ไม่ได้อยากสบประมาทความตั้งใจของคุณชัชชาติ ( รมว.คมนาคม ) หรอกนะครับ
แต่ถ้าท่านแก้ปัญหาการจราจรใน กทม. ได้สำเร็จล่ะก็ ผมว่าควรยกให้ท่านเป็น
"รัฐบุรุษ" คนที่ 3 ต่อจากคุณปรีดีและป๋าเปรมไปเลยดีกว่า เพราะถือว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่เคยมีใครแก้ได้ ( แม้แต่อดีตนายกฯ ทักษิณ เคยหาเสียงไว้ก็ยังทำไม่ได้ )
ปัญหาการจราจรใน กทม. มันไม่ใช่แค่เรื่องของ กทม. แต่มันพัวพันไปทั้งประเทศ เพราะเราต้องไม่ลืมว่า
"13 ล้านคน หรือ 1 ใน 5 ของประชากรไทย เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้"
ถ้าท่านไม่สามารถทำให้คน ตจว. มีทางเลือกที่จะไม่ต้องเข้ามาใน กทม. ( หรือเมืองใหญ่อื่นๆ เพราะที่เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หาดใหญ่ ก็มีคนบ่นๆ เรื่องรถติดกันแล้ว ) แล้วมีโอกาสได้งานดีๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม คนก็ยังแห่ไปตามเมืองใหญ่ๆ หรือ กทม. อยู่ดี เพราะเป็นค่านิยมไปแล้ว
รถเมล์ก็ส่วนหนึ่งของปัญหา รถไฟก็เช่นกัน แน่นอนท่านทำถูกแล้วที่ลองทำตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ไปรับฟังปัญหาของคนเหล่านี้ว่าทำไมรถไฟถึงไม่ตรงเวลา หรือทำไมคนขับรถร่วมต้องขับซิ่ง - ขับลาก
( ท่านก็ได้ข้อมูลคล้ายกับที่ผมได้ กรณีรถร่วมที่คนขับและกระเป๋าไม่มีเงินเดือน แต่กินส่วนแบ่งค่าตั๋วเท่านั้น ทำให้ต้องแย่งผู้โดยสารกันใน ชม. เร่งด่วน และขับช้าขับลากในช่วงเวลาอื่นๆ )
แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้ได้สัมปทานรถร่วม ก็ไม่อยากลงทุนเพิ่ม เพราะคนสมัยนี้ออกรถยนต์ - มอเตอร์ไซค์ได้ง่ายมาก ทั้งด้วยโปรโมชั่นสารพัดของผู้ขาย บวกกับนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลชุดนี้ และรวมกับรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ทำให้จำนวนผู้ใช้รถเมล์ลดลง เนื่องจากส่วนหนึ่งรถติดเพราะรถส่วนบุคคลเยอะมากในเมือง กับอีกส่วนคือสามารถนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีใกล้บ้าน แล้วต่อสองแถวหรือวินมอเตอร์ไซค์เข้าซอยได้
บางส่วนใช้วิธีปล่อยเช่าเป็นคันๆ ให้คนที่อยากขับรถเมล์ไปเสี่ยงโชคเองก็มี
( ขสมก. เองก็เถอะ ขาดทุนทุกปี แต่ที่อยู่ดีมีสุขเพราะรัฐไทยเจียดงบประมาณมาอุ้มไว้ ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด รับรองได้แข่ง ได้ตีกับรถร่วมแน่ๆ ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยเห็น พนง.ของ ขสมก. ทำตัวกร่างๆ เกรียนๆ เท่าไร เพราะสวัสดิการเขาดีจริง )
ต่างประเทศเขาีมีวิธีการจำกัดการครอบครองรถยนต์ ไม่ว่าจะจำกัดการซื้อรถ เช่นมีรถต้องมีที่จอด หรือการสอบใบขับขี่ทำได้ยากมาก ส่วนบางประเทศไม่จำกัดเรื่องซื้อรถ แต่จำกัดการใช้รถในเมือง เช่นคุณไม่มีสิทธิ์มาจอดเลนซ้ายกันแบบบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นช่วงจราจรคับคั่งหรือไม่มีรถวิ่งเลยก็ตาม
ซึ่งตรงนี้แหละ ผมไม่เชื่อว่าจะมี รมว. คมนาคม หรือแม้แต่นายกฯ คนไหน จากพรรคใดก็ตาม ( แม้แต่รัฐบาลเผด็จการ ) กล้าทำ เพราะถ้าลองทำ รับรองโดนต่อต้านแน่ๆ
- คนไทยส่วนใหญ่รักสบาย และถูก spoiled จนเคยตัว ย่อมไม่อยากลำบาก ไม่อยากมีกฏระเบียบรัดตัว
- นักการเมืองเองก็คงไม่อยากเสียคะแนนเสียงจากประชาชน โดยเฉพาะรากหญ้าและชนชั้นกลาง ที่วันนี้เข้าถึงรถยนต์ได้ง่ายขึ้น
- บริษัทรถยนต์ทั้งหลายคงไม่ยอม เพราะยอดขายจะตกทันที
ไม่อยากดูถูกคุณชัชชาตินะครับ แต่เชื่อเถอะ..ท่านเหนื่อยฟรี ถึงยังไงคนอื่นๆ ใน ครม. กึคงไม่เอาด้วยกับท่าน
( พอๆ กับผู้กองปุระชัย ตอนจัดระเบียบสถานบันเทิง โดยเหน็บ โดนประชด โดนต่อต้านกันใหญ่ พอท่านพ้นตำแหน่งไป นักท่องราตรีเฮกันเลยทีเดียว )
ผมถึงกล้าบอกว่า..
ใครแก้ปัญหาจราจรใน กทม. ได้ ก็เท่ากับแก้ปัญหาหลายๆ อย่างในเมืองไทยได้ด้วย และสมควรได้รับตำแหน่งรัฐบุรุษ เพราะถือว่าเป็นการพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
แต่เชื่อเถอะ ผมมองไม่เห็นทางครับ
ปล.เขียนไม่ยาวนะครับ สั้นแล้ว ( เข้าพรรษา ปฏิญาณตนว่าจะไม่เขียนอะไรยาวๆ สัก 3 เดือน )
เชื่อจริงๆ หรือว่า..จะมีรัฐบาลไหน ที่สามารถแก้ปัญหาการจราจรใน กทม. ได้จริง?
แต่ถ้าท่านแก้ปัญหาการจราจรใน กทม. ได้สำเร็จล่ะก็ ผมว่าควรยกให้ท่านเป็น "รัฐบุรุษ" คนที่ 3 ต่อจากคุณปรีดีและป๋าเปรมไปเลยดีกว่า เพราะถือว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่ไม่เคยมีใครแก้ได้ ( แม้แต่อดีตนายกฯ ทักษิณ เคยหาเสียงไว้ก็ยังทำไม่ได้ )
ปัญหาการจราจรใน กทม. มันไม่ใช่แค่เรื่องของ กทม. แต่มันพัวพันไปทั้งประเทศ เพราะเราต้องไม่ลืมว่า "13 ล้านคน หรือ 1 ใน 5 ของประชากรไทย เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้"
ถ้าท่านไม่สามารถทำให้คน ตจว. มีทางเลือกที่จะไม่ต้องเข้ามาใน กทม. ( หรือเมืองใหญ่อื่นๆ เพราะที่เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา หาดใหญ่ ก็มีคนบ่นๆ เรื่องรถติดกันแล้ว ) แล้วมีโอกาสได้งานดีๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม คนก็ยังแห่ไปตามเมืองใหญ่ๆ หรือ กทม. อยู่ดี เพราะเป็นค่านิยมไปแล้ว
รถเมล์ก็ส่วนหนึ่งของปัญหา รถไฟก็เช่นกัน แน่นอนท่านทำถูกแล้วที่ลองทำตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ไปรับฟังปัญหาของคนเหล่านี้ว่าทำไมรถไฟถึงไม่ตรงเวลา หรือทำไมคนขับรถร่วมต้องขับซิ่ง - ขับลาก
( ท่านก็ได้ข้อมูลคล้ายกับที่ผมได้ กรณีรถร่วมที่คนขับและกระเป๋าไม่มีเงินเดือน แต่กินส่วนแบ่งค่าตั๋วเท่านั้น ทำให้ต้องแย่งผู้โดยสารกันใน ชม. เร่งด่วน และขับช้าขับลากในช่วงเวลาอื่นๆ )
แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้ได้สัมปทานรถร่วม ก็ไม่อยากลงทุนเพิ่ม เพราะคนสมัยนี้ออกรถยนต์ - มอเตอร์ไซค์ได้ง่ายมาก ทั้งด้วยโปรโมชั่นสารพัดของผู้ขาย บวกกับนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลชุดนี้ และรวมกับรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน ทำให้จำนวนผู้ใช้รถเมล์ลดลง เนื่องจากส่วนหนึ่งรถติดเพราะรถส่วนบุคคลเยอะมากในเมือง กับอีกส่วนคือสามารถนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีใกล้บ้าน แล้วต่อสองแถวหรือวินมอเตอร์ไซค์เข้าซอยได้
บางส่วนใช้วิธีปล่อยเช่าเป็นคันๆ ให้คนที่อยากขับรถเมล์ไปเสี่ยงโชคเองก็มี
( ขสมก. เองก็เถอะ ขาดทุนทุกปี แต่ที่อยู่ดีมีสุขเพราะรัฐไทยเจียดงบประมาณมาอุ้มไว้ ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด รับรองได้แข่ง ได้ตีกับรถร่วมแน่ๆ ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยเห็น พนง.ของ ขสมก. ทำตัวกร่างๆ เกรียนๆ เท่าไร เพราะสวัสดิการเขาดีจริง )
ต่างประเทศเขาีมีวิธีการจำกัดการครอบครองรถยนต์ ไม่ว่าจะจำกัดการซื้อรถ เช่นมีรถต้องมีที่จอด หรือการสอบใบขับขี่ทำได้ยากมาก ส่วนบางประเทศไม่จำกัดเรื่องซื้อรถ แต่จำกัดการใช้รถในเมือง เช่นคุณไม่มีสิทธิ์มาจอดเลนซ้ายกันแบบบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นช่วงจราจรคับคั่งหรือไม่มีรถวิ่งเลยก็ตาม
ซึ่งตรงนี้แหละ ผมไม่เชื่อว่าจะมี รมว. คมนาคม หรือแม้แต่นายกฯ คนไหน จากพรรคใดก็ตาม ( แม้แต่รัฐบาลเผด็จการ ) กล้าทำ เพราะถ้าลองทำ รับรองโดนต่อต้านแน่ๆ
- คนไทยส่วนใหญ่รักสบาย และถูก spoiled จนเคยตัว ย่อมไม่อยากลำบาก ไม่อยากมีกฏระเบียบรัดตัว
- นักการเมืองเองก็คงไม่อยากเสียคะแนนเสียงจากประชาชน โดยเฉพาะรากหญ้าและชนชั้นกลาง ที่วันนี้เข้าถึงรถยนต์ได้ง่ายขึ้น
- บริษัทรถยนต์ทั้งหลายคงไม่ยอม เพราะยอดขายจะตกทันที
ไม่อยากดูถูกคุณชัชชาตินะครับ แต่เชื่อเถอะ..ท่านเหนื่อยฟรี ถึงยังไงคนอื่นๆ ใน ครม. กึคงไม่เอาด้วยกับท่าน
( พอๆ กับผู้กองปุระชัย ตอนจัดระเบียบสถานบันเทิง โดยเหน็บ โดนประชด โดนต่อต้านกันใหญ่ พอท่านพ้นตำแหน่งไป นักท่องราตรีเฮกันเลยทีเดียว )
ผมถึงกล้าบอกว่า..ใครแก้ปัญหาจราจรใน กทม. ได้ ก็เท่ากับแก้ปัญหาหลายๆ อย่างในเมืองไทยได้ด้วย และสมควรได้รับตำแหน่งรัฐบุรุษ เพราะถือว่าเป็นการพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
แต่เชื่อเถอะ ผมมองไม่เห็นทางครับ
ปล.เขียนไม่ยาวนะครับ สั้นแล้ว ( เข้าพรรษา ปฏิญาณตนว่าจะไม่เขียนอะไรยาวๆ สัก 3 เดือน )