เปลือกตาหนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หากกรินทร์ก็พยายามเลิกมันขึ้นอย่างอ่อนล้า ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนก่อนค่อย ๆ คมชัดทีละน้อย หญิงสาวข้างเตียงผุดลุกพลางร้องด้วยความดีใจ
“ฟื้นแล้วหรือ”
ชายหนุ่มกระพริบตาสองสามครั้งค่อยจดจำวงหน้าคุ้นเคยนั่นได้ “ลลิล มา...มาได้ยังไง”
“อย่าเพิ่งห่วงเรื่องอื่นเลย” อีกฝ่ายร้อง “นายถูกยิงมาเมื่อวานจนเสียเลือดมาก แต่หมอผ่าเอากระสุนออกและให้เลือดจนพ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนเช้านายฟื้นมาครั้งหนึ่ง หมอตรวจอาการจนแน่ใจถึงย้ายจากห้องพักฟื้นหลังผ่าตัดมาที่นี่ จำไม่ได้เลยหรือ”
ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า สัมผัสเพียงกลิ่นยาฆ่าเชื้อโชยรวยริน กรินทร์กลอกตามองรอบห้องเดี่ยวในโรงพยาบาลเที่ยวหนึ่งแล้วคิดจะขยับตัว ตอนนั้นเองถึงรับรู้ว่าแขนซ้ายโดนพันแผลไว้อย่างแน่นหนา ส่วนแขนขวามีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางค์ ชายหนุ่มเลียริมฝีปากแห้งผากพลางว่า
“ฉันหิวน้ำ”
หญิงสาวร่างเล็กเผยอยิ้มให้เขา ขับเน้นดวงตาเคร่งเครียดให้ดูอ่อนโยนลง ใครจะนึกว่าหญิงสาวท่าทางไร้พิษสงคนนี้คือทนายฝีมือดีซึ่งไล่ต้อนคู่กรณีจนหมดทางสู้คาศาลมานักต่อนักแล้ว กรินทร์รู้จักหล่อนผ่านทางเพื่อนของเพื่อนเมื่อหลายปีก่อน และไม่รอช้าที่จะชักชวนลลิลมาเป็นทนายประจำบริษัทฯ จวบจนปัจจุบัน
“คุณพยาบาลคะ” ลลิลเอ่ยถามพยาบาลผู้เดินเข้าห้องมาตามเสียงกริ่งที่หล่อนกดไปตั้งแต่ตอนที่กรินทร์เพิ่งตื่น “คนไข้ทานน้ำได้หรือยังคะ”
“ได้แล้วค่ะ แต่ให้ทานทีละน้อยจะดีกว่า ระวังสำลัก”
ลลิลจึงกุลีกุจอไปเติมน้ำใส่แก้วพลางยื่นให้เขาดื่มผ่านหลอด ระหว่างนั้นพยาบาลก็เข้ามาจับชีพจร วัดความดันและสำรวจชายหนุ่มคร่าว ๆ
“ทั่วไปปกติค่ะ” พยาบาลรายงาน “ดิฉันจะไปแจ้งผล สักครู่หมอคงเข้ามาตรวจอาการอีกครั้ง หากต้องการอะไรกดเรียกได้นะคะ”
ลลิลพึมพำขอบคุณ ชายหนุ่มรอจนบุคคลที่สามคล้อยหลังค่อยเอ่ยถามเสียงเบา
“นี่กี่โมงแล้ว”
“บ่ายโมงกว่า นายหลับไปเกือบวันเชียว คนในบริษัทฯ ได้ข่าวก็ตกใจรีบมาเยี่ยม แต่พอเห็นนายพักผ่อนอยู่เลยกลับไปหมด ส่วนฉันอาสาเฝ้าไข้จนกว่าจะฟื้น นี่คงต้องโทรรายงานพวกนั้นแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนเถอะ” ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ฉันอยากขอเวลาปะติดปะต่อเรื่องก่อน จำได้ว่าเมื่อวานพอออกจากร้านอาหารไม่นานก็เกิดเหตุขึ้น”
หญิงสาวถอนหายใจ “ปกติฉันเคารพความคิดนายนะ แต่ครั้งนี้คงต้องขอบอกว่าในสถานการณ์หมิ่นเหม่ การทิ้งคนขับรถแล้วแยกตัวตามลำพังมันไม่ฉลาดเอาเสียเลย นายคิดอะไรกัน”
กรินทร์สบตาหญิงสาวผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิท ท่าทางทนายสาวแทบไม่ต่างจากเวลาซักค้านในศาล คะเนได้ว่าแม้พูดเลี่ยงหรือโกหกไปก็คงโดนต้อนจนหมดทางแน่
“แค่อยากเปิดโอกาสให้ไผทโผล่มาพูดกันตัวต่อตัว ถึงได้จงใจปล่อยข่าวว่าจะไปร่วมงานเปิดห้างสรรพสินค้า แล้วค่อยแยกตัวมาหาที่เปลี่ยว ๆ เผื่อไผทที่หลบตำรวจอยู่จะยอมออกมาพบ”
“และก็รับลูกปืนมาเป็นผลพลอยได้นี่น่ะหรือ” อีกฝ่ายเหน็บด้วยความเป็นห่วงมากกว่าจะคิดประชดจริงจัง
“ฉันพลาดเอง ไม่คิดว่าไผทจะเล่นแรงขนาดนี้ ทุกอย่างคงกู่ไม่กลับแล้วจริง ๆ”
คนฟังหน้าหมองลง กรินทร์เองก็เบนสายตาไปทางอื่นด้วยไม่รู้จะคลี่คลายบรรยากาศอึดอัดอย่างไร หากแล้วหญิงสาวตรงหน้าก็สลัดอาการสลดทิ้ง หันมาเปิดประเด็นต่อว่า
“ทำไมรู้ว่าเมื่อวานไผทจะตามนายไป”
คนเจ็บยิ่งมีอาการกระอักกระอ่วนหนัก “หลังเกิดเหตุมือถือไผทก็ปิดเครื่องตลอด ฉันจึงพยายามติดต่อผ่านทางอีเมล์ส่วนตัว ถึงไม่มีการตอบรับแต่ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นตามอ่านข้อความที่ส่งไปอยู่ วานซืนเลยส่งอีเมล์บอกว่าฉันไปร่วมงานเปิดห้างเวลาไหน หลังจบงานจะหาทางปลีกตัวมาตรงซอยเปลี่ยวนั่น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขาออกมาคุยด้วย”
“ถึงขั้นส่งข้อความเปิดโอกาสให้ไผทมาหาลับหลังตำรวจ นายต้องการอะไรกัน” ลลิลเอนตัวใกล้เตียง หรี่ตาคาดคั้น “คงไม่ใช่คิดหลอกไผทมาแก้แค้นด้วยตัวเองหรอกนะ”
ชายหนุ่มเม้มปากแน่น สมองล้าเกินกว่าจะสรรหาคำแก้ตัวต่อคำถามที่ไม่ต้องการตอบ จึงแอบดีใจที่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องมาขัดการสนทนา นึกเดาว่าคงเป็นแพทย์เข้ามาตรวจอาการ ทว่ากลับต้องผิดคาดโดยสิ้นเชิง !
“ว่าไง” ชายสวมกางเกงยีนและแจ็คเก็ตทับเสื้อยืด ยืนกอดอกหน้าประตูที่จงใจกระแทกปิดดังสนั่นตามหลัง “เห็นพยาบาลบอกว่านายฟื้นแล้ว เลยถือวิสาสะ...หวังว่าคงไม่ถือสา”
ลลิลรีบลุกขึ้นหมุนตัวเผชิญหน้ากับแขกด้วยอาการระแวดระวัง ส่วนคนเจ็บกลับเหยียดริมฝีปากแห้งผากเป็นเชิงเยาะ
“ที่แท้ก็หมวดหาญ อุตส่าห์ให้เกียรติมาเยี่ยมไข้ถึงที่เลยเชียว”
นายตำรวจผู้ไม่ได้ใส่เครื่องแบบเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเดินมาหยุดยังปลายเตียง จ้องมองกรินทร์ด้วยแววตาแห่งความเป็นอริอย่างไม่คิดปิดบัง พูดเสียงห้วน
“มีคดียิงกันตำรวจก็ต้องมาสอบปากคำตามหน้าที่อยู่แล้ว”
“เพิ่งรู้ว่า ปปส. รับทำคดีพวกนี้ด้วย”
นายตำรวจสังกัดกองบังคับการปราบปรามยาเสพติดตอบกลับเสียงหนัก “ถ้าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกันก็อยู่ในอำนาจ”
“อ้อ แล้วที่ผมถูกยิงมันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะครับ”
“นั่นคงต้องให้นายเป็นคนชี้แจงแล้วล่ะ ผู้หญิงที่อยู่กับนายวันนั้นให้การเป็นประโยชน์ไว้มากเลย ลองเอาอย่างเธอซะบ้างซิ”
กรินทร์หรี่ตาลง “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“อ้าว พยานคนอื่นบอกว่าตอนวิ่งมาดูเหตุยิงกันก็เห็นเธออยู่ข้างนายตลอด หมอยังว่าถ้าไม่ได้พยาบาลอย่างเธอช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นนายคงเสียเลือดตายตั้งแต่กลางทางแล้ว นี่ไม่รู้จักกันหรอกหรือ”
คิ้วหนาของคนเจ็บพลันกระตุกขึ้น หากแล้วก็กลับคืนปกติในเวลาไม่นาน “เราเผอิญพบหน้ากันวันนั้นเป็นครั้งแรก ว่าแต่เธอให้การยังไงบ้างล่ะ”
“มือปืนรูปร่างผอม อายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน นายล่ะ...รู้จักมันไหม” นายตำรวจซักไซ้ผู้ที่น่าจะเป็นเป้าหมายโดยตรง
“ไม่ ดูแล้วน่าจะเป็นมือปืนรับจ้าง”
หมวดหาญเบ้ปากเหมือนทราบคำตอบล่วงหน้าอยู่แล้ว หยิบภาพถ่ายในแฟ้มซึ่งหนีบไว้ใต้รักแร้มาดีดร่อนไปลอยตกบนผ้าห่มคนเจ็บ ย้ำเสียงห้วน
“ใช่คนนี้ไหม”
ลลิลชำเลืองมองภาพแล้วถึงกับหลุดอุทาน แต่ชายหนุ่มบนเตียงกลับตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“หมอนี่แหละ แต่ตอนเจอกันครั้งสุดท้าย รูโบ๋กลางหน้าผากมันยังไมมีหรอกนะ”
ภาพถ่ายระยะใกล้ของมือปืนนั้นเห็นชัดว่าเขานอนอยู่บนเตียงเหล็กซึ่งคงเย็นยะเยียบน่าดู แต่รอยกระสุนเหนือตาปรือไร้แววชีวิตนั่นระบุให้ทราบว่าเจ้าตัวคงไม่รับรู้ถึงอีกต่อไปแล้ว !
“ปะ...เป็นไงมาไงกันคะ” ลลิลเอ่ยระล่ำระลักกับนายตำรวจ
“มีคนเจอศพนี่ตอนเช้ามืดตรงพงหญ้าไม่ไกลจากที่เกิดเหตุนัก เผอิญตำรวจที่ไปทำคดีนี้อยู่ด้วยตอนผมซักพยานในคดีลอบยิงของเจ้านายคุณ เขาเห็นว่าเจ้าหนุ่มรูปพรรณสัณฐานและเสื้อผ้าเหมือนรายละเอียดที่พยานบอกไว้เลยแจ้งผม แล้วผมก็ตามไปถ่ายรูปจากเตียงชันสูตรเสร็จก่อนมาหาพวกคุณนี่แหละ”
ทนายสาวเบือนหน้าหนีจากภาพน่ากลัวนั่น “ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ”
“น่าจะฆ่าปิดปาก มือปืนที่ยิงพลาดแถมยังทำตัวเด่นจนพยานเห็นกันตั้งหลายคน ใครจะอยากเก็บไว้ล่ะ” หมวดหาญสรุป
กรินทร์ขบริมฝีปาก “ผมจำได้ว่าปืนของคนร้ายใช้ที่เก็บเสียงด้วย”
“จริงหรือ ไม่เห็นคุณพยาบาลนั่นจะพูดอะไร”
“ผู้หญิงจะคุ้นกับปืนสักแค่ไหนกัน ลำกล้องมันยาวผิดปกติแถมเวลายิงก็ไม่ดังนัก ต้องติดที่เก็บเสียงไว้แน่ ๆ ตอนเจอศพไม่พบปืนด้วยหรือ”
“ไม่เจอเลย สงสัยคนฆ่าเอาไปด้วย” นายตำรวจเลิกคิ้ว “ว่าแต่เตรียมที่เก็บเสียงมาด้วยเชียว แสดงว่ามือปืนตั้งใจหากจำเป็นต้องลงมือในที่ชุมชนก็ทำได้ทันที ท่าทางผู้ว่าจ้างคงรีบร้อนอยากฆ่าเสียเหลือเกินนะ”
แต่คราวนี้กรินทร์ไม่เต้นไปตามแรงกระตุ้น กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คงรีบร้อนจริง ๆ นั่นแหละ ถึงขั้นต้องใช้มือปืนหัดใหม่มาจัดการ อาจเพราะหาคนไม่ทันก็เป็นได้”
“หือ รู้ได้ไงว่าเป็นมือปืนหัดใหม่”
“ดูจากอายุอย่างหนึ่งล่ะ” กรินทร์ตอบ “อีกข้อก็สังเกตจากฝีมือ พวกมืออาชีพเขาต้องยิงรัวกันพลาดกันทั้งนั้น แต่หมอนี่กล้าเดินมายิงทีละนัดเหมือนจะโชว์ว่าข้าเจ๋ง หากระยะห่างแค่นั้นดันพลาดจุดตายทั้งสองนัด เผลอ ๆ อาจเป็นแค่วัยรุ่นติดยาหวังหาอาชีพเสริมด้วยซ้ำ คราวนี้ไม่ว่าผลงานเป็นยังไงหมอนี่ก็ตายแน่ เป็นพวกโดนใช้แล้วทิ้งไม่ให้สืบสาวต่อได้”
“เดาแม่นพอดูเลยนี่ ตำรวจเจ้าของคดีบอกว่าพบบัตรประชาชนในกระเป๋า พอตามไปสอบถามที่บ้านแม่ของมือปืนเล่าว่าลูกชายเกกมะเหรกจนคุมไม่ไหวมาหลายปีแล้ว แต่นอกจากลักขโมยกับเสพยาก็ไม่เคยมีประวัติร้ายแรง หลัง ๆ แกทนไม่ไหวเลยไล่ออกจากบ้านไม่ยอมให้เงินอีก เจ้าหนุ่มถึงไปหาลู่ทางอื่น แต่นึกไม่ถึงว่างานแรกก็เจอปังตอเข้าเสียแล้ว” นายตำรวจหันมาจ้องกรินทร์ตาไม่กะพริบ “นายก็รู้ดีเหลือเกินนะ ถ้างั้นรู้ไหมว่าคนจ้างวานเป็นใคร”
“ไม่ทราบครับ” เสียงแหบพร่าตอบทันควัน นายตำรวจหรี่ตา กระแทกฝ่ามือกับขอบเตียงยกสูงโดยแรง
“ไม่ทราบหรือ นายน่ะมีทั้งพวงกุญแจเตือนภัย ที่ขาก็เก็บปืนช็อตไฟฟ้าไว้พร้อม เตรียมการป้องกันตัวขนาดนี้เพราะสงสัยว่าอาจถูกปองร้ายอยู่ใช่ไหม”
ที่แท้ซองหนังซึ่งชาคริยาและมือปืนนึกว่าเป็นซองปืนพกนั้น กลับกลายเป็นแค่ปืนช็อตไฟฟ้าเท่านั้นเอง
พรางใจซ่อนใยรัก ตอนที่ 2
“ฟื้นแล้วหรือ”
ชายหนุ่มกระพริบตาสองสามครั้งค่อยจดจำวงหน้าคุ้นเคยนั่นได้ “ลลิล มา...มาได้ยังไง”
“อย่าเพิ่งห่วงเรื่องอื่นเลย” อีกฝ่ายร้อง “นายถูกยิงมาเมื่อวานจนเสียเลือดมาก แต่หมอผ่าเอากระสุนออกและให้เลือดจนพ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนเช้านายฟื้นมาครั้งหนึ่ง หมอตรวจอาการจนแน่ใจถึงย้ายจากห้องพักฟื้นหลังผ่าตัดมาที่นี่ จำไม่ได้เลยหรือ”
ในสมองมีแต่ความว่างเปล่า สัมผัสเพียงกลิ่นยาฆ่าเชื้อโชยรวยริน กรินทร์กลอกตามองรอบห้องเดี่ยวในโรงพยาบาลเที่ยวหนึ่งแล้วคิดจะขยับตัว ตอนนั้นเองถึงรับรู้ว่าแขนซ้ายโดนพันแผลไว้อย่างแน่นหนา ส่วนแขนขวามีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยางค์ ชายหนุ่มเลียริมฝีปากแห้งผากพลางว่า
“ฉันหิวน้ำ”
หญิงสาวร่างเล็กเผยอยิ้มให้เขา ขับเน้นดวงตาเคร่งเครียดให้ดูอ่อนโยนลง ใครจะนึกว่าหญิงสาวท่าทางไร้พิษสงคนนี้คือทนายฝีมือดีซึ่งไล่ต้อนคู่กรณีจนหมดทางสู้คาศาลมานักต่อนักแล้ว กรินทร์รู้จักหล่อนผ่านทางเพื่อนของเพื่อนเมื่อหลายปีก่อน และไม่รอช้าที่จะชักชวนลลิลมาเป็นทนายประจำบริษัทฯ จวบจนปัจจุบัน
“คุณพยาบาลคะ” ลลิลเอ่ยถามพยาบาลผู้เดินเข้าห้องมาตามเสียงกริ่งที่หล่อนกดไปตั้งแต่ตอนที่กรินทร์เพิ่งตื่น “คนไข้ทานน้ำได้หรือยังคะ”
“ได้แล้วค่ะ แต่ให้ทานทีละน้อยจะดีกว่า ระวังสำลัก”
ลลิลจึงกุลีกุจอไปเติมน้ำใส่แก้วพลางยื่นให้เขาดื่มผ่านหลอด ระหว่างนั้นพยาบาลก็เข้ามาจับชีพจร วัดความดันและสำรวจชายหนุ่มคร่าว ๆ
“ทั่วไปปกติค่ะ” พยาบาลรายงาน “ดิฉันจะไปแจ้งผล สักครู่หมอคงเข้ามาตรวจอาการอีกครั้ง หากต้องการอะไรกดเรียกได้นะคะ”
ลลิลพึมพำขอบคุณ ชายหนุ่มรอจนบุคคลที่สามคล้อยหลังค่อยเอ่ยถามเสียงเบา
“นี่กี่โมงแล้ว”
“บ่ายโมงกว่า นายหลับไปเกือบวันเชียว คนในบริษัทฯ ได้ข่าวก็ตกใจรีบมาเยี่ยม แต่พอเห็นนายพักผ่อนอยู่เลยกลับไปหมด ส่วนฉันอาสาเฝ้าไข้จนกว่าจะฟื้น นี่คงต้องโทรรายงานพวกนั้นแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนเถอะ” ชายหนุ่มนิ่วหน้า “ฉันอยากขอเวลาปะติดปะต่อเรื่องก่อน จำได้ว่าเมื่อวานพอออกจากร้านอาหารไม่นานก็เกิดเหตุขึ้น”
หญิงสาวถอนหายใจ “ปกติฉันเคารพความคิดนายนะ แต่ครั้งนี้คงต้องขอบอกว่าในสถานการณ์หมิ่นเหม่ การทิ้งคนขับรถแล้วแยกตัวตามลำพังมันไม่ฉลาดเอาเสียเลย นายคิดอะไรกัน”
กรินทร์สบตาหญิงสาวผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิท ท่าทางทนายสาวแทบไม่ต่างจากเวลาซักค้านในศาล คะเนได้ว่าแม้พูดเลี่ยงหรือโกหกไปก็คงโดนต้อนจนหมดทางแน่
“แค่อยากเปิดโอกาสให้ไผทโผล่มาพูดกันตัวต่อตัว ถึงได้จงใจปล่อยข่าวว่าจะไปร่วมงานเปิดห้างสรรพสินค้า แล้วค่อยแยกตัวมาหาที่เปลี่ยว ๆ เผื่อไผทที่หลบตำรวจอยู่จะยอมออกมาพบ”
“และก็รับลูกปืนมาเป็นผลพลอยได้นี่น่ะหรือ” อีกฝ่ายเหน็บด้วยความเป็นห่วงมากกว่าจะคิดประชดจริงจัง
“ฉันพลาดเอง ไม่คิดว่าไผทจะเล่นแรงขนาดนี้ ทุกอย่างคงกู่ไม่กลับแล้วจริง ๆ”
คนฟังหน้าหมองลง กรินทร์เองก็เบนสายตาไปทางอื่นด้วยไม่รู้จะคลี่คลายบรรยากาศอึดอัดอย่างไร หากแล้วหญิงสาวตรงหน้าก็สลัดอาการสลดทิ้ง หันมาเปิดประเด็นต่อว่า
“ทำไมรู้ว่าเมื่อวานไผทจะตามนายไป”
คนเจ็บยิ่งมีอาการกระอักกระอ่วนหนัก “หลังเกิดเหตุมือถือไผทก็ปิดเครื่องตลอด ฉันจึงพยายามติดต่อผ่านทางอีเมล์ส่วนตัว ถึงไม่มีการตอบรับแต่ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นตามอ่านข้อความที่ส่งไปอยู่ วานซืนเลยส่งอีเมล์บอกว่าฉันไปร่วมงานเปิดห้างเวลาไหน หลังจบงานจะหาทางปลีกตัวมาตรงซอยเปลี่ยวนั่น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เขาออกมาคุยด้วย”
“ถึงขั้นส่งข้อความเปิดโอกาสให้ไผทมาหาลับหลังตำรวจ นายต้องการอะไรกัน” ลลิลเอนตัวใกล้เตียง หรี่ตาคาดคั้น “คงไม่ใช่คิดหลอกไผทมาแก้แค้นด้วยตัวเองหรอกนะ”
ชายหนุ่มเม้มปากแน่น สมองล้าเกินกว่าจะสรรหาคำแก้ตัวต่อคำถามที่ไม่ต้องการตอบ จึงแอบดีใจที่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องมาขัดการสนทนา นึกเดาว่าคงเป็นแพทย์เข้ามาตรวจอาการ ทว่ากลับต้องผิดคาดโดยสิ้นเชิง !
“ว่าไง” ชายสวมกางเกงยีนและแจ็คเก็ตทับเสื้อยืด ยืนกอดอกหน้าประตูที่จงใจกระแทกปิดดังสนั่นตามหลัง “เห็นพยาบาลบอกว่านายฟื้นแล้ว เลยถือวิสาสะ...หวังว่าคงไม่ถือสา”
ลลิลรีบลุกขึ้นหมุนตัวเผชิญหน้ากับแขกด้วยอาการระแวดระวัง ส่วนคนเจ็บกลับเหยียดริมฝีปากแห้งผากเป็นเชิงเยาะ
“ที่แท้ก็หมวดหาญ อุตส่าห์ให้เกียรติมาเยี่ยมไข้ถึงที่เลยเชียว”
นายตำรวจผู้ไม่ได้ใส่เครื่องแบบเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเดินมาหยุดยังปลายเตียง จ้องมองกรินทร์ด้วยแววตาแห่งความเป็นอริอย่างไม่คิดปิดบัง พูดเสียงห้วน
“มีคดียิงกันตำรวจก็ต้องมาสอบปากคำตามหน้าที่อยู่แล้ว”
“เพิ่งรู้ว่า ปปส. รับทำคดีพวกนี้ด้วย”
นายตำรวจสังกัดกองบังคับการปราบปรามยาเสพติดตอบกลับเสียงหนัก “ถ้าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกันก็อยู่ในอำนาจ”
“อ้อ แล้วที่ผมถูกยิงมันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะครับ”
“นั่นคงต้องให้นายเป็นคนชี้แจงแล้วล่ะ ผู้หญิงที่อยู่กับนายวันนั้นให้การเป็นประโยชน์ไว้มากเลย ลองเอาอย่างเธอซะบ้างซิ”
กรินทร์หรี่ตาลง “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“อ้าว พยานคนอื่นบอกว่าตอนวิ่งมาดูเหตุยิงกันก็เห็นเธออยู่ข้างนายตลอด หมอยังว่าถ้าไม่ได้พยาบาลอย่างเธอช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นนายคงเสียเลือดตายตั้งแต่กลางทางแล้ว นี่ไม่รู้จักกันหรอกหรือ”
คิ้วหนาของคนเจ็บพลันกระตุกขึ้น หากแล้วก็กลับคืนปกติในเวลาไม่นาน “เราเผอิญพบหน้ากันวันนั้นเป็นครั้งแรก ว่าแต่เธอให้การยังไงบ้างล่ะ”
“มือปืนรูปร่างผอม อายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน นายล่ะ...รู้จักมันไหม” นายตำรวจซักไซ้ผู้ที่น่าจะเป็นเป้าหมายโดยตรง
“ไม่ ดูแล้วน่าจะเป็นมือปืนรับจ้าง”
หมวดหาญเบ้ปากเหมือนทราบคำตอบล่วงหน้าอยู่แล้ว หยิบภาพถ่ายในแฟ้มซึ่งหนีบไว้ใต้รักแร้มาดีดร่อนไปลอยตกบนผ้าห่มคนเจ็บ ย้ำเสียงห้วน
“ใช่คนนี้ไหม”
ลลิลชำเลืองมองภาพแล้วถึงกับหลุดอุทาน แต่ชายหนุ่มบนเตียงกลับตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“หมอนี่แหละ แต่ตอนเจอกันครั้งสุดท้าย รูโบ๋กลางหน้าผากมันยังไมมีหรอกนะ”
ภาพถ่ายระยะใกล้ของมือปืนนั้นเห็นชัดว่าเขานอนอยู่บนเตียงเหล็กซึ่งคงเย็นยะเยียบน่าดู แต่รอยกระสุนเหนือตาปรือไร้แววชีวิตนั่นระบุให้ทราบว่าเจ้าตัวคงไม่รับรู้ถึงอีกต่อไปแล้ว !
“ปะ...เป็นไงมาไงกันคะ” ลลิลเอ่ยระล่ำระลักกับนายตำรวจ
“มีคนเจอศพนี่ตอนเช้ามืดตรงพงหญ้าไม่ไกลจากที่เกิดเหตุนัก เผอิญตำรวจที่ไปทำคดีนี้อยู่ด้วยตอนผมซักพยานในคดีลอบยิงของเจ้านายคุณ เขาเห็นว่าเจ้าหนุ่มรูปพรรณสัณฐานและเสื้อผ้าเหมือนรายละเอียดที่พยานบอกไว้เลยแจ้งผม แล้วผมก็ตามไปถ่ายรูปจากเตียงชันสูตรเสร็จก่อนมาหาพวกคุณนี่แหละ”
ทนายสาวเบือนหน้าหนีจากภาพน่ากลัวนั่น “ทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ”
“น่าจะฆ่าปิดปาก มือปืนที่ยิงพลาดแถมยังทำตัวเด่นจนพยานเห็นกันตั้งหลายคน ใครจะอยากเก็บไว้ล่ะ” หมวดหาญสรุป
กรินทร์ขบริมฝีปาก “ผมจำได้ว่าปืนของคนร้ายใช้ที่เก็บเสียงด้วย”
“จริงหรือ ไม่เห็นคุณพยาบาลนั่นจะพูดอะไร”
“ผู้หญิงจะคุ้นกับปืนสักแค่ไหนกัน ลำกล้องมันยาวผิดปกติแถมเวลายิงก็ไม่ดังนัก ต้องติดที่เก็บเสียงไว้แน่ ๆ ตอนเจอศพไม่พบปืนด้วยหรือ”
“ไม่เจอเลย สงสัยคนฆ่าเอาไปด้วย” นายตำรวจเลิกคิ้ว “ว่าแต่เตรียมที่เก็บเสียงมาด้วยเชียว แสดงว่ามือปืนตั้งใจหากจำเป็นต้องลงมือในที่ชุมชนก็ทำได้ทันที ท่าทางผู้ว่าจ้างคงรีบร้อนอยากฆ่าเสียเหลือเกินนะ”
แต่คราวนี้กรินทร์ไม่เต้นไปตามแรงกระตุ้น กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คงรีบร้อนจริง ๆ นั่นแหละ ถึงขั้นต้องใช้มือปืนหัดใหม่มาจัดการ อาจเพราะหาคนไม่ทันก็เป็นได้”
“หือ รู้ได้ไงว่าเป็นมือปืนหัดใหม่”
“ดูจากอายุอย่างหนึ่งล่ะ” กรินทร์ตอบ “อีกข้อก็สังเกตจากฝีมือ พวกมืออาชีพเขาต้องยิงรัวกันพลาดกันทั้งนั้น แต่หมอนี่กล้าเดินมายิงทีละนัดเหมือนจะโชว์ว่าข้าเจ๋ง หากระยะห่างแค่นั้นดันพลาดจุดตายทั้งสองนัด เผลอ ๆ อาจเป็นแค่วัยรุ่นติดยาหวังหาอาชีพเสริมด้วยซ้ำ คราวนี้ไม่ว่าผลงานเป็นยังไงหมอนี่ก็ตายแน่ เป็นพวกโดนใช้แล้วทิ้งไม่ให้สืบสาวต่อได้”
“เดาแม่นพอดูเลยนี่ ตำรวจเจ้าของคดีบอกว่าพบบัตรประชาชนในกระเป๋า พอตามไปสอบถามที่บ้านแม่ของมือปืนเล่าว่าลูกชายเกกมะเหรกจนคุมไม่ไหวมาหลายปีแล้ว แต่นอกจากลักขโมยกับเสพยาก็ไม่เคยมีประวัติร้ายแรง หลัง ๆ แกทนไม่ไหวเลยไล่ออกจากบ้านไม่ยอมให้เงินอีก เจ้าหนุ่มถึงไปหาลู่ทางอื่น แต่นึกไม่ถึงว่างานแรกก็เจอปังตอเข้าเสียแล้ว” นายตำรวจหันมาจ้องกรินทร์ตาไม่กะพริบ “นายก็รู้ดีเหลือเกินนะ ถ้างั้นรู้ไหมว่าคนจ้างวานเป็นใคร”
“ไม่ทราบครับ” เสียงแหบพร่าตอบทันควัน นายตำรวจหรี่ตา กระแทกฝ่ามือกับขอบเตียงยกสูงโดยแรง
“ไม่ทราบหรือ นายน่ะมีทั้งพวงกุญแจเตือนภัย ที่ขาก็เก็บปืนช็อตไฟฟ้าไว้พร้อม เตรียมการป้องกันตัวขนาดนี้เพราะสงสัยว่าอาจถูกปองร้ายอยู่ใช่ไหม”
ที่แท้ซองหนังซึ่งชาคริยาและมือปืนนึกว่าเป็นซองปืนพกนั้น กลับกลายเป็นแค่ปืนช็อตไฟฟ้าเท่านั้นเอง