++ [กระทู้ต่อ] แม่นุ่น ตอน 14 Boston's Cup ร้านเค้กแห่งความรัก ++

ตอน 14 Boston's Cup ร้านเค้กแห่งความรัก

*******************************************
ยารอบที่ 1: Herception 500 mg + Taxotere 120 mg
อาการแพ้รุนแรง: เม็ดเลือดขาวตก (1000)
อาการอื่นๆ: ท้องร่วงเนื่องจากติดเชื้อ, ผมร่วง ปากอักเสบปานกลาง

ยารอบที่ 2: Herception 360 mg + Taxotere 100 mg
อาการแพ้รุนแรง: ยังไม่ปรากฏ
อาการอื่นๆ: ยังไม่ปรากฏ
*******************************************

พรุ่งนี้จะถึงวันนัดที่นุ่นต้องให้ยาแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ผมต้องทำคือ ซื้อยา Herceptin ส่วน Taxotere รอบนี้ สามารถเบิกได้จากสิทธิ 30 บาท

ในการซื้อยา Herceptin ผมต้องโอนชำระที่เคาเตอร์ธนาคาร วันนี้ผมไปธนาคารใกล้บ้าน แต่ด้วยความเบลอ ในวันสำคัญแบบนี้ผมดันหาสมุดบัญชี ไม่เจอทำให้ต้องกดเงินสด จากตู้ ATM กว่าแปดหมื่นบาท เพื่อชำระผ่านเคาเตอร์แทน

“มาชำระค่ายาครับ” ผมยื่นเงินสด หนึ่งปึก พร้อมแจ้งความต้องการให้ จนท หน้าเคาเตอร์
“โห ยาอะไรครับพี่” จนท เบิกตาโพลง ด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผมมาจ่ายค่ายา ด้วย เงินปึกใหญ่
“ยาต้านมะเร็งครับ” ผมบอก จนท ไป เราคุยกันสักพัก ผมบอกว่าแฟนผมเป็นมะเร็ง
“โห แพงมากๆ มีอะไรให้ช่วยกันบอกแล้วกันนะพี่” จนท ทำหน้าละเหี่ยใจ พร้อมกับจัดการโอนเงินให้

ผมยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบรับไมตรีอันดี...
แต่ตอนนี้ สำหรับผม ไม่มีความรู้สึกสะทกสะท้านอะไรแล้ว...
ผมต้องเดินหน้าอย่างเดียวเท่านั้น....
..................................
ถึงวันให้ยาแล้ว แม่นุ่นพร้อมเต็มที่ ครั้งนี้ หมอ ลดยาลงเหลือ 100 mg จากครั้งก่อน 120 mg ด้วยความหวังว่า อาการแพ้ของแม่นุ่นน่าจะลดลง

และเราทั้งคู่ก็หวังอย่างนั้น เช่นเดียวกัน

“คราวนี้ เค้าว่าตัวเอง คงไม่แพ้แล้วละ” ผมกุมมือให้กำลังใจแม่นุ่น
“อืม..” แม่นุ่นตอบสั้นๆ แต่ผมสังเกตเห็นสายตาที่ยังมีความกังวลอยู่
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ที่ท้องเสียครั้งที่แล้วเพราะเราไม่รู้ แต่รอบนี้เรารู้แล้ว มันคงไม่เกิดขึ้นอีกนะ สู้ๆ ” ผมย้ำอีกครั้ง เพราะยิ้มให้กำลังใจ

แต่ก็เหมือนไม่ได้ช่วยให้แม่นุ่นสบายใจมากขึ้นเท่าไหร่นัก
ผมรู้ว่าเค้ายังเข็ดกับรอบที่แล้วไม่หาย
แต่ผมบอกตัวเองว่า ครั้งนี้ผมไม่พลาดอีกแน่ๆ

ถึงเวลาต้องไปแล้ว....

แต่ดันมีปัญหาว่า ผมหาบัตร ATM ที่กดจ่ายค่ายาเมื่อวานไม่เจอ
มันหายไปจากกระเป๋าตังค์ผม

เงินสดก้อนสุดท้ายในชีวิตของผมอยู่ในบัตร ประมาณ ห้าหมื่นบาท
“ลืมในตู้แน่” ผมคิดอย่างงั้น พร้อมเขกหัวตัวเองว่าทำไมต้องลืม ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เช่นนี้

ผมรีบโทรไปที่ธนาคารทันที
“โทษครับ เมื่อวานที่ผมไปจ่ายค่ายา จำได้ไหม ผมลืมบัตรไว้ในตู้ ไม่ทราบมีใครเจอหรือป่าว” ผมถาม จนท ใจเต้นตึกๆ กลัวบัตรจะหาย
“อ้อ เจอครับพี่ มารับได้เลย” จนท จำผมได้ เค้าเก็บบัตรไว้ให้

ผมเป่าปากยาวเลย....

“ครับๆๆ เดี๋ยวผมรีบไปเดี๋ยวนี้เลย ขอบคุณครับ” ดีใจที่บัตรไม่หาย
ถ้าหายครั้งนี้ จะเป็น การลืมบัตร ครั้งที่ สาม ในรอบเดือนเลยทีเดียว
เฮ้ออ เบลอ จัดๆๆๆ

หลังวางหู ผมรีบจัดแจงพาแม่นุ่นขึ้นรถ พร้อมแวะรับบัตรเอทีเอ็มที่ธนาคาร ก่อนที่จะเลยไป รพ
“เค้าว่าไงอ่ะ เจอบัตรมั้ย” แม่นุ่น ถามผม สายตาค้อน
“เจอสิ โล่งอก อิอิ” ผมยิ้มด้วยความสบายใจ
“เป็นไรหนักหนา อย่าเบลอมากนักเลย แก่แล้วก็เงี้ย” แม่นุ่นยิ้ม พูดจาเยาะเย้ย เหน็บแนม ตามประสาที่เคยเป็น
ผมได้แต่หยักคิ้ว ยิ้มตอบ แล้วก็รีบขับรถไปตามแผนที่วางไว้
ตอนนี้สายมากแล้ว....

วันนี้ รถไม่ค่อยติด ผมไปถึง รพ ตามเวลาที่นัดไว้
เหมือนทุกครั้ง ผมต้องมีคนไปด้วยหนึ่งคน วันนี้ได้หลานรักของนุ่นมาด้วย ผมต้องแวะจอด ให้นุ่นกับหลานลงหน้า รพ
“น้องแพร อย่าลืมนะเอาใบส่งตัวไปขึ้นสิทธ์ก่อน ขอแฟ้มไปด้วยนะ เพราะหมออาจจะสั่งยา ได้ทุกอย่างแล้วก็ไปชั้น 4 นะ” ผมกำชับหลานถึงขั้นตอนการเข้ารักษาที่ รพ ที่ต้องแสดงสิทธ์ทุกครั้งก่อนเข้ารักษา

วันนี้พิเศษหน่อย เพราะจะเป็นการใช้สิทธ์ส่งตัวครั้งแรกที่จะทำให้ผมประหยัดได้ราว ห้าหมื่นสองพันกว่าบาท

ผมยื่นกระเป๋าหลานติดตัวไปด้วย กระเป๋าใบนี้ที่มีเอกสารทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ในนั้น เช่น ผลตรวจเลือด ผล CT บัตรนัด แม้แต่กล่องชิ้นเนื้อก็มี

จากนั้นผมต้องขับไปจอดรถใต้ทางด่วน ที่ค่อนข้างสะดวก และฟรีอีกด้วย

ผมรีบจอดรถ แล้วเดินไป รพ กว่าจะถึง ตึกที่นุ่น ก็ใช่เวลา ราว 10 นาที

ผมยังเดินไม่ถึงไหน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์

“อ้วน พยาบาลบอกยาหมด”
“หะ! อะไรนะ ยาหมด ยาอะไรหมด??”
“Taxotere หมด”
“แล้วเค้าบอกมั้ยว่าทำไง?”
“เค้าบอกว่า เดี๋ยวยามาเมื่อไหร่จะแจ้งอีกที”
“อ้าว แล้วใครจะรอได้วะเนี่ย” ผมอุทานด้วยความฉุนเฉียว แต่พยายามใจเย็นคิดหาวิธีจะแก้ปัญหานี้ให้ได้

ผมต้องเดินกลับไปที่รถอีกครั้ง เพื่อจะขับไปรับนุ่นกับหลานกลับบ้าน
ผมรู้สึกผิดหวังนิดๆ พร้อม อารมณ์ที่ไม่จอยเท่าไหร่ เพราะเคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ยาหมดขึ้น
ผมรับนุ่นแล้วขับรถกลับบ้าน ตามองถนน แต่ในหัวยังคิดวนเวียนไม่รู้จบ ผมพอนึกอะไรอะไรบางอย่างได้
พร้อมกดโทรศัพท์หาน้องทันที
“น้องครับ วันนี้พี่นุ่นไม่ได้ยานะ พอดี รพ บอก ยาหมดอ่ะ”
“จริงเหรอพี่ตุลา แล้วเค้าบอกมั้ยจะมียาเมื่อไหร่”
“ไม่บอกครับ เค้าแค่บอกว่ามาเมื่อไหร่จะบ อก ฟังแล้วดูแล้วเหมือนรอไม่มีจุดหมายเลย”
“น้องช่วยเช็คให้พี่อีกทีได้มั้ยครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ได้ๆๆ ค่ะ เดี๋ยวหนู เช็คก่อนนะ แล้วจะรีบโทรบอกค่ะ”

ผมวางสายจากน้อง และขับรถต่อไปเรื่อย
ใจก็จดจ่อกับโทรศัพท์ ว่าเมื่อไหร่น้องจะส่งข่าวมา

ประมาณครึ่ง ชม ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ใช่แล้ว...น้องโทรหาผมแล้ว

“พี่ตุลา ยามันมีนะ หนูเชคตัวแทนแล้ว เค้าเพิ่งส่งยาไป ยามันมี แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ปัญหาอยู่ที่สิทธ์พี่นุ่น” น้องบอกผม ผมตั้งใจฟังต่อ
“ตอนแรกเค้าเข้าใจผิดนึกว่าพี่นุ่นใช้ประกันสังคม ซึ่ง ยาในโควต้าประกันสังคมมันหมด” น้องอธิบายต่อ
“หนูจำได้ว่าพี่นุ่นใช่สิทธ์ 30 บาท เลยบอกเค้าไปว่าไม่ใช่ และตอนนี้ก็มียาโควต้า 30 บาท มีเหลืออยู่ ค้ือสื่อสารผิดพลาดคะพี่”
แต่หนูประสานงานให้แล้ว พรุ่งนี้ให้พี่นุ่นไปให้ยาได้เลย พี่เค้าฝากขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลาคะ”

หลังจากที่คุยกับน้อง มันทำให้ผมเข้าใจถึงระบบการใช้สิทธิ์มากขึ้น ฟังแล้วค่อนข้างเซ็ง ไม่ใช่เรื่องที่พยาบาลสื่อสารผิด แต่เป็นเรื่องประกันสังคม ถึงแม้ผมจะเข้าใจระบบ แต่ก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี เพราะประกันสังคมเก็บเงินผมทุกเดือน แต่ดูเหมือนการบริการที่ได้รับจะแย่กว่า บัตรสามสิบบาท

(ผู้อ่านคนไหนพอทราบปัญหากกองทุนประกันสังคมสำหรับกรณีนี้ ก็ช่วยอธิบายหน่อยแล้วกันนะครับ จะได้เป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไปด้วย)

เอาละ ยังไงๆ ผมก็ถือว่าเป็นข่าวดี ผมบอกนุ่น ถึงเหตุและผล ที่มันเกิดขึ้น
เราก็ได้แต่บ่น และต้องกลับมา รพ อีกครั้ง ในวันพรุ่งนี้
................................................
รุ่งขึ้น ผมก็พาแม่นุ่นไป รพ อีกครั้ง
ระหว่างที่รอเปิดเส้น พี่พยาบาลก็พูดขึ้นมา “เมื่อวาน พี่ขอโทษทีนะ ที่พี่เข้าใจผิดนึกว่าหนูใช้ประกันสังคม” พี่พยาบาลพูดกับเราทั้งคู่
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ ผิดพลาดกันได้เนาะ” แม่นุ่นยิ้มตอบ
ส่วนผมก็ยิ้มตอบ และรู้สึกดีที่พี่อุตส่าห์กล่าวคำขอโทษ ซึ่งเราก็ให้อภัยกันได้อยู่แล้ว...

การให้ยารอบนี้ แม่นุ่นไม่มีไข้หนาวสั่นเหมือนกันครั้งแรก เพราะพยาบาลฉีดยาแก้แพ้ก่อน
การให้ยาทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ผมสบายใจที่เห็นแบบนั้น
พอให้ยาเสร็จ เราก็รีบกลับไปหาลูกๆ กัน

เราขับรถกลับบ้านด้วยความสบายใจ ผมขึ้นทางด่วนกลับบ้านเป็นประจำวัน
พอถึงด่าน ผมควักกระเป๋าตังค์เพื่อจ่ายเงิน

เปิดออกมา ในกระเป๋าตังค์มีแบงค์ร้อยอยู่ไม่กี่แบงค์...
เป็นสิ่งที่เตือนผมว่า เงินกำลังจะหมด..

ผมต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะหาเงินที่ไหน มาจ่ายค่ายารอบถัดไป ภายในสามสัปดาห์ข้างหน้า?

...................................
พอกลับถึงบ้าน
ผมก็รายงานสถานการณ์การให้ยาของแม่นุ่นให้ทุกคนฟัง ทั้งทางบ้านผม และบ้านแม่นุ่น

ทุกคนดีใจด้วยที่ไม่มีอะไรผิดปกติ

เว้นแต่ผม ที่ต้องตัดสินใจว่าจะหาเงินค่ายารอบหน้าได้ยังไง...

พอทุกคนหลับกันหมด
ผมเริ่มแจงรายการทรัพย์สินที่มี

เงินสดผมเหลือแค่ห้าหมื่นกับสี่ชีวิตที่ต้องดูแล...
มันช่างน้อยนิดเหลือเกิน..

ผมมีรถหนึ่งคัน..
แต่ถ้าขายไป ผมจะไปทำงานยังไง เพราะที่ทำงานอยู่ วิภาวดีรังสิต ส่วนบ้านอยู่สำโรง ต้องใช้รถพาแม่นุ่นไป รพ
ที่สำคัญกว่านั้น ผมต้องรักษาสภาพจิตใจของแม่นุ่นด้วย
มันคงไม่ดีแน่ ถ้าเค้ารู้ว่าเค้าเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องขายรถ รถที่แม่นุ่นเลือกที่จะซื้อรุ่นเพื่อไว้รับส่งลูกๆ

ผมจำต้องตัดตัวเลือกนี้ออกไป เพราะรถยังเป็นสิ่งจำเป็นมากในเวลานี้

ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ผมนึกออกในตอนนี้ คือ ขาย “ร้านเค้กแห่งความรักของเรา”

ที่ผมขอท้าวความถึงสักเล็กน้อย..

เดิมที ผมกับแม่นุ่น ทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน เราอยู่บริษัทนี้มาราว 4-5 ปี

ระหว่างทำงาน ชีวิตเราก็ดำเนินไปตามปกติเฉกเช่น มนุษย์เงินเดือน วัยสร้างเนื้อ สร้างตัว ทั่วไป

จากจุดเริ่มต้นเราอยู่อพาร์ทเม้น ค่าเช่าเดือนละ สี่พันบาท
พอมีน้องซิดนีย์ เราก็ย้ายไปอยู่คอนโด แต่อยู่ได้ไม่นาน เราก็รู้สึกว่ามันคงคับแคบไปสำหรับพ่อแม่ลูก

ผมตัดสินใจขายคอนโด เพื่อมาซื้อบ้านหลังที่อยู่ทุกวันนี้ ที่แม่นุ่นก็เป็นคนเลือกเอง

ตั้งแต่มีน้องซิดนีย์ แม่นุ่นบอกกับผมเสมอ ว่าอยากจะลาออกเพื่ออยู่ดูแลลูก
แต่ผมก็บอกแม่นุ่นว่า ต้องวันนั้นแน่ แต่ขอเวลาผมสักพัก เพราะรายได้ยังไม่มากพอที่จะทำแบบนั้นได้

จริงๆ แล้ว แม่นุ่นไม่ต้องบอก ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากให้เป็นอยู่แล้ว คือ อยากให้แม่นุ่นทำงานอะไรก็ได้ที่มีเวลาดูแลลูกไปด้วย ส่วนผมก็คงต้องทำงานประจำต่อไป เพราะหนทางในอาชีพยังสดใส รวมถึงมีรายได้ที่แน่นอนกว่าอีกด้วย

จุดเริ่มต้นของร้าน มันเริ่มจากการที่เรามีบ้าน แม่นุ่นเคยบอกผมว่า ถ้ามีบ้านอยากให้ผมซื้อเตาอบสวยๆ ให้

ผมรับปาก และพอมีบ้านผมก็จัดให้ตามที่ขอ

แต่ตั้งแต่ซื้อมา มันตั้งอยู่อย่างไร ก็ตั้งอยู่อย่างนั้น จนผมคิดว่า ต้องหาเรื่องใช้มันให้เป็นประโยขน์บ้างแล้ว

แต่จะเริ่มจากอะไรดี?

ในที่สุดผมก็เลือกที่จะเริ่มต้นด้วยการทำเค้ก
สาเหตุไม่ใช่เพราะใคร ก็เพราะแม่นุ่นอีกนั่นแหละ ที่เค้าเป็นคนชอบทานเค้กมากเป็นชีวิตจิตใจ

ผมค้นหาสูตรจากอินเตอร์เน็ต โทรถามพี่ที่เค้าเก่งเรื่องนี้ แล้วมาฝึกทำเอง
ทานได้บ้าง ทานไม่ได้บ้าง แต่ผมก็พยายามฝึกฝนไปเรื่อยๆ

ช่วงนั้น ทั้งเพื่อนบ้าน ทั้งเพื่อนที่ออฟฟิส ชิมเค้กผมจนอ้วนกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว

ระหว่างที่ฝึกอยู่ ก็มีเพื่อนผมคนหนึ่งไปเปิดกิจการร้านกาแฟส่วนตัวเป็นอาชีพเสริม

เพื่อนคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเพี่อนที่นั่งทำงานอยู่ติดๆ กันนั่นแหละ
“เค้กส้มแกอร่อยว่ะตุ” มันเรียกผมตุ
“ทำไปส่งร้านบ้างดิ๊ ที่ร้านยังไม่มี” น้ำเสียง สีหน้าจริงจัง ทีเดียวเชียว
“เอาจริงเหรอวะ” ผมถามย้ำ ว่ามันมั่นใจในฝีมือผมขนาดนั้นเลยเหรอ
“แต่ถ้าทำแล้ว ต้องทำตลอดนะเว้ย เด๋วทำเด๋วหยุด ลูกค้าจะว่าให้” มันย้ำผมถึงความสม่ำเสมอ ซึ่งผมเข้าใจ
“เดี๋ยวกลับไปคิดก่อน แล้วจะมาบอกละกัน” ผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าจะทำให้เพื่อนได้ตลอดไปมั้ย และยังไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองมากขนาดนั้น

ผมกลับไปนอนคิดที่บ้าน
ผมไตร่ตรองสักพักนึง ก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า มันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ผมจะสามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวมากขึ้น ผมสามารถเริ่มจากจุดเล็กๆ จุดนี้ และจะขยายให้มันใหญ่ขึ้นทันทีเมื่อมีโอกาสที่จะมีกิจการของตัวเองในอนาคต ที่จะเป็นรากฐานที่ดีให้กับลูกๆในอนาคตได้อีกด้วย

เมือคิดได้อย่างนั้น ผมบอกกับแม่นุ่นถึงสิ่งที่ผมคิดและเป้าหมายในวันข้างหน้า

"เอาเลยอ้วน เค้าช่วยทำ จะได้ลาออกสักที" แม่นุ่นสนับสนุน เพราอยากจะลาออกเต็มที


ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจ ตกลงรับปากเพื่อนในวันต่อมา

ผมเริ่มส่งเพื่อนแค่เมนูเดียว
ขณะเดียวกัน ผมก็ฝึกฝนตัวเองไปเรื่อยๆ ในทุกๆ ตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือวันหยุดเสาร์ อาทิตย์
ไม่นานนักจากหนึ่งเมนูที่ทำได้ ก็กลายเป็นหลายเมนู
จากขายส่งร้านเพื่อนเพียงร้านเดียว ก็กลายเป็นสามร้าน สี่ร้าน
ฝึกตัวเองจนคล่องแล้ว ก็จะฝึกแม่นุ่นต่อ เป็นอย่างนี้ในทุกๆ เมนูที่เราเริ่มทำ


จากวันนั้น ถึงวันที่คิดจะมีร้านของตัวเอง เราใช้เวลากว่า 3 ปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่