ตามหัวข้อเลยครับบ
เพราะที่คนเสื้อแดงออกมาเรียกร้อง ส่วนใหญ่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า เสื้อแดงไม่ได้รับการประกันตัว เหมือนกลุ่มพันธมิตร
ทำไมไม่เรียกร้องให้ออกเป็น พรบ ที่ออกเพื่อให้ผู้กระทำผิดช่วงที่มีความขัดแย้ง ให้ได้รับการประกันตัวแทน หลังจากนั้นก็ให้ศาลยุติธรรมตัดสิน ( ไม่ใช่ศาลปกครอง หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ) และให้มีการสอบสวนหาความจริงจนสิ้นสุดกระบวนการทางยุติธรรม และ ระบุเนื้อหาว่าการกระทำใด ๆ เช่น ไปร่วมชุมนุมที่สนามบิน
การมีความผิดเนื่องจากขัด พรก ฉุกเฉิน เฉพาะในบุคคลระดับประชาชน ยกเว้นแกนนำ อาจจะจะต้องมีการระบุว่าแกนนำมีความหมายแบบใด และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลว่า บุคคลใดเป็นแกนนำ
ต่อมา ให้ได้รับการนิรโทษหลังกระบวนการการตัดสินถึงที่สุด ส่วนคดีอาญา เช่น การเผาศาลากลาง ก็ให้ศาลท่านใช้ดุลยพินิจ ว่าจะตัดสินไปทางใด เพราะออกมาได้สอง สามแบบ แบบ แบบแรกผิดเต็ม แบบที่สองผิดแต่มีเหตุการปัจจัยทางการเมือง เป็นมูลเหตุและแรงจูงใจ หรือสุดท้ายไม่ผิด ( อันสุดท้ายนี้ไม่มีทางเกิด ) การลงโทษก็อาจจะ ได้รับโทษเต็ม ๆ หรือ ลดหย่อน ตามพินิจของศาล
ส่วนเรื่องรายละเอียดเพิ่มอื่น ๆ หรือลงลึก คงไม่สามารถเพราะไม่นักกฎหมาย แต่โดยหลักคือ ออกกฎหมายเพื่อให้ผู้ที่ต้องโทษในความขัดแย้งทางการเมือง มีโอกาสได้ใช้ชีวิตปกติ แต่กระบวนการทางศาลก็ดำเนินต่อไปเพื่อหาความจริงให้ถึงที่สุด และสุดท้ายก็นิรโทษให้เฉพาะกรณี ๆ จริงๆ
ที่เสนอแบบนี้ เพราะว่า ไม่อยากให้เป็นบรรทัดฐาน ว่า หลังจากขุมนุมเสร็จ ก็ออกกฎหมายนิรโทษได้ โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ส่วนที่มาของศาลรัฐธรรมนูญ กับ ศาลปกครอง ก็ให้มีการพิจารณากันใหม่ เพราะทุกคน ทุกฝ่ายต่างรู้ที่มาอยู่แล้ว เว้นแต่จะไม่ยอมรับรู้ เช่น หาตุลาการที่ทุกฝ่ายยอมรับ และไม่เคยได้รับการเคลือบแคลงสงสัยมาก่อน
อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด ความผิดอะไรพอให้อภัยกันได้ก็ให้ ขอให้ประเทศไทยกลับมารักกันเหมือนเคย อย่าตกเป็นเหยื่อนักการเมืองของทั้งสองฝ่าย และอย่าคิดว่าตัวเองรักสถาบันแต่เพียงผู้เดียว เพราะมันเป็นแค่วาทะกรรมทางการเมือง
แทนที่จะนิรโทษ ทำไมไม่ออก พรบ เพื่อให้มีการประกันตัว แล้วให้ศาลตัดสิน ....
เพราะที่คนเสื้อแดงออกมาเรียกร้อง ส่วนใหญ่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า เสื้อแดงไม่ได้รับการประกันตัว เหมือนกลุ่มพันธมิตร
ทำไมไม่เรียกร้องให้ออกเป็น พรบ ที่ออกเพื่อให้ผู้กระทำผิดช่วงที่มีความขัดแย้ง ให้ได้รับการประกันตัวแทน หลังจากนั้นก็ให้ศาลยุติธรรมตัดสิน ( ไม่ใช่ศาลปกครอง หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ) และให้มีการสอบสวนหาความจริงจนสิ้นสุดกระบวนการทางยุติธรรม และ ระบุเนื้อหาว่าการกระทำใด ๆ เช่น ไปร่วมชุมนุมที่สนามบิน
การมีความผิดเนื่องจากขัด พรก ฉุกเฉิน เฉพาะในบุคคลระดับประชาชน ยกเว้นแกนนำ อาจจะจะต้องมีการระบุว่าแกนนำมีความหมายแบบใด และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลว่า บุคคลใดเป็นแกนนำ
ต่อมา ให้ได้รับการนิรโทษหลังกระบวนการการตัดสินถึงที่สุด ส่วนคดีอาญา เช่น การเผาศาลากลาง ก็ให้ศาลท่านใช้ดุลยพินิจ ว่าจะตัดสินไปทางใด เพราะออกมาได้สอง สามแบบ แบบ แบบแรกผิดเต็ม แบบที่สองผิดแต่มีเหตุการปัจจัยทางการเมือง เป็นมูลเหตุและแรงจูงใจ หรือสุดท้ายไม่ผิด ( อันสุดท้ายนี้ไม่มีทางเกิด ) การลงโทษก็อาจจะ ได้รับโทษเต็ม ๆ หรือ ลดหย่อน ตามพินิจของศาล
ส่วนเรื่องรายละเอียดเพิ่มอื่น ๆ หรือลงลึก คงไม่สามารถเพราะไม่นักกฎหมาย แต่โดยหลักคือ ออกกฎหมายเพื่อให้ผู้ที่ต้องโทษในความขัดแย้งทางการเมือง มีโอกาสได้ใช้ชีวิตปกติ แต่กระบวนการทางศาลก็ดำเนินต่อไปเพื่อหาความจริงให้ถึงที่สุด และสุดท้ายก็นิรโทษให้เฉพาะกรณี ๆ จริงๆ
ที่เสนอแบบนี้ เพราะว่า ไม่อยากให้เป็นบรรทัดฐาน ว่า หลังจากขุมนุมเสร็จ ก็ออกกฎหมายนิรโทษได้ โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ส่วนที่มาของศาลรัฐธรรมนูญ กับ ศาลปกครอง ก็ให้มีการพิจารณากันใหม่ เพราะทุกคน ทุกฝ่ายต่างรู้ที่มาอยู่แล้ว เว้นแต่จะไม่ยอมรับรู้ เช่น หาตุลาการที่ทุกฝ่ายยอมรับ และไม่เคยได้รับการเคลือบแคลงสงสัยมาก่อน
อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด ความผิดอะไรพอให้อภัยกันได้ก็ให้ ขอให้ประเทศไทยกลับมารักกันเหมือนเคย อย่าตกเป็นเหยื่อนักการเมืองของทั้งสองฝ่าย และอย่าคิดว่าตัวเองรักสถาบันแต่เพียงผู้เดียว เพราะมันเป็นแค่วาทะกรรมทางการเมือง