สวัสดี เพื่อนๆ คิดว่าหลายท่านคงจำผมได้ พอดีไม่ได้เล่นห้อง ศาสนา มาตั้งนาน มั่วไปคลุกห้องการเมือง
( จนแฟนไม่ให้เล่น เลยกลับมาเล่นห้องนี้ ดีกว่า )
คือ ช่วงนี้ผมเกิด ไปตก อยู่ใน โมหะ จริต ( ความหมกมุ่น ระแวงสงสัย ) สิ่งที่ทำให้เกิด เรื่องนี้ ความหมกหมุ่น และ ความกลัว พอดี พ่อผมตาย มาได้ปีกว่าๆ ผมก็จะคิดถึงพ่อ อยากรู้ว่า โลกหน้าเป็นยังไง เลยเพลอไปหมกหมุ่น มากๆ จนความสงบที่ใจเราเคยชิน เปลี่ยน ไปเคยชินกับความหมกหมุ่น พอไปเคยชินกับความหมกหมุ่น มันส่งผลให้ใจตัวเอง ไปคนละทาง
เพราะใจที่หมกมุ่น ทำให้เกิดความกลัวได้ง่าย ความหมกหมุ่นทำให้เรายึดติดมาก และ ถ้า ความกลัวกับความหมกมุ่น 2 อย่างนี้ทำงานพร้อมกันเมื่อไร ใครไม่เกิดไม่รู้ ผมบอกเลยว่าโคตรทุกข์ และ ออกยากมาก
( ขนาดผมเคยมั่นใจว่าผม มี ธรรม ถึงระดับหนึ่ง )
แต่เวลาตกไป ในความหมกหมุ่น และความกลัว ผมยังแทบตายเลย ทำงานไม่รู้เรื่อง ไม่กล้าคิดกล้าทำอะไร ปวดหัวอีกต่างหาก
( นี่ละมั่ง ที่พระพุทธเจ้าเคยเตือนว่าอย่าประมาท )
เรื่องย่อๆ คือผมก็คิดสงสัยไปเรื่อยเปื่อย เช่น เทวดามีจริงไหม ผีมีจริงไหม เวลาเราทำบุญ เราไหว้อะไร เรานึกอะไรในใจ เราคิดว่า เทวดา ผี ได้ยินเราได้ เราก็เกิดกลัวสิครับ ถ้ารู้ความคิดเราได้ บางทีเราคิดลบลู่ไปจะทำยังไง แต่ถ้าเรากลัวจนไม่กล้าคิด เราจะไปใช้ชีวิตได้ยังไง จะให้ผมกลัวจนไม่กล้าคิด สติผมมันก็ต่อต้าน ยิ่งต้านก็ยิ่งกลัว ยิ่งหมกหมุ่น มันปวดหัวมาก เพราะ เรื่องแบบนี้มันพิสูจณ์ไม่ได้ ไม่เหมือนเรื่องที่ตามองเห็น มันลองผิดลองถูกได้ แต่เรื่องแบบนี้ จะไปลองยังไง ยิ่งหมกหมุ่นก็ยิ่งกลัว
ผมเลยต้องมาเข้า พันทิป อ่าน ธรรมมะ ของตัวเองที่เคยพิม ไว้ ตอนมีสติ มันช่วยได้ เช่น
- ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
( เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้า จึง ให้พึ่งตนเอง เพราะจะได้ไม่มาตกในความกลัวความหมกหมุ่นแบบนี้ )
- ความกลัวทำให้เสื่อม
( ผมรู้ชัดเลย ยิ่งกลัวยิ่งเสื่อมคนเราพอกลัว จะคิดจะทำ เพื่อให้หายกลัว หลอกให้เราหมกหมุ่นให้เราศรัทธาเพื่อ ให้หนีจากความกลัว )
- ใช้ สติ ไม่ใช้ สนอง
( ข้อนี้เป็น ตัวช่วยได้ดี คนเราพอกลัว จะยิ่ง หมกหมุ่น เพื่อสนอง ความกลัว หมกหมุ่น เพื่อหาอะไรยึด เพื่อหลอกตัวเอง จะได้ไม่กลัว ซึ่ง ผมเคยเข้าใจเวลามีสติ ว่ามันไม่ดี ต้องใช้ สติ มาดับ ความกลัว ไม่ใช่ สนอง )
- อย่าประมาทในธรรม
( เมื่อก่อนไม่ค่อยเข้าใจ วันนี้รู้ซึ้งเลย เพราะเจอกับตัว เพราะ ผมประมาท ปล่อยให้ความทุกข์ ความหมกหมุ่น มันเกาะกินใจนานๆ เพราะประมาทว่า เราเข้าใจหลักธรรม แล้ว จริงๆ ของแบบนี้ถ้า ทิ้ง สติ ไป มันก็ทำยากเหมือนกัน กว่าจะเรียก สติมาอยู่กับเราได้เหมือนเดิม )
คุณเชื่อไหม พอผมมี สติ ไม่ตกอยู่ใต้อารมณ์ ความกลัว ผมก็ไม่หมกหมุ่น และ ผมก็เข้าใจสิ่งที่ ผมระแวงสงสัย อย่างที่พระท่านว่า ไม่มีอะไรสำเร็จได้ด้วยความคิด เพราะ ถ้าคิดแต่ไม่มีสติ มันจะพาให้หมกหมุ่น มันต้องเริ่มด้วย สติ ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) ของเหล่านี้มาตามธรรมชาติ ผมไม่ต้องพึ่ง ข้ออ้างหลอกตัวเอง ศรัทธาอะไรเพื่อออกจากความกลัว เพราะ ผมพึ่งตนเองได้
พอใจมีสติ ผมก็ ไม่กลัว เทวดา ผี จะมารู้ความคิดในใจผม เพราะ มันเป็นเรื่องธรรมดา จะรู้ก็ดีจะไม่รู้ก็ดี จะพอใจความคิดผมก็ดี
จะไม่พอใจความคิดผมก็ดี จะมีอิทฤทธิ์ ทำร้ายผมก็ดี หรือ จะให้คุณผมก็ดี ( มันก็เป็นเช่นนั้นเองเป็นเรื่องธรรมดา ) ผมไม่จำเป็นต้องรู้ต้องสนใจ เพราะผมเข้าใจอย่างหนึ่ง ถ้าผมกลัว แม้กระทั่ง ความสงสัย ของตัวเอง ชีวิตนี้ก็มีแต่ทุกข์ ไม่มีประโยชน์ ต่อผู้ใด ไม่ว่าจะเทวดา หรือ ผี แม้แต่ตนเอง ก็ยังเป็นภาระ แก่ตนเองเลย
ขอขอบคุณ ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้า และ ท่านพุทธทาส ( มีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง )
( จนแฟนไม่ให้เล่น เลยกลับมาเล่นห้องนี้ ดีกว่า )
คือ ช่วงนี้ผมเกิด ไปตก อยู่ใน โมหะ จริต ( ความหมกมุ่น ระแวงสงสัย ) สิ่งที่ทำให้เกิด เรื่องนี้ ความหมกหมุ่น และ ความกลัว พอดี พ่อผมตาย มาได้ปีกว่าๆ ผมก็จะคิดถึงพ่อ อยากรู้ว่า โลกหน้าเป็นยังไง เลยเพลอไปหมกหมุ่น มากๆ จนความสงบที่ใจเราเคยชิน เปลี่ยน ไปเคยชินกับความหมกหมุ่น พอไปเคยชินกับความหมกหมุ่น มันส่งผลให้ใจตัวเอง ไปคนละทาง
เพราะใจที่หมกมุ่น ทำให้เกิดความกลัวได้ง่าย ความหมกหมุ่นทำให้เรายึดติดมาก และ ถ้า ความกลัวกับความหมกมุ่น 2 อย่างนี้ทำงานพร้อมกันเมื่อไร ใครไม่เกิดไม่รู้ ผมบอกเลยว่าโคตรทุกข์ และ ออกยากมาก
( ขนาดผมเคยมั่นใจว่าผม มี ธรรม ถึงระดับหนึ่ง )
แต่เวลาตกไป ในความหมกหมุ่น และความกลัว ผมยังแทบตายเลย ทำงานไม่รู้เรื่อง ไม่กล้าคิดกล้าทำอะไร ปวดหัวอีกต่างหาก
( นี่ละมั่ง ที่พระพุทธเจ้าเคยเตือนว่าอย่าประมาท )
เรื่องย่อๆ คือผมก็คิดสงสัยไปเรื่อยเปื่อย เช่น เทวดามีจริงไหม ผีมีจริงไหม เวลาเราทำบุญ เราไหว้อะไร เรานึกอะไรในใจ เราคิดว่า เทวดา ผี ได้ยินเราได้ เราก็เกิดกลัวสิครับ ถ้ารู้ความคิดเราได้ บางทีเราคิดลบลู่ไปจะทำยังไง แต่ถ้าเรากลัวจนไม่กล้าคิด เราจะไปใช้ชีวิตได้ยังไง จะให้ผมกลัวจนไม่กล้าคิด สติผมมันก็ต่อต้าน ยิ่งต้านก็ยิ่งกลัว ยิ่งหมกหมุ่น มันปวดหัวมาก เพราะ เรื่องแบบนี้มันพิสูจณ์ไม่ได้ ไม่เหมือนเรื่องที่ตามองเห็น มันลองผิดลองถูกได้ แต่เรื่องแบบนี้ จะไปลองยังไง ยิ่งหมกหมุ่นก็ยิ่งกลัว
ผมเลยต้องมาเข้า พันทิป อ่าน ธรรมมะ ของตัวเองที่เคยพิม ไว้ ตอนมีสติ มันช่วยได้ เช่น
- ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
( เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจ้า จึง ให้พึ่งตนเอง เพราะจะได้ไม่มาตกในความกลัวความหมกหมุ่นแบบนี้ )
- ความกลัวทำให้เสื่อม
( ผมรู้ชัดเลย ยิ่งกลัวยิ่งเสื่อมคนเราพอกลัว จะคิดจะทำ เพื่อให้หายกลัว หลอกให้เราหมกหมุ่นให้เราศรัทธาเพื่อ ให้หนีจากความกลัว )
- ใช้ สติ ไม่ใช้ สนอง
( ข้อนี้เป็น ตัวช่วยได้ดี คนเราพอกลัว จะยิ่ง หมกหมุ่น เพื่อสนอง ความกลัว หมกหมุ่น เพื่อหาอะไรยึด เพื่อหลอกตัวเอง จะได้ไม่กลัว ซึ่ง ผมเคยเข้าใจเวลามีสติ ว่ามันไม่ดี ต้องใช้ สติ มาดับ ความกลัว ไม่ใช่ สนอง )
- อย่าประมาทในธรรม
( เมื่อก่อนไม่ค่อยเข้าใจ วันนี้รู้ซึ้งเลย เพราะเจอกับตัว เพราะ ผมประมาท ปล่อยให้ความทุกข์ ความหมกหมุ่น มันเกาะกินใจนานๆ เพราะประมาทว่า เราเข้าใจหลักธรรม แล้ว จริงๆ ของแบบนี้ถ้า ทิ้ง สติ ไป มันก็ทำยากเหมือนกัน กว่าจะเรียก สติมาอยู่กับเราได้เหมือนเดิม )
คุณเชื่อไหม พอผมมี สติ ไม่ตกอยู่ใต้อารมณ์ ความกลัว ผมก็ไม่หมกหมุ่น และ ผมก็เข้าใจสิ่งที่ ผมระแวงสงสัย อย่างที่พระท่านว่า ไม่มีอะไรสำเร็จได้ด้วยความคิด เพราะ ถ้าคิดแต่ไม่มีสติ มันจะพาให้หมกหมุ่น มันต้องเริ่มด้วย สติ ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) ของเหล่านี้มาตามธรรมชาติ ผมไม่ต้องพึ่ง ข้ออ้างหลอกตัวเอง ศรัทธาอะไรเพื่อออกจากความกลัว เพราะ ผมพึ่งตนเองได้
พอใจมีสติ ผมก็ ไม่กลัว เทวดา ผี จะมารู้ความคิดในใจผม เพราะ มันเป็นเรื่องธรรมดา จะรู้ก็ดีจะไม่รู้ก็ดี จะพอใจความคิดผมก็ดี
จะไม่พอใจความคิดผมก็ดี จะมีอิทฤทธิ์ ทำร้ายผมก็ดี หรือ จะให้คุณผมก็ดี ( มันก็เป็นเช่นนั้นเองเป็นเรื่องธรรมดา ) ผมไม่จำเป็นต้องรู้ต้องสนใจ เพราะผมเข้าใจอย่างหนึ่ง ถ้าผมกลัว แม้กระทั่ง ความสงสัย ของตัวเอง ชีวิตนี้ก็มีแต่ทุกข์ ไม่มีประโยชน์ ต่อผู้ใด ไม่ว่าจะเทวดา หรือ ผี แม้แต่ตนเอง ก็ยังเป็นภาระ แก่ตนเองเลย