สิ่งที่อยู่ใน Spoil คือรายละเอียดที่มีอยู่ในเกม
เปิดฉากสืบหาตัวคนร้าย
เริ่มต้นด้วยการมุ่งเป้าไปที่ฮากาคุเระที่เป็นบุคคลที่น่าสงสัยที่สุดเพราะไม่มีหลักฐานที่อยู่ในขณะที่เกิดเหตุการฆาตกรรมแถมยังใส่ชุด Justice Robo อยู่อีกด้วย
เซเลสหยิบหลักฐานชิ้นแรกออกมาแสดงทันที

ซึ่งก็คือแบบแปลนของชุด Justice Robo และอุปกรณ์ในการสร้างชุดที่เธอพบภายในห้องของฮากาคุเระ
แต่ก็ถูกนาเอกิคัดค้านโดยบอกว่าตัวอักษรที่อยู่ในแบบแปลนแผ่นนั้นไม่ใช่ลายมือของฮากาคุเระ

แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เจ้าตัวจะจงใจเขียนด้วยลายมือที่ไม่เหมือนกันดังนั้นหลักฐานชิ้นนี้จึงยังไม่สามารถระบุอะไรได้
ถึงจะเป็นเช่นนั้นโทกามิก็ยังมั่นใจว่าคนร้ายไม่ใช่ฮากาคุเระ
ในอนิเมะจะบอกไปเลยว่าคนที่ใส่ชุดแบบนั้นไม่มีทางเคลื่อนย้ายศพได้
ซึ่งในเกมจะถกลงไปลึกกว่านั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพื่อเป็นการสนับสนุนสมมติฐานของตัวเองโทกามิจึงเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาว่าคนร้ายใช้วิธีอะไรเคลื่อนย้ายศพไปไว้ในห้องศิลปะ
คำตอบก็คือใช้ผ้าใบในการห่อศพเพื่อไม่ให้มีรอยเลือดหยดตามพื้นและใช้ถาดลากในการเคลื่อนย้ายศพ

หลักฐานก็คือคราบเลือดที่เปื้อนล้อของถาดลากและรอยเลือดเป็นเส้นที่สถานที่พบศพในครั้งแรก
การที่ชุด Justice Robo ไม่สามารถก้มได้แถมยังมีทัศนวิสัยแย่ถึงขนาดที่คนใส่ไม่สามารถมองเห็นเท้าตัวเองได้ จึงทำให้ไม่มีทางที่จะผลัก/เตะรถเข็นที่ไม่มีราวจับเพื่อเคลื่อนย้ายศพได้เลย
นอกจากนี้ชุด Justice Robo นั้นมีขอเกี่ยวอยู่ด้านหลังผู้สวมใส่จึงไม่สามารถที่จะถอดชุดนี้ออกได้ด้วยตัวเอง

ส่งผลให้คนที่ใส่ชุด Justice Robo ซึ่งก็คือฮากาคุเระนั้นไม่มีทางที่จะเป็นคนร้ายได้ไปโดยปริยาย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีหลักฐานที่ยืนยันว่า Justice Robo เป็นคนร้ายอยู่อีก
ซึ่งก็คือภาพถ่ายของเซเลส (และคำพูดของยามาดะตอนที่โดนค้อนเบอร์ 2 ทุบ)
ถึงจุดนี้คิริกิริจะพูดขึ้นมาว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปจะดีกว่า เพราะบางสิ่งบางอย่างถ้าถูกมองจากต่างมุมแล้วผลลัพธ์ที่เห็นอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แล้วคิริกิริก็เสนอให้ทุกคนลองทบทวนลำดับของเหตุการณ์ทั้งหมดใหม่อีกครั้งเพื่อคลายปมที่ยังอธิบายไม่ได้ทั้งหมดก่อน (หลัก ๆ ก็คือคิริกิริไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เลยตีเนียนขอลายละเอียดของคดีเพิ่ม)
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วคิริกิริก็เสนอว่าลองเปลี่ยนมุมมองใหม่จากการที่กำลังมองว่าเป็น 'การฆาตกรรมต่อเนื่อง' ไปเป็น 'การฆาตกรรมสองครั้ง' แทน โดยเริ่มจากลำดับของการเกิดเหตุฆาตกรรม
ถึงแม้ว่าอิชิมารุจะถูกฆ่าด้วยค้อนหมายเลข 4 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้นหลังจากที่ยายาดะถูกฆ่าด้วยค้อนหมายเลข 3
หลักฐานก็คือนาฬิกาข้อมือที่เสียหายของผู้ตายซึ่งหยุดเดินที่เวลาประมาณหกโมง (เหตุการณ์วิ่งไล่จับเกิดตอนเจ็ดโมงกว่า)

ซึ่งผู้ตายเคยดูนาฬิกาให้ทุกคนเห็นตอนสี่ทุ่มในคืนก่อนเกิดเหตุจึงทำให้สันนิฐานได้ว่านาฬิกาเรือนนั้นน่าจะเสียหายตอนที่ผู้ตายถูกฆ่านั่นเอง
ข้อสรุปนี้ทำให้ทุกคนรู้ตัวว่าหมายเลขของค้อนนั้นเป็นกับดักที่คนร้ายวางเอาไว้เพื่ออำพรางเวลาเกิดเหตุที่แท้จริง
นอกจากนี้ข้อสรุปนี้ยังเป็นการหักล้างพยานบุคคลของทุก ๆ คนในเวลาที่การฆาตกรรมเกิดขึ้นจริง ๆ อีกด้วย (ทุก ๆ คนมาเจอกันก่อน 7 โมงเล็กน้อย)
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นทุก ๆ คนนอกจาก ฮากาคุเระ กับ คิริกิริ ก็ยังมีพยานในคดีของยามาดะอยู่ดี
เพราะตอนที่ยามาดะโดนฆ่านั้นทุกคนก็อยู่ด้วยกัน
ตอนที่ศพของยามาดะหายไปเซเลสก็พาอาซาฮินะไปเข้าห้องน้ำ ส่วนคนอื่น ๆ ก็อยู่ด้วยกันที่สถานที่พบศพอิชิมารุ
แล้วตอนที่ศพของอิชิมารุหายไปนั้นทุก ๆ คน (ยกเว้นเจโนไซเดอร์ที่สลบอยู่) ก็กลับมาอยู่ด้วยกันที่ห้องพยาบาล
เซเลสสรุปว่าคนที่ไม่มีพยานในตอนนี้ก็มีแค่สองคน ซึ่งก็คือ ฮากาคุเระ กับ คิริกิริ ดังนั้นถ้าคนร้ายไม่ใช่ฮากาคุเระก็หมายความว่าคิริกิริจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยแทน
คิริกิริจึงตอบโต้กลับไปว่าแทนที่จะมานั่งคิดแต่ว่าใครเป็นคนร้าย ลองมาคิดว่าคนร้ายใช้วิธีอะไรในการย้ายศพยามาดะภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที (ที่เซเลสกับอาซาฮินะไปเข้าห้องน้ำ) ดีกว่า
ซึ่งคำตอบก็คือยามาดะเป็นคนย้ายร่างของตัวเองออกไป
หลักฐานก็คือแว่นตาของยามาดะ และ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผ้าเช็ดเลนส์ลายการ์ตูนเปื้อนเลือดในถังขยะห้องพยาบาล

เนื่องจากแว่นตาของยามาดะจากเดิมที่เคยเปื้อนเลือดตอนที่พบศพในครั้งแรกนั้นกลับมาสะอาดในตอนที่พบศพครั้งที่สอง
เนื่องจากเวลาที่กลุ่มของนาเอกิพบศพยามาดะ (ที่กำลังแกล้งตาย) นั้นใกล้เคียงกับเวลาที่กลุ่มของโทกามิพบศพของอิชิมารุ คำประกาศพบศพของโมโนคุมะจึงทำให้กลุ่มของนาเอกิเข้าใจผิดคิดว่าร่างที่พวกเขาเจอนั้นคือศพคนตายจริง ๆ
แต่จากคำพูดของโมโนคุมะที่บอกว่าจะประกาศต่อเมื่อมีคนตั้งแต่คนพบศพ
'เป็นครั้งแรก'เท่านั้น จึงทำให้การประกาศพบศพครั้งที่สองที่เกิดขึ้นตอนที่พวกเขาหาศพที่ถูกเคลื่อนย้ายเจอกลายเป็นสิ่งยืนยันได้ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็น
ศพของยามาดะจริง ๆ
ส่วนเรื่องเลือดที่พวกเขาเห็นนั้นก็นำมาจากถุงเลือดในห้องพยาบาลนั่นเอง
ซึ่งก็หมายความว่ายามาดะซึ่งเป็นผู้เคราะห์ร้ายนั้นก็มีส่วนรู้เห็นกับคดีนี้อยู่ด้วย
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันข้อสันนิษฐานดังกล่าว
สิ่ง ๆ นั้นก็คือเศษกระดาษที่อยู่ในมือของอิชิมารุ

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระดาษโน้ตที่ซ่อนอยู่ใน กกน ของยามาดะ

โดยมีเนื้อหาเชิญชวนให้ออกไปพบกันตอน 6 โมงเช้า
ซึ่งทำให้สามารถระบุลำดับของอาวุธและผู้เคราะห์ร้ายได้ดังต่อไปนี้
แต่ในเมื่อโมโนไฟล์ของคดีระบุสาเหตุการตายของทั้งสองคนว่าเกิดจากถูกโจมตีด้วยอาวุธชนิดเดียวกันแล้วคนร้ายใช้อะไรในการสังหารยามาดะในเมื่อค้อนหมายเลข 1 2 3 4 ก็ยังอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ
คำตอบก็คือค้อนแกะสลักที่อยู่ในห้อง (หายไป 4 อันซึ่งก็คืออันที่ถูกเอาไปแปลงโฉมเป็น Justice Hammer + อันสุดท้ายที่ยังชื้น ๆ อยู่ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะถูกนำไปล้างทำความสะอาดหลังจากที่ใช้เป็นอาวุธสังหาร)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในจุดนี้คิริกิริจะอธิบายให้ทุกคนฟังถึงเหตุผลที่เธอแนะนำทุก ๆ คนให้คิดคดีนี้แยกเป็นสองคดี
เนื่องจากกฏของเกมไม่เอื้อให้มีการร่วมมือกันฆ่า แถมการวางแผนฆ่าคนสองคนนั้นก็ยุ่งยากแถมยังอาจจะทิ้งหลักฐานให้สืบสาวกลับมาหาตัวการได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย ดังนั้นสถานการณ์ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือการที่คนสองคนจะมาวางแผนก่อเหตุฆาตกรรมพร้อม ๆ กันและใช้ประโยชน์จากรูปคดีของอีกฝ่ายเพื่อจูงให้คนอื่นหลงทาง ซึ่งก็หมายความว่าการร่วมมือกันรูปแบบนี้สามารถทำให้คนร้ายทั้งคู่มีผลประโยชน์ร่วมกันได้ แต่ในกรณีนี้กลับกลายเป็นว่ามีคนนึงหักหลังและสังหารเพื่อนร่วมทีมแทนซึ่งสุดท้ายแล้วก็ต้องมาสรุปหาตัวคนร้ายที่บงการยามาดะอยู่ดี
สำหรับในเกมหลักฐานที่ใช้ระบุตัวคนร้ายอย่างแรกจะมาจากโทกามิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เนื่องจากมีเพียงแค่เซเลสกับยามาดะเท่านั้นที่บอกว่าเห็นและถูก Justice Robo ทำร้าย ดังนั้นถ้ายามาดะเป็นคนที่ร่วมมือกับคนร้ายแล้วล่ะก็ คนที่ให้การสอดคล้องกับยามาดะนั้นก็จะน่าสงสัยไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ยังมีเสียงกรีดร้องของเซเลสที่ทำให้ทุกคนขึ้นไปรวมตัวกันที่ชั้นสามแล้วนำทางให้กลุ่มของโทกามิไปพบศพอิชิมารุที่ชั้นสองโดยการบอกว่าเห็น Justice Robo วิ่งไปในทิศทางดังกล่าว ในขณะเดียวกันเสียงกรีดร้องของเซเลสยังเป็นสัญญาณให้ยามาดะที่อยู่ในห้องพยาบาลร้องแหกปากออกมาเพื่อดึงความสนใจและแยกให้คนทั้งสองกลุ่มไปพบร่างของทั้งสองคนในเวลาเดียวกันจนทำให้เกิดการเข้าใจผิดเรื่องการประกาศพบศพ นอกจากนี้เซเลสยังเป็นคนพูดออกมาคนแรกว่ายามาดะตายแล้ว แถมยังบอกให้นาเอกิไปหาโทกามิในขณะที่ตัวเองพาอาซาฮินะไปเข้าห้องน้ำเพื่อเปิดโอกาสให้ยามาดะหนีออกจากห้องโดยไม่มีใครเห็นอีกด้วย
หลังจากนั้นนาเอกิก็แฉคำพูดที่ผิดปกติของเซเลสที่บอกว่า "ขึนยังเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังพวกเราได้ถูกฆ่ากันหมดเหมือนกับ
พวกนั้นแน่ ๆ" เพราะเซเลสพูดเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่ามีคนตายมากกว่าหนึ่งคนทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นเซเลสควรจะได้เห็นเพียงแค่ศพเดียวเท่านั้น
เมื่อถูกสงสัยเซเลสจึงหยิบยกรูปถ่ายขึ้นมาป้องกันตัวอีกครั้ง
แต่ในครั้งนี้กลับถูกตอกหน้ากลับไปว่าแท้ที่จริงแล้วรูปถ่ายนั้นเป็นภาพของยามาดะกำลังแบก Justice Robo อยูต่างหาก (เพราะ Justice Robo งอขาไม่ได้ งอหลังก็ไม่ได้ แถมยังปิดหน้าคนใส่จนมิด ดังนั้นต่อให้คนใส่จะสลบอยู่ก็ยังสามารถทำให้ดูเหมือนกำลังยืนอยู่ได้นั่นเอง)
เซเลสยังคงดิ้นต่อไปโดยครั้งนี้อ้างถึงคำพูดก่อนตายของยามาดะที่บอกว่าคนร้ายคือยัตสึฮิโระ
ในเกมจะโดนคิริกิริตอกกลับไปว่าปกติแล้วยามาดะจะเรียกชื่อคนอื่นด้วยชื่อเต็ม ๆ ดังนั้นถ้าต้องการจะหมายถึงหมอดูก็น่าจะพูดว่า "ฮากาคุเระ
ยัตสึฮิโระ โดโนะ" ไม่ใช่ "ยัตสึฮิโระ
xxxxxx ..."
ซึ่งก็เหลืออยู่แค่คนเดียวที่มีโอกาสจะเป็นคนร้ายได้ก็คือคนที่ไม่เคยบอกชื่อจริงให้ใครรู้ ซึ่งก็คือเซเลสนั่นเอง
แล้วสุดท้ายก็ต้อนเซเลสจนจนมุมได้ด้วยการขอดูบัตรนักเรียน
เซเลสซัง เธอแพ้แล้วล่ะ! (ในเมะไม่มีขอใช้รูปจากในเกมก็แล้วกัน)
[Spoil] Danganronpa – The Animation ตอนที่ 7 เฉพาะในส่วนของ Classroom Trials + รายละเอียดที่ถูกตัดออกจากในเกมคร่าว ๆ
เปิดฉากสืบหาตัวคนร้าย
เริ่มต้นด้วยการมุ่งเป้าไปที่ฮากาคุเระที่เป็นบุคคลที่น่าสงสัยที่สุดเพราะไม่มีหลักฐานที่อยู่ในขณะที่เกิดเหตุการฆาตกรรมแถมยังใส่ชุด Justice Robo อยู่อีกด้วย
เซเลสหยิบหลักฐานชิ้นแรกออกมาแสดงทันที
ซึ่งก็คือแบบแปลนของชุด Justice Robo และอุปกรณ์ในการสร้างชุดที่เธอพบภายในห้องของฮากาคุเระ
แต่ก็ถูกนาเอกิคัดค้านโดยบอกว่าตัวอักษรที่อยู่ในแบบแปลนแผ่นนั้นไม่ใช่ลายมือของฮากาคุเระ
แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เจ้าตัวจะจงใจเขียนด้วยลายมือที่ไม่เหมือนกันดังนั้นหลักฐานชิ้นนี้จึงยังไม่สามารถระบุอะไรได้
ถึงจะเป็นเช่นนั้นโทกามิก็ยังมั่นใจว่าคนร้ายไม่ใช่ฮากาคุเระ
ในอนิเมะจะบอกไปเลยว่าคนที่ใส่ชุดแบบนั้นไม่มีทางเคลื่อนย้ายศพได้
ซึ่งในเกมจะถกลงไปลึกกว่านั้น[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นอกจากนี้ชุด Justice Robo นั้นมีขอเกี่ยวอยู่ด้านหลังผู้สวมใส่จึงไม่สามารถที่จะถอดชุดนี้ออกได้ด้วยตัวเอง
ส่งผลให้คนที่ใส่ชุด Justice Robo ซึ่งก็คือฮากาคุเระนั้นไม่มีทางที่จะเป็นคนร้ายได้ไปโดยปริยาย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีหลักฐานที่ยืนยันว่า Justice Robo เป็นคนร้ายอยู่อีก
ซึ่งก็คือภาพถ่ายของเซเลส (และคำพูดของยามาดะตอนที่โดนค้อนเบอร์ 2 ทุบ)
ถึงจุดนี้คิริกิริจะพูดขึ้นมาว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปจะดีกว่า เพราะบางสิ่งบางอย่างถ้าถูกมองจากต่างมุมแล้วผลลัพธ์ที่เห็นอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เซเลสสรุปว่าคนที่ไม่มีพยานในตอนนี้ก็มีแค่สองคน ซึ่งก็คือ ฮากาคุเระ กับ คิริกิริ ดังนั้นถ้าคนร้ายไม่ใช่ฮากาคุเระก็หมายความว่าคิริกิริจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยแทน
คิริกิริจึงตอบโต้กลับไปว่าแทนที่จะมานั่งคิดแต่ว่าใครเป็นคนร้าย ลองมาคิดว่าคนร้ายใช้วิธีอะไรในการย้ายศพยามาดะภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที (ที่เซเลสกับอาซาฮินะไปเข้าห้องน้ำ) ดีกว่า
ซึ่งคำตอบก็คือยามาดะเป็นคนย้ายร่างของตัวเองออกไป
หลักฐานก็คือแว่นตาของยามาดะ และ[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เนื่องจากแว่นตาของยามาดะจากเดิมที่เคยเปื้อนเลือดตอนที่พบศพในครั้งแรกนั้นกลับมาสะอาดในตอนที่พบศพครั้งที่สอง
เนื่องจากเวลาที่กลุ่มของนาเอกิพบศพยามาดะ (ที่กำลังแกล้งตาย) นั้นใกล้เคียงกับเวลาที่กลุ่มของโทกามิพบศพของอิชิมารุ คำประกาศพบศพของโมโนคุมะจึงทำให้กลุ่มของนาเอกิเข้าใจผิดคิดว่าร่างที่พวกเขาเจอนั้นคือศพคนตายจริง ๆ
แต่จากคำพูดของโมโนคุมะที่บอกว่าจะประกาศต่อเมื่อมีคนตั้งแต่คนพบศพ'เป็นครั้งแรก'เท่านั้น จึงทำให้การประกาศพบศพครั้งที่สองที่เกิดขึ้นตอนที่พวกเขาหาศพที่ถูกเคลื่อนย้ายเจอกลายเป็นสิ่งยืนยันได้ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นศพของยามาดะจริง ๆ
ส่วนเรื่องเลือดที่พวกเขาเห็นนั้นก็นำมาจากถุงเลือดในห้องพยาบาลนั่นเอง
ซึ่งก็หมายความว่ายามาดะซึ่งเป็นผู้เคราะห์ร้ายนั้นก็มีส่วนรู้เห็นกับคดีนี้อยู่ด้วย
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันข้อสันนิษฐานดังกล่าว
สิ่ง ๆ นั้นก็คือเศษกระดาษที่อยู่ในมือของอิชิมารุ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระดาษโน้ตที่ซ่อนอยู่ใน กกน ของยามาดะ
โดยมีเนื้อหาเชิญชวนให้ออกไปพบกันตอน 6 โมงเช้า
ซึ่งทำให้สามารถระบุลำดับของอาวุธและผู้เคราะห์ร้ายได้ดังต่อไปนี้
แต่ในเมื่อโมโนไฟล์ของคดีระบุสาเหตุการตายของทั้งสองคนว่าเกิดจากถูกโจมตีด้วยอาวุธชนิดเดียวกันแล้วคนร้ายใช้อะไรในการสังหารยามาดะในเมื่อค้อนหมายเลข 1 2 3 4 ก็ยังอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ
คำตอบก็คือค้อนแกะสลักที่อยู่ในห้อง (หายไป 4 อันซึ่งก็คืออันที่ถูกเอาไปแปลงโฉมเป็น Justice Hammer + อันสุดท้ายที่ยังชื้น ๆ อยู่ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะถูกนำไปล้างทำความสะอาดหลังจากที่ใช้เป็นอาวุธสังหาร)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับในเกมหลักฐานที่ใช้ระบุตัวคนร้ายอย่างแรกจะมาจากโทกามิ[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากนั้นนาเอกิก็แฉคำพูดที่ผิดปกติของเซเลสที่บอกว่า "ขึนยังเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังพวกเราได้ถูกฆ่ากันหมดเหมือนกับพวกนั้นแน่ ๆ" เพราะเซเลสพูดเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่ามีคนตายมากกว่าหนึ่งคนทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นเซเลสควรจะได้เห็นเพียงแค่ศพเดียวเท่านั้น
เมื่อถูกสงสัยเซเลสจึงหยิบยกรูปถ่ายขึ้นมาป้องกันตัวอีกครั้ง
แต่ในครั้งนี้กลับถูกตอกหน้ากลับไปว่าแท้ที่จริงแล้วรูปถ่ายนั้นเป็นภาพของยามาดะกำลังแบก Justice Robo อยูต่างหาก (เพราะ Justice Robo งอขาไม่ได้ งอหลังก็ไม่ได้ แถมยังปิดหน้าคนใส่จนมิด ดังนั้นต่อให้คนใส่จะสลบอยู่ก็ยังสามารถทำให้ดูเหมือนกำลังยืนอยู่ได้นั่นเอง)
เซเลสยังคงดิ้นต่อไปโดยครั้งนี้อ้างถึงคำพูดก่อนตายของยามาดะที่บอกว่าคนร้ายคือยัตสึฮิโระ
ในเกมจะโดนคิริกิริตอกกลับไปว่าปกติแล้วยามาดะจะเรียกชื่อคนอื่นด้วยชื่อเต็ม ๆ ดังนั้นถ้าต้องการจะหมายถึงหมอดูก็น่าจะพูดว่า "ฮากาคุเระ ยัตสึฮิโระ โดโนะ" ไม่ใช่ "ยัตสึฮิโระ xxxxxx ..."
ซึ่งก็เหลืออยู่แค่คนเดียวที่มีโอกาสจะเป็นคนร้ายได้ก็คือคนที่ไม่เคยบอกชื่อจริงให้ใครรู้ ซึ่งก็คือเซเลสนั่นเอง
แล้วสุดท้ายก็ต้อนเซเลสจนจนมุมได้ด้วยการขอดูบัตรนักเรียน
เซเลสซัง เธอแพ้แล้วล่ะ! (ในเมะไม่มีขอใช้รูปจากในเกมก็แล้วกัน)