พุทธ ชอบโหนวิทย์

กระทู้สนทนา
ตามหัวข้อกระทู้ มักจะเห็นคำนี้บ่อย ๆ ในห้องศาสนา
เห็นแล้วรู้สึกแย่กับคำนี้ไม่น้อย เพราะว่า...
พุทธศาสนา ไม่จำเป็นต้องโหนวิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์แขนงใด ๆ เลยบนโลกใบนี้

เราก็ไม่ได้ปฏิเสธวิทยาศาสตร์นะครับ
แต่...ถ้าจะพูดแบบไม่เกรงใจ ไม่ไว้หน้า
วิทยาศาสตร์นี่ที่ชาวโลกเห่อกันนักหนานี่ มันขี้หมาขี้แมวมากเลย ถ้าเทียบกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
วิทยาศาสตร์นี่มันขี้หมา แสนจะขี้หมา และโคตรจะขี้หมา

มันมีความจริงอย่างหนึ่งคือ
มนุษย์ต้องพึ่งพาวิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อตอบสนองกิเลสตัณหา(อันไม่มีที่สิ้นสุด)ของมนุษย์เอง

แต่...มันมีความจริงที่ยิ่งกว่าอีก คือ
ต่อให้วิทยาการล้ำเลิศแค่ไหน จะพัฒนาอีกกี่ร้อยกี่พันปี ก็เอาชนะ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ได้

พุทธศาสนาไม่จำเป็นต้องโหนวิทยฯ เพราะพุทธศาสนานั้นเอกเลิศอยู่แล้ว
ที่หลาย ๆ ท่านในห้องยกพุทธศาสนามาเปรียบเทียบกับวิทยฯบ่อย ๆ
ก็เพราะเหตุผลข้างต้นคือ มนุษย์ส่วนมากนั้นเห็นวิทยฯเป็นสำคัญว่าสุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรเทียบแล้ว
(ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์) จึงยกมาเทียบเคียงกันให้เห็น ซึ่งมันไม่จำเป็นเลย
เพราะเป็นเหตุให้พวกหัววิทยฯทั้งหลายเข้าใจผิด และใส่ไคล้ว่า พุทธโหนวิทยฯ

วิทยาศาสตร์ เปรียบได้กับน้ำห้วยหนองคลองบึง
พุทธศาสน์ เปรีบได้กับมหาสมุทร
น้ำในมหาสมุทร ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งน้ำคลอง
มีแต่น้ำในห้วยในคลอง (ถ้าไม่โดนกักเก็บ ไม่แห้ง ไม่ระเหยเป็นไอไปก่อน) สุดท้ายต้องไหลไปพึ่งพาอาศัยมหาสมุทร

เด็กที่คึกคะนอง ชอบเล่นสนุกสนาน หาอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ
ปรุงแต่งสิ่งต่าง ๆ ให้ดูน่าตื่นเต้น เร้าใจ สร้างนู่น สร้างนี่ เพื่อตอบสนองกิเลสตัณหา = ต้องอาศัยวิทยาศาสตร์
ผู้ใหญ่ที่เจนโลก ต้องการหาสาระความหมายของชีวิต
ชีวิตนี้แท้จริงแล้วคืออะไร ความสุขแท้จริงคือะไร สาระแท้จริงของชีวิตคือะไร = ต้องพึ่งพาพุทธศาสนา

ที่สมาชิกในห้องนี้หลายท่าน ชอบนำพุทธศาสน์ กับวิทยาศาสตร์มาเทียบกัน
ก็คงเหมือนกับผู้ใหญ่ที่เจนโลกแล้ว อยากเตือนสติเด็ก ๆ ที่กำลังคลุกขี้หมาขี้แมว เพลิดเพลินสนุกสนาน
ไปกับวิทยาการใหม่ ๆ จนลึมนึกถึงสาระที่แท้จริงของชีวิต จนลืมนึกถึงความหมายที่แท้จริงของชีวิต
จนลืมไปว่า เก่งแค่ไหน สุดท้ายก็หนีความตายไม่พ้นนะ
จนลืมไปว่า เงินมากมายแค่ไหน สุดท้ายก็ซื้อชีวิตจากความตายไว้ไม่ได้นะ
จนลืมไปว่า วิทยาการล้ำเลิศแค่ไหน สุดท้ายยื้อชีวิตให้พ้นจากความตายไม่ได้นะ
จนลืมไปว่า เราต้องแก่ เราต้องเจ็บ เราต้องตาย คือความจริงที่เราเลี่ยงไม่ได้ หนีไม่พ้นนะ
จนลืมไปว่า วิทยาศาสตร์ นั้นเป็นเครื่องเล่นเครื่องอาศัยชั่วครั้งชั่วคราวในระดับหนึ่งเท่านั้นนะ แต่เมื่อถึงที่สุดแล้วนั้นพึ่งไม่ได้นะ
(ผู้ใหญ่มีเจตนาดี แต่วิธีการไม่ถูกใจเด็ก เลยทำให้เด็กเข้าใจผิดไป)

จริงอยู่ที่ว่า...
คนทุกคน เกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เหมือนกัน
หมาทุกตัว เกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เหมือนกัน

ถ้าเกิดเป็นคนแล้ว ไม่รู้ว่าความหมายแท้จริงของชีวิตคืออะไร มันก็ไม่ต่างอะไรกับหมาตัวหนึ่งที่เกิดมาบนโลกใบนี้

เพราะหมาเกิดมาบนโลกใบนี้ มันก็เพื่อ กิน ขี้ ปี้ นอน สุดท้ายก็ตาย เหมือนกันกับคน
คนที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ไม่รู้สาระความหมายที่แท้จริงของชีวิต รู้จักแค่การ กิน ขี้ ปี้ นอน
สุดท้ายก็ตาย เหมือนกันกับหมา ไม่ต่างอะไรกับหมาตัวนึงที่เกิดมาบนโลกใบนี้

คนอาศัยหมาเป็นเพื่อนเล่นได้พอคลายเหงา แต่ถึงที่สุดแล้ว คน ไม่จำเป็นต้องอาศัยหมา
หรือ คน ไม่จำเป็นต้องอาศัยแม้แต่ คน ที่เกิดมามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ที่ไม่ต่างจากการเกิดมามีชีวิตอยู่ของหมา

พุทธศาสตร์ อาศัยวิทยาศาสตร์ พอเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถึงที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัย

ฉันใด ก็ฉันนั้น!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่