สวัสดีจ้า ^^ (ใครรู้จักแก -*-) หลังจากที่หัวใจที่ระลึกกำลังดำเนินไป (ได้ข่าวว่าหยุดมาเดือนนึงได้ แหะๆ -*-) ก็ขอฝากนิยายอีกเรื่องเอาไว้ให้อ่านเพลินๆ นะคะ ไม่มีไรมาก แค่หัวใจมันเรียกร้องให้เขียน (เว่อร์อีกละ) และมีความสุขที่ได้เขียนค่ะ ^^
~~ความรักเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ธรรมดา สู่ความหมายที่ยิ่งใหญ่ในใจของผู้มีรัก ~~
-๑-
“เขวี้ยววววว...ขวับบบบบ...” เสียงลูกเทนนิสกระทบแร็กเก็ตไปมาดังอย่างสม่ำสมอ และดังต่อเนื่องมาอย่างนี้นานนับชั่วโมง ตั้งแต่เย็นย่ำสนธยาจวบจนเวลาที่แสงแห่งธรรมชาติได้โบกมือลาไปนานแล้ว เหลือเพียงแสงจากไฟสนามรอบๆ ที่ส่องสว่างทำหน้าที่แทนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มสองคนยังคงมุ่งมั่นกับการเล่นเทนนิสต่อไปโดยไม่สนใจเวลาว่าล่วงเลยมาเท่าใด
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถอดเสื้ออยู่กลางสนามกำลังจะเสิร์ฟลูก เขาเดาะลูกเทนนิสกับพื้นทดสอบความเด้งของมันแล้วยิ้มอย่างมั่นใจ ดวงหน้าคมเข้มประกอบไปด้วย คิ้วเข้ม ตาเรียวเล็ก จมูกโด่งและปากได้รูป มีไรหนวดเคราเขียวๆ ที่ดูแล้วท่าจะขึ้นเร็วน่าดู และท่าทางเจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก หากแต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ประกอบกันเข้าเป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์อย่างประหลาด บางคราก็ดูเหมือนเขาเป็นชายไทยแท้ มองอีกทีก็เหมือนหนุ่มตี๋เข้ม พอมองอีกครั้งกลับไพล่ไปเหมือนแขกซะอย่างนั้น
ยิ่งรอยยิ้มนั้นก็ดูแจ่มใสจนคล้ายเด็ก พอเขาคลี่ยิ้มออกมา ใบหน้านั้นก็กระจ่างไปด้วยความมีชีวิตชีวา จะบอกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ด้วยรูปร่าง แต่เป็นเด็กด้วยรอยยิ้มก็คงจะไม่ผิดนัก
เสียงลูกเทนนิสกระทบคอร์ท ตามมาด้วยภาพของคู่ต่อสู้อีกฝั่งหัวคะมำไปไม่สามารถรับลูกเสิร์ฟที่ทั้งเร็วและแรงของเขาได้ แม้ไม่มีคนขานเอสเสียงดังเหมือนเวลาแข่งขันจริง แต่ชายหนุ่มร่างเล็กผู้เป็นคู่ต่อสู้นั้นก็รู้ดีว่าเขาคงไม่สามารถรับลูกเสิร์ฟอันทรงพลังของเพื่อนร่างยักษ์คนนี้ได้แน่นอน
เขาก็เลยส่ายหัว ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนฝั่งตรงข้ามที่กำลังเดินเข้ามาหาเช่นกัน พลางบ่น “ไอ้บัน ไอ้บ้าพลัง จะเล่นไปวิมเบอดันหรือไงวะ กรูไม่ใช่นาดาลหรือเฟดเดอเรอร์นะเว้ย”
อัชบรรณได้ฟังก็หัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาดังก้องกังวานเลยทีเดียว เขาไม่ได้หัวเราะเยาะเย้ยเพื่อน แต่หัวเราะเพราะมีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่รัก นั่นก็คือ การเล่นเทนนิสนั่นเอง เมื่อได้ทำสิ่งที่รัก เขาจะมุ่งมั่นทุ่มเท ไม่สนใจสิ่งใด เรียกว่าลืมวันลืมคืนเลยก็คงได้
อย่างในเวลานี้ เวลาที่มองไปรอบๆ แล้วเห็นว่ารอบข้างสว่างด้วยแสงไฟสนามถึงเพิ่งจะรับรู้ว่ากี่โมงกี่ยามกันแล้ว มองไปที่เพื่อน ก็เห็นว่าพินนท์กำลังเหงื่อซก แม้จะไม่ได้ถอดเสื้อเหมือนเขาแต่เสื้อนั้นก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ทั้งใบหน้านั้นเล่าก็ดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด เขาหายใจหอบในขณะที่อัชบรรณไม่รู้สึกอะไรเลย
“อะไรของแกวะ แค่นี้เหนื่อยแล้วหรอ”
“แค่นี้” พินนท์ทวนคำเสียงสูง “แค่นี้อะไรวะ แกรู้ไหมเราเล่นเทนนิสกันมาตั้งแต่สี่โมงเย็น นี่มันสี่ทุ่มแล้วนะเว้ย”
“เหอ จริงอ่ะ” อัชบรรณทำหน้างง “ทำไมชั้นไม่รู้สึกเลยวะ”
“แกจะรู้สึกอะไร หวดเอาๆ ชั้นหมดแรงแล้วเนี่ย หิวข้าวก็หิว คราวหลังถ้าพวกไอ้กอล์ฟไม่มา ไม่ต้องมาชวนเป็นคู่ซ้อมเลยนะเว้ย ไม่มีคนเปลี่ยน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” พินนท์บ่น เขาปาดเหงื่อบนใบหน้าก่อนจะมองเพื่อนอย่างเพลียๆ จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่ชายร่างเล็กอะไรมาก ก็สูงตามมาตรฐานชายไทยนั่นแหละ แต่มันคงเป็นความผิดของเพื่อนเขา ที่ดันสูงเกินมาตรฐานและทำให้เขาต้องมาลำบากเหมือนในตอนนี้
“แล้วแกดูโน่น ป้าเขานั่งรออยู่เห็นไหมน่ะ” พินนท์ชี้ให้ดูป้าไยที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมสนาม ข้างๆ ตัวมีไม้ถูพื้นอันใหญ่ พอรู้ว่าสองหนุ่มกำลังมองมา ป้าแกก็ลุกขึ้นเดินตรงมาหาทันที
แต่ยังไม่ทันที่แกจะเดินมาถึง อัชบรรณก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
“งื้ดๆ งื้ดๆ” เขาเงี่ยหูฟังพลางสะกิดเพื่อน “เฮ้ย ไอ้พุก เสียงอะไรวะ”
“เสียงอะไร” เพื่อนกลับย้อนถามเขาเสียอย่างนั้น ทำเอาอัชบรรณส่ายหน้าเป็นทำนองไม่ได้ดังใจ ออกเดินไปตามเสียงนั่นจนถึงลูกกรงริมสนาม ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นต้นตอของเสียงอยู่ตรงหน้า
จากจุดหนึ่ง...ถึงหัวใจ
~~ความรักเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ธรรมดา สู่ความหมายที่ยิ่งใหญ่ในใจของผู้มีรัก ~~
-๑-
“เขวี้ยววววว...ขวับบบบบ...” เสียงลูกเทนนิสกระทบแร็กเก็ตไปมาดังอย่างสม่ำสมอ และดังต่อเนื่องมาอย่างนี้นานนับชั่วโมง ตั้งแต่เย็นย่ำสนธยาจวบจนเวลาที่แสงแห่งธรรมชาติได้โบกมือลาไปนานแล้ว เหลือเพียงแสงจากไฟสนามรอบๆ ที่ส่องสว่างทำหน้าที่แทนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มสองคนยังคงมุ่งมั่นกับการเล่นเทนนิสต่อไปโดยไม่สนใจเวลาว่าล่วงเลยมาเท่าใด
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถอดเสื้ออยู่กลางสนามกำลังจะเสิร์ฟลูก เขาเดาะลูกเทนนิสกับพื้นทดสอบความเด้งของมันแล้วยิ้มอย่างมั่นใจ ดวงหน้าคมเข้มประกอบไปด้วย คิ้วเข้ม ตาเรียวเล็ก จมูกโด่งและปากได้รูป มีไรหนวดเคราเขียวๆ ที่ดูแล้วท่าจะขึ้นเร็วน่าดู และท่าทางเจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก หากแต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ประกอบกันเข้าเป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์อย่างประหลาด บางคราก็ดูเหมือนเขาเป็นชายไทยแท้ มองอีกทีก็เหมือนหนุ่มตี๋เข้ม พอมองอีกครั้งกลับไพล่ไปเหมือนแขกซะอย่างนั้น
ยิ่งรอยยิ้มนั้นก็ดูแจ่มใสจนคล้ายเด็ก พอเขาคลี่ยิ้มออกมา ใบหน้านั้นก็กระจ่างไปด้วยความมีชีวิตชีวา จะบอกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ด้วยรูปร่าง แต่เป็นเด็กด้วยรอยยิ้มก็คงจะไม่ผิดนัก
เสียงลูกเทนนิสกระทบคอร์ท ตามมาด้วยภาพของคู่ต่อสู้อีกฝั่งหัวคะมำไปไม่สามารถรับลูกเสิร์ฟที่ทั้งเร็วและแรงของเขาได้ แม้ไม่มีคนขานเอสเสียงดังเหมือนเวลาแข่งขันจริง แต่ชายหนุ่มร่างเล็กผู้เป็นคู่ต่อสู้นั้นก็รู้ดีว่าเขาคงไม่สามารถรับลูกเสิร์ฟอันทรงพลังของเพื่อนร่างยักษ์คนนี้ได้แน่นอน
เขาก็เลยส่ายหัว ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนฝั่งตรงข้ามที่กำลังเดินเข้ามาหาเช่นกัน พลางบ่น “ไอ้บัน ไอ้บ้าพลัง จะเล่นไปวิมเบอดันหรือไงวะ กรูไม่ใช่นาดาลหรือเฟดเดอเรอร์นะเว้ย”
อัชบรรณได้ฟังก็หัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาดังก้องกังวานเลยทีเดียว เขาไม่ได้หัวเราะเยาะเย้ยเพื่อน แต่หัวเราะเพราะมีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่รัก นั่นก็คือ การเล่นเทนนิสนั่นเอง เมื่อได้ทำสิ่งที่รัก เขาจะมุ่งมั่นทุ่มเท ไม่สนใจสิ่งใด เรียกว่าลืมวันลืมคืนเลยก็คงได้
อย่างในเวลานี้ เวลาที่มองไปรอบๆ แล้วเห็นว่ารอบข้างสว่างด้วยแสงไฟสนามถึงเพิ่งจะรับรู้ว่ากี่โมงกี่ยามกันแล้ว มองไปที่เพื่อน ก็เห็นว่าพินนท์กำลังเหงื่อซก แม้จะไม่ได้ถอดเสื้อเหมือนเขาแต่เสื้อนั้นก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ทั้งใบหน้านั้นเล่าก็ดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด เขาหายใจหอบในขณะที่อัชบรรณไม่รู้สึกอะไรเลย
“อะไรของแกวะ แค่นี้เหนื่อยแล้วหรอ”
“แค่นี้” พินนท์ทวนคำเสียงสูง “แค่นี้อะไรวะ แกรู้ไหมเราเล่นเทนนิสกันมาตั้งแต่สี่โมงเย็น นี่มันสี่ทุ่มแล้วนะเว้ย”
“เหอ จริงอ่ะ” อัชบรรณทำหน้างง “ทำไมชั้นไม่รู้สึกเลยวะ”
“แกจะรู้สึกอะไร หวดเอาๆ ชั้นหมดแรงแล้วเนี่ย หิวข้าวก็หิว คราวหลังถ้าพวกไอ้กอล์ฟไม่มา ไม่ต้องมาชวนเป็นคู่ซ้อมเลยนะเว้ย ไม่มีคนเปลี่ยน เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” พินนท์บ่น เขาปาดเหงื่อบนใบหน้าก่อนจะมองเพื่อนอย่างเพลียๆ จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่ชายร่างเล็กอะไรมาก ก็สูงตามมาตรฐานชายไทยนั่นแหละ แต่มันคงเป็นความผิดของเพื่อนเขา ที่ดันสูงเกินมาตรฐานและทำให้เขาต้องมาลำบากเหมือนในตอนนี้
“แล้วแกดูโน่น ป้าเขานั่งรออยู่เห็นไหมน่ะ” พินนท์ชี้ให้ดูป้าไยที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมสนาม ข้างๆ ตัวมีไม้ถูพื้นอันใหญ่ พอรู้ว่าสองหนุ่มกำลังมองมา ป้าแกก็ลุกขึ้นเดินตรงมาหาทันที
แต่ยังไม่ทันที่แกจะเดินมาถึง อัชบรรณก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
“งื้ดๆ งื้ดๆ” เขาเงี่ยหูฟังพลางสะกิดเพื่อน “เฮ้ย ไอ้พุก เสียงอะไรวะ”
“เสียงอะไร” เพื่อนกลับย้อนถามเขาเสียอย่างนั้น ทำเอาอัชบรรณส่ายหน้าเป็นทำนองไม่ได้ดังใจ ออกเดินไปตามเสียงนั่นจนถึงลูกกรงริมสนาม ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นต้นตอของเสียงอยู่ตรงหน้า