิดหน่อย แล้วเตือนเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือ และการใช้เสียงในโรง ว่าให้งด เพราะกลัวเวลาตัวละครที่เราชอบเข้าฉาก แล้วเรากรี๊ด มันจะเป็นการรบกวนคนอื่น (แต่ห้ามไม่ได้อยู่ดี โดยเฉพาะช็อตชวนฟินทั้งหลาย) แล้วก็เริ่มฉาย

ระหว่างขั้นตอนนี้มีจุดตะกุกตะกักพอสมควร เช่นจุดรับบัตรอยู่ตรงล็อบบี้ชั้น 3 ที่แคบ แต่คนเยอะ ทั้งคนรอดูงานนี้ และคนดูหนังปกติ และพอเวลาเข้าโรงจริงๆ ก็กลายเป็นว่าต้องรอที่ล็อบบี้อีกพักนึง เพราะการปล่อยคนข้างบนชั้นโรงหนังช้า ซึ่งผมไม่ได้อยู่ข้างบน แต่เดาว่ามีการถ่ายรูปนักแสดงตรงแบ็คดรอปหน้าโรง เลยทำให้ขั้นตอนล่าช้า และมีคนกองอยู่ชั้น 3 เยอะมาก (ถ้า GTH มาอ่าน ฝากปรับปรุง process ตรงนี้ด้วยครับ)
เข้าสู่ตัวเนื้อหาของตอนนี้
ตอนหลัก ๆ ที่อยากพูดถึง เริ่มจาก วินไปบ้านครูอ้อด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม ตรงนี้ชอบ Score ที่เปิดในฉากมาก โดยเฉพาะหลังวินกดกริ่ง ติ๊งหน่อง ไปสองสามครั้ง เสียงก็เงียบไป แล้วเพลงที่ขึ้นมาก็เป็นเสียงเปียในด้วยสองโน้ต แบบเดียวกับเสียงติ๊งหน่อง และประกอบกับการกำกับภาพ มุมกล้อง แถมดันไปนั่งดูในโรงเสียอีก ณ ฉากนี้ เลยทำให้รู้สึกด้วยองค์ประกอบหลายอย่างว่า Hormones มันมีความเป็น "หนัง" มากกว่าเป็นทีวีซีรีส์ไทย (สอดคล้องกับที่คุณ คุณชาย "ไม้แขวนเสื้อ" ตอบไว้ในกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/30856366/comment11 ครับ)

ถัดมา ฉากแม่ดาว เป็นฉากที่ผมรำคาญเสียกว่าที่หลายคนรำคาญฉากมันใหญ่มากเสียอีก ด้วยการยิงยาวดูปิดเทอมใหญ่ฉากกินเหล้าย้อมใจ ก่อนจะจบด้วยการคว้ากุญแจไปซื้อเค้กให้ดาว แล้วพบว่าดาวไม่ได้อยู่บ้านเพื่อนแต่ไปมันใหญ่มาก มีแต่คำถามว่า ทำไม ตั้งแต่นั่งดูหนังฉากนั้น จนฉากนั้นแทบจบ แม้อีกนัย ผมจะแอบเดาว่า เขาเจตนากระตุ้นภาพวัยรุ่นแบบที่แม่ดาวไม่ชอบ ให้แม่ดาวรู้สึกถูกกระตุ้นว่า ลูกมันจะไปทางนี้รึเปล่า แล้วก็คว้ากุญแจไปหาดาว แต่ก็เป็นฉากที่บิ๊วนานเกินไป และที่ตลกคือฉากซื้อเค้ก ที่จะไปทำไม (แถมไปร้านที่ผมรู้จักอีก เห็นตั้งแต่จุดจอดรถก็รู้แล้ว ฮาๆๆๆ) ฉากนี้สามารถตัดไปเป็นการถือเค้กมาเยี่ยมดาวเลยก็ได้ เสียดายตรงนี้นั่นแหละ

ฉากบิ๊กเมาเท่น เป็นฉากที่เลือกใช้เป็นคลายปมหนึ่งของตัวละคร ต้าร์ ได้อย่างดี การสื่ออารมณ์ในฉากตั้งแต่ห้องซ้อม ที่คุยกันคิดไลน์ดนตรี ฉากที่ลงรถตู้ได้ Tag ศิลปิน ฉากที่เดินมาหน้าเวที เข้าไปด้านหลัง ฉากบูมวงก่อนขึ้นเวที จนขึ้นเวที ค่อนข้างแม่น เข้าถึงหัวอกหัวใจเด็กเล่นดนตรี และได้ขึ้นเวทีใหญ่ครั้งแรก อาจเพราะพี่ย้งเพิ่งผ่านงานกำกับดีวีดี BODYSLAM นั่งเล่น มาก่อน จึงมีมุมของ "หลังเวที" ที่ออกมาแม่นยำขนาดนี้

ส่วนคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมต้องบิ๊กเมาเท่น ผมมองว่าจะไปงานอื่น เช่น แฟตเฟส ก็ไปได้ ซึ่งเอาจริงๆ แฟตเฟสครั้งที่แล้วก็ตอบโจทย์ฉากนี้ได้เท่ากันเลย เอา See Scape เข้าฉากก็ได้ มันก็ตอบโจทย์เด็กวัยรุ่น ที่ได้ขึ้นเวทีใหญ่ๆพอกัน มี Slot Machine แถม Big Ass ก็มา แต่ทำไมล่ะ ก็คงเพราะความเป็นแกรมมี่นั่นแหละ มันคุย มันตกลงกันเรื่องการเข้าฉากง่าย ยิ่งป๋าเต็ดเพิ่งร่วมงานกับพี่ย้งใน BODYSLAM นั่งเล่น ยิ่งคุยง่าย เขาเลยเลือกงานนี้มากกว่า (อันนี้มุมมองส่วนตัวผมนะ)

ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็ถูกจัดวางทางเลือกของตนไว้โอเค และค่อยๆเฉลยระหว่างเพลงแต่ละเพลงในงานถูกเล่น
เพดาน : อธิบายเพดานความสัมพันธ์ของคนสองคน ว่ามันจะสุดได้แค่ไหนได้ดี ด้วยการพยายามทุบเพดานของภูด้วยการจะจับมือ (ซึ่งดันไปสอดคล้องกับเนื้อเพลงว่า จับมือเธอได้เพียงแค่ในฝัน) ซึ่งการกำกับในส่วนนี้ ทำให้ลุ้นดีครับ และต้าร์ที่น่าจะยอมรับเพดานที่มีอยู่ปัจจุบัน และค่อยๆขยับเข้าไปอีกครั้ง รอจนกว่าอีกฝ่ายจะขยับเพดานตัวเอง และมีวินโผล่เข้ามาตอนท้าย ซึ่งความสัมพันธ์กับเพื่อนคนอื่น ก็ชนเพดานไปเรียบร้อย ฉากของ See Scape บนเวทีคอนเสิร์ต ก็ได้ฟีลคอนเสิร์ตจริง แม้จะมีจุดที่สังเกตว่าอาจจะถ่ายทำเองภายหลังเยอะแยะก็ตาม

จันทร์เจ้า : อธิบายตัว วิน ที่ตัดสินใจเดินออกจากกลุ่มเพื่อนออกมา ทั้งที่สามารถขอโทษ สารภาพผิดได้ ซึ่งตรงนั้นอย่างน้อยก็มีหมอก ที่ยอมรับวินอยู่ แต่ก็เลือกจะเดินออกมา I say goodbye ตามเนื้อเพลงท่อนฮุคเอง
ส่วนตัวมองว่าเพลงนี้เกินมานิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องลงเวลากับฉากนี้มากเกินไปก็ได้ ยาวประมาณครึ่งเพลงเลย

แดนเนรมิต : ความหมายของเพลง แดนเนรมิต คือดินแดนที่สร้างขึ้นมาด้วยตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นดินแดนที่เป็นรูปธรรม หรือจะเป็นนามธรรม ซึ่งฉากนี้ การสร้างดินแดน คือการสร้างความสัมพันธ์กับคนที่ตนรัก รวมทั้งการพัฒนาเติบโตของแต่ละคนตามเนื้อเรื่อง และดินแดนก็คงจะเป็นผลจากสิ่งที่แต่ละตัวละครทำไว้ตลอดทั้ง Season ผลจากการสร้างความสัมพันธ์ ทั้งความรู้สึกกับคนในครอบครัว แม้ผลของบางคนดูผิดเพี้ยน เช่น ดาว ที่มีภาพครอบครัวสุขสันต์ ทั้งที่กลางๆตอน แม่ดาวเพิ่งปรอทแตกไป และกับคนรอบข้าง ที่มีการจับคู่ชัดเจนในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น ต้าร์-เต้ย ขวัญ-หมอก ไผ่-สไปรท์ ภู-ธีร์ แม้ว่าความสัมพันธ์แต่ละคนมันไม่อาจไม่ใช่คำว่าคู่รัก แฟน แต่นี่คือผลการสร้างความสัมพันธ์ ของแต่ละคู่ที่ต่างฝ่ายต่างก็ยอมรับและมีความสุขกับมัน ชัดเจนยิ่งกว่าคือ วิน ที่พยายามสร้างสิ่งต่างๆ.... เรียกง่ายๆว่า หาเรื่อง ละกัน... ตลอด Season ตั้งแต่ต้น จน EP.12 ผลที่ได้รับคือดินแดนที่ล่มสลาย ความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนที่ย่ำแย่ ยิ่งครอบครัว ยิ่งชัด ภาพของวินกับครอบครัวนี่ไม่มีเลย ซึ่งผมชอบการสรุปด้วยเพลงนี้ในระดับนึงเลย

และภาพก็ตัดจบ... ตอนแรก ผมก็คิดว่า "เฮ้ย จบแล้วเรอะ" เหมือนกัน แต่พอมานั่งคิด โดยเฉพาะในตอนนี้ที่กำลังเรียบเรียงเป็นรีวิว ก็รู้สึกว่า ที่มันตัดจบตรงนี้ก็โอเคแล้วครับ โอเคสำหรับการไปดูแบบในโรง ฉายต่อกัน ไม่มีโฆษณา ไม่มีทวิตเตอร์ เฟซบุค มือถือ แถมจอใหญ่ เสียงดัง เพ่งสมาธิกับเนื้อหาตอนนี้ได้เต็มที่ ยิ่งด้วยการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ ทำให้ตอนนี้สำหรับคนดูในโรง เป็นเหมือนหนังสั้นเกือบชั่วโมง ที่เข้าท่า ถึงเนื้อหาจะน้อยไป แต่ก็เป็นเนื้อหาที่กระจายถึงตัวละครหลักได้ระดับหนึ่ง และด้วยความที่ทั้งตอนนี้จบแบบคลี่คลาย ทำให้มีการผ่อนเบาของเนื้อเรื่อง และส่งผลถึงความน้อยของบทตามกันไป จนถึงคลี่คลายแบบยานคางเลยทีเดียว
แล้วกับคนที่ดูทางทีวีล่ะ อันนี้ตอนแรกผมก็สงสัยนะ แต่พออ่านความเห็นในเน็ต แล้วเหมือนจะมีทิศทางชัดเจนมาก..... ซึ่งสิ่งที่เกิดน่าจะมาจากการที่ตอนนี้ เล่าด้วยความต่อเนื่องยาวเหยียดของฉากบิ๊กเมาเท่นมากเกินไป ถ้าความเป็นหนัง ไม่ตัด ไม่โฆษณา อารมณ์มันจะต่อเนื่องสามเพลงติด เป็น Sequence เดียวไปเลย แต่พอตัดสองเบรค มันเลยกลายเป็นสองช่วง ที่เล่าเรื่องด้วยวิธีเดียวกัน อารมณ์ จังหวะจะโคนทุกอย่างเท่ากัน ทำให้คนดูเบื่อ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ควรคำนวณใหม่อีกครั้ง ในการทำ Season ถัดไป ว่าจะทำตอนที่มีเนื้อเรื่อง และอารมณ์แบบนี้ออกมาอีกไหม
แต่ส่วนอื่นนั้น ก็ตามที่กล่าวไปก่อนหน้า คือมีจุดที่ถูกจริต และไม่ถูกจริตของผมอยู่ ซึ่งการใช้เพลงเล่าเรื่อง ก็ถือว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบ โดยเฉพาะเพลง เพดาน ส่วนแดนเนรมิต ก็คลี่คลายอะไรได้ดีสำหรับผมครับ
ย้อนกลับมาเรื่องตัวงานอีกที หลังฉายจบพี่ย้ง และทีมนักแสดงก็ลงมาจากชั้นสองของโรง มาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พูดถึงงาน Hormones Day and Night ซึ่งตอนนั้นแทบไม่ได้ฟังรายละเอียด เพราะอยากกลับบ้านแล้ว กลัวรถเมล์หมด แต่ที่ตั้งใจฟัง และสำคัญอย่างหนึ่งของงานคือ พี่ย้งประกาศว่า Hormones The Series Season 2 พี่ย้งจะเลื่อนไปทำงานแค่โปรดิวเซอร์เท่านั้น ส่วนผู้กำกับจะเปลี่ยนมือเป็น
ปิง-เกรียงไกร วชิรธรรมพร หนึ่งในทีมเขียนบท SS.1 และมีประสบการณ์กำกับหนัง เพื่อนไม่เก่า มาก่อนครับ เอาเป็นว่า Season ใหม่จะเป็นอย่างไรก็ลองติดตามดูกัน
ส่วนรีวิวนี้ ก็แค่เป็นการแชร์สิ่งที่ได้พบจากงาน Hormones Fin Day และมุมมองจากคนที่ได้ดู Hormones EP.13 นี้ ในที่ที่ต่างออกไป และมุมที่ต่างออกไปเฉย ๆ ครับ เห็นคนคุยกันเรื่องนี้เยอะ เลยเอาบ้าง ฮาๆๆ
หมดแล้ว ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบถึงบรรทัดนี้ครับ
ขอบคุณภาพประกอบจาก Facebook GTH ครับ
[SR] Review : Hormones Fin Day บรรยากาศการดู EP.13 ในโรง และมุมมองตอนนี้จากคนที่ไม่ติด แต่ได้ดูในโรงแบบไม่มีโฆษณาคั่น
ได้ไปงาน Hormones Fin Day ซึ่งเป็นงานที่ GTH จัดเพื่อให้ชม EP.13 ของซีรีส์ดัง Hormones The Series พร้อมกันในโรงหนังเมเจอร์รัชโยธินมาครับ พอดูจบเปิดทวิตเตอร์ เป็นเฟซบุก เปิดพันทิป แล้วตกใจ ที่กระแสตีไปด้านหนึ่งเยอะเลย จึงอยากแชร์ความรู้สึกตัวเองกับเขาบ้าง
ข้อควรทราบก่อนอ่านรีวิวนี้
1. Hormones EP.13 ที่ผมได้ดูนั้น ไม่มีการตัดเข้าโฆษณา ยิงม้วนเดียวจบ ฉะนั้นความต่อเนื่องของอารมณ์จะต่างกับคนดูทีวี แล้วมีโฆษณาคั่นชัดเจน
2. คนเขียนแทบไม่ติดฮอร์โมนเลย แต่พอทราบตัวละครในระดับหนึ่ง จากการดูย้อนหลังบางตอน และการสปอยสดทางทวิตเตอร์ (สปอยซะแทบไม่ต้องดูเอง)
3. คนเขียนชอบฟังเพลง โดยเฉพาะฟังคลื่น Fat Radio (บ้าขนาดดันไปสังเกตว่า วงที่เล่นอยู่ในฉาก See Scape ถึงเวทีคือ Street Funk Rollers)
4. คนเขียนชอบดูดนตรีสด ไปดูหลายงานในกรุงเทพ ต่างจังหวัดนานๆที แต่ไม่ได้กระตือรือร้นไปเทศกาลดนตรีบิ๊กเมาเท่นมากขนาดนั้น เคยไปแค่ครั้งแรก แม้จะไม่สวยเพราะเป็นลมนอนในรถพยาบาลคืนที่สอง (เลยไม่อยากไปอีก ฮาๆๆๆ)
ซึ่งสามข้อหลังนี้ ผมว่าเป็นฉันทาคติ (อคติจากความรัก ความพึงพอใจ) และอาจเป็นจุดที่อาจทำให้ผมมองตอนนี้ เหมือน หรือ ไม่เหมือน คนอื่นก็ได้ครับ โอเค เริ่มอ่านต่อเลยครับ
ได้ไปงาน Hormones Fin Day มาครับ เป็นงานที่ GTH จัดเพื่อให้ชม EP13 ของซีรีส์ดัง Hormones The Series พร้อมกันในโรงหนังเมเจอร์รัชโยธิน มีการชิงบัตรจากหลายแหล่งมากมาย ซึ่งผมเล่นเกมได้จากทวิตเตอร์ครับ ไปถึงงานรับบัตรสองทุ่ม คนเยอะมาก เพราะเขาปิดโรงใหญ่สองชั้นของที่นั่นจัดงาน เข้าโรงสามทุ่มครึ่งกว่า รอสักพัก มีพิธีกรมาพูดเข้างาน สัมภาษณ์พี่ย้งนิดหน่อย แล้วเตือนเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือ และการใช้เสียงในโรง ว่าให้งด เพราะกลัวเวลาตัวละครที่เราชอบเข้าฉาก แล้วเรากรี๊ด มันจะเป็นการรบกวนคนอื่น (แต่ห้ามไม่ได้อยู่ดี โดยเฉพาะช็อตชวนฟินทั้งหลาย) แล้วก็เริ่มฉาย
ระหว่างขั้นตอนนี้มีจุดตะกุกตะกักพอสมควร เช่นจุดรับบัตรอยู่ตรงล็อบบี้ชั้น 3 ที่แคบ แต่คนเยอะ ทั้งคนรอดูงานนี้ และคนดูหนังปกติ และพอเวลาเข้าโรงจริงๆ ก็กลายเป็นว่าต้องรอที่ล็อบบี้อีกพักนึง เพราะการปล่อยคนข้างบนชั้นโรงหนังช้า ซึ่งผมไม่ได้อยู่ข้างบน แต่เดาว่ามีการถ่ายรูปนักแสดงตรงแบ็คดรอปหน้าโรง เลยทำให้ขั้นตอนล่าช้า และมีคนกองอยู่ชั้น 3 เยอะมาก (ถ้า GTH มาอ่าน ฝากปรับปรุง process ตรงนี้ด้วยครับ)
เข้าสู่ตัวเนื้อหาของตอนนี้
ตอนหลัก ๆ ที่อยากพูดถึง เริ่มจาก วินไปบ้านครูอ้อด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม ตรงนี้ชอบ Score ที่เปิดในฉากมาก โดยเฉพาะหลังวินกดกริ่ง ติ๊งหน่อง ไปสองสามครั้ง เสียงก็เงียบไป แล้วเพลงที่ขึ้นมาก็เป็นเสียงเปียในด้วยสองโน้ต แบบเดียวกับเสียงติ๊งหน่อง และประกอบกับการกำกับภาพ มุมกล้อง แถมดันไปนั่งดูในโรงเสียอีก ณ ฉากนี้ เลยทำให้รู้สึกด้วยองค์ประกอบหลายอย่างว่า Hormones มันมีความเป็น "หนัง" มากกว่าเป็นทีวีซีรีส์ไทย (สอดคล้องกับที่คุณ คุณชาย "ไม้แขวนเสื้อ" ตอบไว้ในกระทู้นี้ http://pantip.com/topic/30856366/comment11 ครับ)
ถัดมา ฉากแม่ดาว เป็นฉากที่ผมรำคาญเสียกว่าที่หลายคนรำคาญฉากมันใหญ่มากเสียอีก ด้วยการยิงยาวดูปิดเทอมใหญ่ฉากกินเหล้าย้อมใจ ก่อนจะจบด้วยการคว้ากุญแจไปซื้อเค้กให้ดาว แล้วพบว่าดาวไม่ได้อยู่บ้านเพื่อนแต่ไปมันใหญ่มาก มีแต่คำถามว่า ทำไม ตั้งแต่นั่งดูหนังฉากนั้น จนฉากนั้นแทบจบ แม้อีกนัย ผมจะแอบเดาว่า เขาเจตนากระตุ้นภาพวัยรุ่นแบบที่แม่ดาวไม่ชอบ ให้แม่ดาวรู้สึกถูกกระตุ้นว่า ลูกมันจะไปทางนี้รึเปล่า แล้วก็คว้ากุญแจไปหาดาว แต่ก็เป็นฉากที่บิ๊วนานเกินไป และที่ตลกคือฉากซื้อเค้ก ที่จะไปทำไม (แถมไปร้านที่ผมรู้จักอีก เห็นตั้งแต่จุดจอดรถก็รู้แล้ว ฮาๆๆๆ) ฉากนี้สามารถตัดไปเป็นการถือเค้กมาเยี่ยมดาวเลยก็ได้ เสียดายตรงนี้นั่นแหละ
ฉากบิ๊กเมาเท่น เป็นฉากที่เลือกใช้เป็นคลายปมหนึ่งของตัวละคร ต้าร์ ได้อย่างดี การสื่ออารมณ์ในฉากตั้งแต่ห้องซ้อม ที่คุยกันคิดไลน์ดนตรี ฉากที่ลงรถตู้ได้ Tag ศิลปิน ฉากที่เดินมาหน้าเวที เข้าไปด้านหลัง ฉากบูมวงก่อนขึ้นเวที จนขึ้นเวที ค่อนข้างแม่น เข้าถึงหัวอกหัวใจเด็กเล่นดนตรี และได้ขึ้นเวทีใหญ่ครั้งแรก อาจเพราะพี่ย้งเพิ่งผ่านงานกำกับดีวีดี BODYSLAM นั่งเล่น มาก่อน จึงมีมุมของ "หลังเวที" ที่ออกมาแม่นยำขนาดนี้
ส่วนคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมต้องบิ๊กเมาเท่น ผมมองว่าจะไปงานอื่น เช่น แฟตเฟส ก็ไปได้ ซึ่งเอาจริงๆ แฟตเฟสครั้งที่แล้วก็ตอบโจทย์ฉากนี้ได้เท่ากันเลย เอา See Scape เข้าฉากก็ได้ มันก็ตอบโจทย์เด็กวัยรุ่น ที่ได้ขึ้นเวทีใหญ่ๆพอกัน มี Slot Machine แถม Big Ass ก็มา แต่ทำไมล่ะ ก็คงเพราะความเป็นแกรมมี่นั่นแหละ มันคุย มันตกลงกันเรื่องการเข้าฉากง่าย ยิ่งป๋าเต็ดเพิ่งร่วมงานกับพี่ย้งใน BODYSLAM นั่งเล่น ยิ่งคุยง่าย เขาเลยเลือกงานนี้มากกว่า (อันนี้มุมมองส่วนตัวผมนะ)
ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็ถูกจัดวางทางเลือกของตนไว้โอเค และค่อยๆเฉลยระหว่างเพลงแต่ละเพลงในงานถูกเล่น
เพดาน : อธิบายเพดานความสัมพันธ์ของคนสองคน ว่ามันจะสุดได้แค่ไหนได้ดี ด้วยการพยายามทุบเพดานของภูด้วยการจะจับมือ (ซึ่งดันไปสอดคล้องกับเนื้อเพลงว่า จับมือเธอได้เพียงแค่ในฝัน) ซึ่งการกำกับในส่วนนี้ ทำให้ลุ้นดีครับ และต้าร์ที่น่าจะยอมรับเพดานที่มีอยู่ปัจจุบัน และค่อยๆขยับเข้าไปอีกครั้ง รอจนกว่าอีกฝ่ายจะขยับเพดานตัวเอง และมีวินโผล่เข้ามาตอนท้าย ซึ่งความสัมพันธ์กับเพื่อนคนอื่น ก็ชนเพดานไปเรียบร้อย ฉากของ See Scape บนเวทีคอนเสิร์ต ก็ได้ฟีลคอนเสิร์ตจริง แม้จะมีจุดที่สังเกตว่าอาจจะถ่ายทำเองภายหลังเยอะแยะก็ตาม
จันทร์เจ้า : อธิบายตัว วิน ที่ตัดสินใจเดินออกจากกลุ่มเพื่อนออกมา ทั้งที่สามารถขอโทษ สารภาพผิดได้ ซึ่งตรงนั้นอย่างน้อยก็มีหมอก ที่ยอมรับวินอยู่ แต่ก็เลือกจะเดินออกมา I say goodbye ตามเนื้อเพลงท่อนฮุคเอง
ส่วนตัวมองว่าเพลงนี้เกินมานิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องลงเวลากับฉากนี้มากเกินไปก็ได้ ยาวประมาณครึ่งเพลงเลย
แดนเนรมิต : ความหมายของเพลง แดนเนรมิต คือดินแดนที่สร้างขึ้นมาด้วยตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นดินแดนที่เป็นรูปธรรม หรือจะเป็นนามธรรม ซึ่งฉากนี้ การสร้างดินแดน คือการสร้างความสัมพันธ์กับคนที่ตนรัก รวมทั้งการพัฒนาเติบโตของแต่ละคนตามเนื้อเรื่อง และดินแดนก็คงจะเป็นผลจากสิ่งที่แต่ละตัวละครทำไว้ตลอดทั้ง Season ผลจากการสร้างความสัมพันธ์ ทั้งความรู้สึกกับคนในครอบครัว แม้ผลของบางคนดูผิดเพี้ยน เช่น ดาว ที่มีภาพครอบครัวสุขสันต์ ทั้งที่กลางๆตอน แม่ดาวเพิ่งปรอทแตกไป และกับคนรอบข้าง ที่มีการจับคู่ชัดเจนในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น ต้าร์-เต้ย ขวัญ-หมอก ไผ่-สไปรท์ ภู-ธีร์ แม้ว่าความสัมพันธ์แต่ละคนมันไม่อาจไม่ใช่คำว่าคู่รัก แฟน แต่นี่คือผลการสร้างความสัมพันธ์ ของแต่ละคู่ที่ต่างฝ่ายต่างก็ยอมรับและมีความสุขกับมัน ชัดเจนยิ่งกว่าคือ วิน ที่พยายามสร้างสิ่งต่างๆ.... เรียกง่ายๆว่า หาเรื่อง ละกัน... ตลอด Season ตั้งแต่ต้น จน EP.12 ผลที่ได้รับคือดินแดนที่ล่มสลาย ความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนที่ย่ำแย่ ยิ่งครอบครัว ยิ่งชัด ภาพของวินกับครอบครัวนี่ไม่มีเลย ซึ่งผมชอบการสรุปด้วยเพลงนี้ในระดับนึงเลย
และภาพก็ตัดจบ... ตอนแรก ผมก็คิดว่า "เฮ้ย จบแล้วเรอะ" เหมือนกัน แต่พอมานั่งคิด โดยเฉพาะในตอนนี้ที่กำลังเรียบเรียงเป็นรีวิว ก็รู้สึกว่า ที่มันตัดจบตรงนี้ก็โอเคแล้วครับ โอเคสำหรับการไปดูแบบในโรง ฉายต่อกัน ไม่มีโฆษณา ไม่มีทวิตเตอร์ เฟซบุค มือถือ แถมจอใหญ่ เสียงดัง เพ่งสมาธิกับเนื้อหาตอนนี้ได้เต็มที่ ยิ่งด้วยการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ ทำให้ตอนนี้สำหรับคนดูในโรง เป็นเหมือนหนังสั้นเกือบชั่วโมง ที่เข้าท่า ถึงเนื้อหาจะน้อยไป แต่ก็เป็นเนื้อหาที่กระจายถึงตัวละครหลักได้ระดับหนึ่ง และด้วยความที่ทั้งตอนนี้จบแบบคลี่คลาย ทำให้มีการผ่อนเบาของเนื้อเรื่อง และส่งผลถึงความน้อยของบทตามกันไป จนถึงคลี่คลายแบบยานคางเลยทีเดียว
แล้วกับคนที่ดูทางทีวีล่ะ อันนี้ตอนแรกผมก็สงสัยนะ แต่พออ่านความเห็นในเน็ต แล้วเหมือนจะมีทิศทางชัดเจนมาก..... ซึ่งสิ่งที่เกิดน่าจะมาจากการที่ตอนนี้ เล่าด้วยความต่อเนื่องยาวเหยียดของฉากบิ๊กเมาเท่นมากเกินไป ถ้าความเป็นหนัง ไม่ตัด ไม่โฆษณา อารมณ์มันจะต่อเนื่องสามเพลงติด เป็น Sequence เดียวไปเลย แต่พอตัดสองเบรค มันเลยกลายเป็นสองช่วง ที่เล่าเรื่องด้วยวิธีเดียวกัน อารมณ์ จังหวะจะโคนทุกอย่างเท่ากัน ทำให้คนดูเบื่อ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ควรคำนวณใหม่อีกครั้ง ในการทำ Season ถัดไป ว่าจะทำตอนที่มีเนื้อเรื่อง และอารมณ์แบบนี้ออกมาอีกไหม
แต่ส่วนอื่นนั้น ก็ตามที่กล่าวไปก่อนหน้า คือมีจุดที่ถูกจริต และไม่ถูกจริตของผมอยู่ ซึ่งการใช้เพลงเล่าเรื่อง ก็ถือว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบ โดยเฉพาะเพลง เพดาน ส่วนแดนเนรมิต ก็คลี่คลายอะไรได้ดีสำหรับผมครับ
ย้อนกลับมาเรื่องตัวงานอีกที หลังฉายจบพี่ย้ง และทีมนักแสดงก็ลงมาจากชั้นสองของโรง มาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พูดถึงงาน Hormones Day and Night ซึ่งตอนนั้นแทบไม่ได้ฟังรายละเอียด เพราะอยากกลับบ้านแล้ว กลัวรถเมล์หมด แต่ที่ตั้งใจฟัง และสำคัญอย่างหนึ่งของงานคือ พี่ย้งประกาศว่า Hormones The Series Season 2 พี่ย้งจะเลื่อนไปทำงานแค่โปรดิวเซอร์เท่านั้น ส่วนผู้กำกับจะเปลี่ยนมือเป็น ปิง-เกรียงไกร วชิรธรรมพร หนึ่งในทีมเขียนบท SS.1 และมีประสบการณ์กำกับหนัง เพื่อนไม่เก่า มาก่อนครับ เอาเป็นว่า Season ใหม่จะเป็นอย่างไรก็ลองติดตามดูกัน
ส่วนรีวิวนี้ ก็แค่เป็นการแชร์สิ่งที่ได้พบจากงาน Hormones Fin Day และมุมมองจากคนที่ได้ดู Hormones EP.13 นี้ ในที่ที่ต่างออกไป และมุมที่ต่างออกไปเฉย ๆ ครับ เห็นคนคุยกันเรื่องนี้เยอะ เลยเอาบ้าง ฮาๆๆ
หมดแล้ว ขอบคุณที่ตามอ่านจนจบถึงบรรทัดนี้ครับ
ขอบคุณภาพประกอบจาก Facebook GTH ครับ