ชีวิตของผู้มีความเพียร

ผู้ใดเกียจคร้าน มีความเพียรเลว แม้จะมีชีวิตอยู่ถึงร้อยปี การมีชีวิตของเขาไม่ประเสริฐ ส่วนผู้มีความเพียรมั่นคง แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว “ประเสริฐกว่า”

คนเกียจคร้าน คือคนที่ไม่ปราถนาทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ตน และแก่คนทั้งหลาย แม้ร่างกายมิได้เหน็ดเหนื่อย ไม่ได้เจ็บป่วย แต่ก็ไม่ทำงาน เอาแต่กิน นอน เที่ยว และประกอบกรรมอันเป็นโทษต่างๆ เช่นความเป็นนักเลงต่างๆ อย่างนักเลงผู้หญิง นักเลงการพนัน นักเลงสุรา เป็นต้น มีข้ออ้างในการไม่ทำงานมาก เช่นอ้างว่า หนาวนัก ร้อนนัก ยังเช้าอยู่ เย็นมากเสียแล้ว คนอื่นไม่เห็นใครทำ เราจะทำทำไม หรืออ้างว่าไม่มีอะไรจะทำ

ความจริงสิ่งที่จะต้องทำนั้นมีอยู่เสมอ ตายแล้วเกิดอีกสักกี่ชาติ ก็ทำไม่หมด นอกจากไม่อยากทำเท่านั้น แล้วเที่ยวอ้างนั่นอ้างนี่ ความรู้ที่มีอยู่ในโลก เรียนอีกสักกี่ชาติก็ไม่หมด เมื่อป่วยน้อยก็กลัวว่า หากทำงานเข้าก็จะป่วยมาก จึงไม่ทำ เมื่อป่วยมากเข้า ก็ยิ่งเป็นข้ออ้างได้สมใจ หายป่วยแล้วก็ไม่ทำงาน เกรงว่าโรคจะกลับมาอีก ตรงกันข้ามกับคนมีความเพียร เมื่อป่วยน้อย ก็รีบทำงานตามกำลังของตน เพราะคิดว่า หากป่วยมากจะไม่ได้ทำ เมื่อหายป่วยแล้วก็รีบทำงานตามกำลังของตน เพราะเกรงว่า หากโรคกลับมาอีกจะไม่ได้ทำ

เมื่อยังเช้าอยู่ ก็รีบทำงาน เพราะจะได้ผลงานมาก เมื่อเย็นแล้ว ก็รีบทำงาน เพราะกลัวจะค่ำเสียก่อน ทำไม่ทัน คนมีความเพียรย่อมไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง นึกอยู่เสมอว่า ความเพียรควรทำวันนี้ทีเดียว ใครจะรู้ว่า ความตายจะมีในวันพรุ่งนี้หรือไม่ แต่คนเกียจคร้าน พอนึกถึงความตายก็มืออ่อนเท้าอ่อน ไม่ปราถนาจะทำอะไร เพราะกลัวเหนื่อยแรงเปล่า “ไม่กี่วันจะตายอยู่แล้ว จะทำไปทำไม หาความสุขจากความเกียจคร้านดีกว่า” เมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำความเพียรเข้าบ้าง ก็ทำอย่างย่อหย่อนเต็มที ที่ท่านเรียกว่า “มีความเพียรเลว”

เมื่อเหตุย่อหย่อน ก็หวังผลมากไม่ได้ เมื่อได้ผลน้อย คนเกียจคร้านก็ตีโพยตีพายว่า “ทำแล้วไม่เห็นได้ผลอะไร” หาเรื่องไม่ทำต่อไปอีก ส่วนคนมีความเพียรดี เมื่อทำอะไรลงไปแล้ว ยังไม่ได้รับผลก็รอคอย เมื่อได้ผลน้อยไม่สมใจก็คิดว่า เหตุที่ทำน้อยไป ไม่พอแก่ผลที่หวัง ก็เร่งทำเหตุเพิ่มเติม เพื่อให้มีกำลังพอในการบรรดาลผลที่ต้องการ

คนเกียจคร้าน หาความสุขจากความเกียจคร้าน ก็หาได้เหมือนกัน แต่เป็นความสุขที่เจือด้วยพิษภัย ไม่มีผลอะไรเหลือไว้ให้ชื่นใจในภายหลัง มีแต่นึกขึ้นแล้วเสียใจ บ่นเพ้อว่า “ถ้าไม่มัวเกียจคร้านอยู่ ป่านนี้คงได้เป็นแบบนั้นแล้ว เพื่อนรุ่นเดียวกัน เค้าไปกันไกลลิบ” อย่างนี้เป็นต้น

คนมีความเพียร ชอบแสวงหาความสุขจากการทำงาน เห็นงานเป็นเทพบุตร เทพธิดา เป็นพระเจ้าที่จะอำนวยสวัสดีมงคลให้แก่ตน ต้องการผลอย่างไร ก็พยายามทำเหตุอย่างนั้น ด้วยกำลังเรี่ยวแรง ความสามารถทุกด้าน ความสุขจากความเพียรชอบ เป็นความสุขที่ไม่เจือด้วยโทษ มีผลทั้งทางจิตใจและทางสังคม ไม่กินแหนงตนเองเมื่อระลึกถึง

หน้าที่ของเราคือ ความเพียร ส่วนการให้ผลนั้น เป็นหน้าที่ของเหตุที่เราทำ เพราะแบ่งหน้าที่กันแล้ว ถ้าใจแลบไปหาผลบ่อยๆ จะทำงานไม่ได้ดี เมื่อเป็นดังนั้น เหตุก็จะเสีย ผลก็จะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่สำคัญยิ่งคือ จะทำให้ใจกระวนกระวายอยู่เสมอ คนจะทำความเพียรได้สม่ำเสมอ คือ “วิริยารำพะ” ก็ต่อเมื่อมีความเชื่อ มีศรัทธา และมีความรู้ คือ ญาณ

ที่ว่าต้องมีความเชื่อนั้น คือ เชื่อมั่นว่า ความเพียรที่ทำแล้วไม่ไร้ผล จะต้องได้ผลอย่างแน่นอน เร็วหรือช้าเท่านั้น อนึ่งไม่ควรหวังผลเพื่อตนอย่างเดียว หากว่าผลแห่งความเพียรของเราไปตกอยู่ที่คนอื่น หรือแก่สังคม ก็ควรพอใจผลอย่างนั้น จะยั่งยืนกว่าผลที่เป็นของส่วนตัวเราเสียอีก

ที่ว่าต้องมี ญาณ หรือความรู้นั้น คือมีปัญญาตรวจตราโดยรอบคอบ อย่างลงลึกและกว้างว่า “ควรทำความเพียรพยายามในเรื่องใด จึงจะมีผลดีเหมาะแก่ความปราถนาของตน “ ขยายความว่า ทำความเพียรถูกเรื่อง ถูกกาลเทศะ ไม่เป็นทำนอง “รีดนมวัวจากเขาโค” “คั้นน้ำมันจากเมล็ดทราย” “หว่านพืชบนหิน” แต่รีดนมโคจากแม่โคนม คั้นน้ำมันจากเมล็ดพืชที่มีน้ำมัน และหว่านพืชดีในนาดี เมื่อมีองค์ประกอบพร้อมบริบูรณ์ และองค์อันเป็นหลักสมบูรณ์ตามลักษณะของมัน เมื่อกาลเวลาเหมาะ ผลย่อมงอกงามเต็มที่ ให้ความชื่นชูใจแก่เราผู้ทำ

บุคคลผู้มีชีวิตอยู่อย่างเกียจคร้าน เป็นการทำชีวิตให้เป็นหมัน เป็นภาระแก่สังคม ความตายดีกว่าชีวิตเช่นนั้น ส่วนผู้มีความเพียร แม้มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียว ประเสริฐกว่าผู้เกียจคร้านเป็นอยู่ร้อยปี

พุทธสุภาษิตนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดง ขณะเมื่อประทับอยู่ที่วัด เชตวณาราม เมืองสาวัตถี ทรงปรารภ พระสรรพทาส มีเรื่องย่อดังนี้

พระสรรพทาส เมื่อตอนเป็นคฤหัตถ์(คนธรรมดา) ท่านเป็นชาวเมืองสาวัตถี ได้ฟังธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าแล้วมีความเลื่อมใส จึงขอบวช เมื่อบวชแล้ว คราวหนึ่งมีความกระสันใคร่สึก (อยากสึก) แต่มาคิดว่า “เราบวชด้วยศรัทธา ภาวะแห่งคฤหัสถ์ไม่สมควรแก่กุลบุตรเช่นเรา การตายในเพศบรรพชิต ดีกว่าการสึกออกไป” ดังนี้แล้ว คำนึงหาวิธีตายอยู่ว่า จะตายอย่างไร

วันหนึ่ง ภิกษุหลายรูป สงน้ำแต่เช้า ฉันอาหารเสร็จแล้ว เข้าไปในบริเวณวิหาร เห็นงูที่โรงไฟ จึงช่วยกันลอมจับงูใส่หม้อ แล้วนำออกจากวิหาร ส่วนทางกับภิกษุผู้กระสันใคร่สึก เธอถามภิกษุทั้งหลาย ทราบความแล้ว รับอาสาจะนำงูไปทิ้ง รับหม้องูจากภิกษุรูหนึ่งแล้ว คิดว่า “บัดนี้เราได้เครื่องมือแห่งความตายแล้ว” จึงรีบนำหม้องูไปในที่ลับแห่งหนึ่ง เปิดหม้อแล้วให้งูกัด แต่งูไม่กัด เธอจึงเอามือล้วงลงไปในหม้อ แกว่งมืออยู่ทั่วหม้อ งูก็ไม่กัด จึงเปิดปากงู เอานิ้วแหย่ลงไป งูก็ไม่กัดอีก เธอจึงคิดว่า งูนี้ไม่ใช่งูร้าย เป็นงูเรือนแล้ว จึงปล่อยไป

เมื่อพบภิกษุผู้จับงูได้ ภิกษุนั้นถามเธอว่า “นำงูไปปล่อยแล้วหรือ” เธอตอบว่า “ปล่อยไปแล้ว แต่ไม่ใช่งูพิษ มันเป็นงูเรือน” “อะไรกันผู้มีอายุ” ภิกษุรูปนั้นกล่าว “มันเป็นงูพิษร้ายแรงทีเดียว แผ่แม่เบี้ยขู่ ฟู่ๆ พวกเราจับมันได้โดยยาก ทำไมท่านจึงว่าเป็นงูเรือน” “ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าให้มันกัด มันก็ไม่กัด ข้าพเจ้าเอานิ้วแหย่ไปในปากมัน มันก็ไม่กัด” ภิกษุทั้งหลายฟังแล้วก็เฉยเสีย

ต่อมาอีกวันหนึ่ง ช่างกัลบก(ช่างตัดผม) มาปลงผมภิกษุในวิหาร วางมีดโกนเล่มหนึ่งไว้กับพื้น ภิกษุผู้กระสันเห็นมืดโกนนั้นคิดว่า เราจะฆ่าตัวตายด้วยมีดเล่มนั้น จึงถือมีดที่ช่างวางไว้กับพื้นไป ยืนพาดคอเข้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง จ่อเอามีดโกนไว้ที่ก้านคอ พลางใคร่ครวญถึงศีลของตนตั้งแต่อุปสมบท ได้เห็นศีลบริสุทธิ์หมดมลทิน ดั่งดวงจันทร์ปราศจากเมฆหมอก เมื่อตรวจดูศีลอยู่อย่างนี้ ปิติได้แผ่ซ่านทั่วสรีระ เธอข่มปิตินั่นแล้ว เจริญวิปัสนา ได้บรรลุอรหันตผล พร้อมด้วยปฎิสัมภิทาทั้งหลาย แล้วถือมีดโกนเข้าไปในวิหาร

ภิกษุหลายรูปเห็นเธอแล้วถามว่า “ผู้มีอายุ ท่านไปไหนมา” เธอตอบว่า “ข้าพเจ้าถือมีดโกนไป หมายจะตัดก้านคอตัวเองให้ตาย” ภิกษุเหล่านั้นถามต่อว่า “แล้วทำไมไม่ตาย” เธอจึงตอบว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่ควรฆ่าตัวตายแล้ว ขณะที่ข้าพเจ้าจ่อเอาใบมีดโกนเข้าก้านคอ ด้วยคิดว่าจะตัดก้านคอ แต่กลับตัดกิเลสเสียสิ้น ด้วยมีดคือญาณ”

ภิกษุทั้งหลายฟังเธอพูดแล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า “พระรูปนั้นอวดอ้างอรหันตผล ซึ่งไม่มีในตนจริง” พระพุทธองค์ตรัสว่า “ธรรมดาพระขีณาสพ ย่อมไม่ประหารชีวิตตนเอง” ทรงรับรองความเป็นอรหันต์ของภิกษุรูปนั้น ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า “ผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัยแห่งอรหันตผลเช่นนี้ เหตุใดจึงกระสันใคร่สึก อะไรเป็นอุปนิสัยแห่งอรหันตผลของภิกษุนั้น และเหตุไร งูจึงไม่กัดเธอ”

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “งูนั้นเคยเป็นทาสของภิกษุนั้น ในชาตที่สาม นับจากชาติ มันไม่กัดนายของมัน “ ตั้งแต่นั้นมา ใครๆก็เรียกภิกษุนั้นว่า “สรรพทาส” แปลว่า ผู้มีงูเป็นทาส บุพกรรมของพระสรรพทาสเถระ ในสมัยแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ พระเถระเคยบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาค แต่ยุยงให้เพื่อนภิกษุมีความกระสันใคร่สึก ด้วยเหตุนี้เอง ในชาตินี้ พระเถระจึงมีความกระสันใคร่สึก แต่ด้วยอานิสงส์ที่ได้บำเพ็ญมานาน พระเถระจึงมีอุปนิสัยแห่งอรหันตผลในชาตินี้

ภิกษุทั้งหลายฟังแล้ว ทูลถามว่า “ได้ยินว่า พระสรรพทาสยืนเอาคอพาดต้นไม้ เอามีดจ่อคอด้วยประสงค์จะตัดก้านคอของตน ได้บรรลุพระอรหัตในกาลนั้น ก็อรหัตมะเกิดขึ้นในขณะเดียวเท่านั้นหรือ” พระทศพลทรงตรัสว่า “อย่างนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุปรารภความเพียร ยกเท้าขึ้นวางบนพื้น เท้ายังไม่ทันถึงพื้น พระอรหัตมะก็เกิดขึ้นได้ ชีวิตของผู้มีความเพียรแม้เพียงขณะเดียวก็ประเสริฐกว่า ชีวิตของผู้เกียจคร้านเป็นอยู่ร้อยปี” ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพุทธสภาษิตดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่